I Don’t Want To Defy The Heavens - ตอนที่ 39 น้ำตา
หลังอาหารเที่ยงหลิน ฟานก็กลับไปที่ลานบ้าน
ภายในห้องศึกษา
“นายท่าน ทำไมคนจากหุบเขาแมลงถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” อาวุโสวู่สับสน หุบเขาแมลงมันอยู่ห่างจากเมืองหยูฉางมาก และเมืองหยูฉางก็เป็นเมืองที่อยู่ติดชายแดนที่เงียบสงบ มันจึงไม่มีเหตุผลที่ทำให้หุบเขาแมลงมาสนใจที่นี่
หลิน วานยี่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มาจากหุบเขาแมลงมาก่อน
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
“ถ้าให้ข้าเดา ชายผู้นั้นน่าจะเป็นคนทรยศของหุบเขาแมลงเฟิง โพหลิว” หลินวานยี่กล่าว
อาวุโสวู่ตกตะลึง “ท่านหมายถึงเฟิง โพหลิว คนที่สังหารอาจารย์ตนเองคนนั้น?”
สำหรับคนธรรมดามันเป็นเหมือนเรื่องของอีกโลกหนึ่ง
แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่คุ้นเคย
“เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว อันตรายในรอบ20ปีมันกำลังใกล้เข้ามา ใครจะรู้ว่าครั้งนี้พวกเราจะมีชีวิตรอดอยู่กี่คน?” หลิน วานยี่พูดอย่างเคร่งขรึม เขาหวังว่าเฟิง โพหลิวจะออกจากเมืองนี้ไปโดยไม่ได้ทำอะไร
หากชายคนนั้นมีเป้าหมาย มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเมืองหยูฉางเป็นแน่
“นายท่าน เราเพียงแค่ต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้น” อาวุโสวู่กล่าว
ณ ลานบ้าน
หลิน ฟานนั่งอยู่ตรงนั้นและบอกให้โกวชิออกไปก่อน
เขาชี้นำกำลังภายในออกจากร่างกายของเขาเพื่อปกคลุมพื้นที่ แต่เนื่องจากเขามีกำลังภายในน้อยเกินไปมันจึงครอบคลุมได้แค่สิบเมตรเท่านั้น
เขารู้สึกได้เลยว่ามันมีแมลงตัวเล็กๆจำนวนมากอยู่รอบตัวของเขา
ทันใดนั้นเองแมลงเหล่านั้นก็ถูกปกคลุมด้วยกำลังภายใน และสร้างการเชื่อมต่อที่เบาบางกับเขา
มีมดจำนวนมากออกมาจากทุกทิศทางแม้ว่าจำนวนของมันจะไม่สามารถเทียบได้กับเฟิง โพหลิว แต่มันก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับหลิน ฟาน
เหล่ามดที่มารวมกันดูราวกับทหาร
“ข้าไม่สามารถควบคุมมดได้มากกว่านี้ มันน่าจะเป็นเพราะกำลังภายในของข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ”หลิน ฟานครุ่นคิด หากข้าใช้เทคนิคควบคุมแมลงมาควบคุมมดแบบนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการเสียของไปหน่อย
เขาคิดบางอย่างขึ้นได้
ถ้าหากข้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าคะแนนความโกรธที่ข้าใช้ไปกับเทคนิคควบคุมแมลงมันจะสูญเปล่างั้นหรือ?
แต่ข้าควรจะทำเช่นไรดี?
ข้าไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้นเลยสักนิด
“ช่างเถอะ ลืมมันไปก่อน เดี๋ยวข้าก็คงคิดวิธีใช้มันได้เองนั้นแหละ”
เขาใช้เวลาศึกษาเทคนิคควบคุมแมลงไปมาก มากเสียจนแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อ
ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องออกไปข้างนอก
ณ ถนนในเมืองหยูฉาง
หลิน ฟานได้พาลูกพี่ลูกน้องของเขาและโกวชิออกมาเดินเล่นไปรอบๆ
“อา เมืองหยูฉางมันเป็นที่ที่ดีนะ แต่ทำไมมันถึงเก่าและผุพังแบบนี้?” หลิน ฟานถาม
เขาไม่เข้าใจจริงๆ
หากพวกเขาทำให้เมืองหยูฉางดูดีขึ้น มันก็น่าจะดึงดูดผู้คนได้มากขึ้นและทำให้ที่แห่งนี้ครึกครื้น
อย่างน้อยมันก็ไม่น่าเบื่อเหมือนตอนนี้
“นายน้อย” ในตอนนั้นเอง ผู้จัดการเฉินที่เพิ่งกลับมาจากนอกเมืองก็เดินเข้ามา
“ผู้จัดการเฉิน สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” หลิน ฟานสังเกตเห็นว่าผู้จัดการเฉินรีบร้อนราวกับว่าเขาเจอเข้ากับปัญหาบางอย่าง
ผู้จัดการเฉินรู้สึกกังวลมาก “นายน้อย โชคดีที่ข้าเจอท่าน มันมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นที่หมู่บ้านตระกูลฉินและจาง”
“ตระกูลหยวนและเหลียงส่งคนมาขโมยข้าวที่ทั้งสองหมู่บ้านเก็บไว้โดยไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว”
“มิหนำซ้ำพวกเขายังบอกอีกว่ามันเป็นการจ่ายภาษีของพวกเขาและจากนี้เราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
เขาไปที่นั่นในตอนเช้าเพื่อลงทะเบียนให้กับผู้ที่มาใหม่
แต่เมื่อเขารู้เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีพื้นที่ทำเกษตร แต่ถ้าหากปราศจากธัญพืชพวกเขาก็ไม่สามารถอยู่รอดได้นานนัก
“เชี่ย! ไอสุนัขแก่สองตัวนั้นจะดื้นรั้นไปถึงไหน?” หลิน ฟานโกรธ ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะสู้กับข้าอีกครั้ง
“ยอดเยี่ยม นายน้อยผู้นี้กำลังเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำอยู่พอดี และตอนนี้มันก็ดันมีคนกำลังมองหาปัญหา ดูเหมือนว่าข้าจะต้องสู้กับพวกมันจนตายไปข้างหนึ่ง”
เมื่อเห็นว่าการแสดงออกของนายน้อยดูแย่ลง ผู้จัดการเฉินจึงพูดออกมาเบาๆทันที “นายน้อย ท่านไม่ควรใจร้อนเกินไป เราได้ขโมยสองหมู่บ้านมาจากพวกเขา มันจึงทำให้พวกเขารำคาญ และต้องการให้พวกชาวบ้านอดตาย”
“หึหึ”
หลิน ฟานยิ้ม “พวกเขารู้วิธีเล่นจริงๆ แถมยังต้องการจะสร้างปัญหาให้ข้าอีก ไปกันเถอะมุ่งหน้าไปหมู่บ้านของสองตระกูลนั้นกัน”
“ขอรับ” ผู้จัดการเฉินตอบ
เขากลับมาที่เมืองเพื่อที่จะมาแจ้งนายน้อยอยู่แล้ว
ณ ตระกูลเหลียง
เมื่อนายน้อยของตระกูลเหลียง เหลียง อี้ชูได้รู้เรื่องนี้เข้า เขาก็ขมวดคิ้วเป็นเวลานาน
“ท่านพี่เกิดอะไรขึ้น?” คุณหนูสองถามขึ้นมา
เหลียง อี้ชูส่ายหัว “ข้ากำลังสบสน ตระกูลของเราจะส่งคนไปขโมยธัญพืชที่ชาวบ้านเก็บไว้ทำไม? เพราะนั่นอาจจะทำให้พวกเขาตาย”
คุณหนูสองไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก “ท่านพี่เราไม่สามารถตำหนิท่านพ่อได้ มันเป็นหมู่บ้านตระกูลจางที่ทรยศตระกูลเหลียงของพวกเรา การที่เก็บธัญพืชเป็นภาษีและตัดความสัมพันธ์ก็ถือว่าเราเมตตามากแล้ว”
“เจ้าไม่เข้าใจ” เหลียง อี้ชูพูด “ข้าจะไปหาท่านพ่อและบอกให้เขาคืนมันไป”
“ท่านพี่อย่า” คุณหนูสองไล่ตามเขา ท่านพี่หัวอ่อนเกินไป และเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ท่านพ่อชอบ
แม้ว่าเธอว่าจะไม่ชอบน้องสาม เพราะเขาชอบใช้วิธีที่โหดร้ายและไร้ความปราณี แต่พ่อก็ชื่นชมที่เขาเป็นแบบนั้น
หากท่านพี่ยังคงดื้อรั้นและทำให้ท่านพ่อโกรธแบบนี้ต่อไป ตระกูลเหลียงจะต้องตกอยู่ในมือน้องสามเป็นแน่
เหลียง อี้ชูปัดมือของเธอแล้วเดินเข้าไปในห้องศึกษา
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเสียงดัง “ปัง” ขึ้น
มีบางสิ่งถูกทุบ
เมื่อคุณหนูสองที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียง ใบหน้าของเธอก็ซีดลงทันที เธอรู้ได้ทันทีเลยว่าตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้
“ออกไป! ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
เหลียง อี้ชูที่ถูกไล่ออกมาส่ายหัว
“ท่านพี่เก็บความคิดของท่านไปซะ และอย่าได้ไปทำให้ท่านพ่อโกรธอีก” คุณหนูสองกล่าว
“อา” เหลียง อี้ชูส่ายหัวอย่างขมขื่น
เอี๊ยด!
มันเป็นเหลียง หยงฉีที่เดินออกมาจากห้องศึกษา อาการบาดเจ็บบนใบหน้าของเขายังคงไม่ดีขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นเหลียง อี้ชูอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่อย่าได้ทำให้ท่านพ่อโกรธอีกเลย ความคิดของท่านมันไร้เดียงสาเกินไป หากสุดท้ายแล้วตระกูลเหลียงตกอยู่ในมือของท่าน ตระกูลของเราจะต้องถูกทำลายเป็นแน่”
“ส่วนพี่หญิงไม่ต้องกังวล เมื่อข้าได้รับความไว้วางใจจากท่านพ่อ ข้าจะหาสามีที่ดีให้กับท่านเพื่อคลอดบุตรเอง”
หลังจากที่พูดจบเหลียง หยงฉีก็ไขว้มือไว้ข้างหลังและเดินจากไป
ก่อนหน้านี้ท่านพ่อได้บอกอะไรบางอย่างกับเขา
ท่านพูดว่าหลังจากนี้ตระกูลเหลียงจำเป็นต้องพึ่งพาเขา
นั่นไม่ได้หมายความว่าอีกไม่นานตระกูลเหลียงจะตกอยู่ในมือของเขางั้นหรือ?
“ท่านพี่ดูน้องสามสิ ท่านไม่คิดว่าเขาหยิ่งไปหน่อยเหรอ ถ้าหากตระกูลเหลียงตกไปอยู่ในมือของเขาจริงๆ เราจะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้แน่ ท่านมีความคิดอะไรดีๆไหม?” คุณหนูสองกังวล
ตอนนั้นเองไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆเหลียง อี้ชูก็ได้นึกถึงคำพูดของนายน้อยหลินที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้
“ถ้าหากข้ากลายเป็นหัวหน้าตระกูล ข้าก็จะมีพลังมากพอที่จะพูดความคิดของข้า” เขาพึมพำ หลังจากนั้นก็ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ “น้องสองเจ้ากลับไปก่อน”
“ท่านพี่แล้วท่านล่ะ?” คุณหนูสองถามออกมา
เหลียง อี้ชูมองไปที่ห้องศึกษาที่ปิดสนิท “ข้าจะเข้าไปขอโทษท่านพ่อ”
หลังจากที่พูดจบเขาก็เดินไปทางห้องศึกษา เขาผลักเปิดประตูและปิดมันลงทันที ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
“ท่านพี่สามารถคิดได้!” คุณหนูสองรู้สึกประหลาดใจ
จากนั้นเธอก็พูดด้วยความตื่นเต้นและมีความสุข
“เขาคิดได้! ในที่สุดเขาก็คิดได้สักที!”
ณ หมู่บ้านตระกูลฉิน
หลินแฟนขมวดคิ้วเมื่อเขามาถึง ฉากตรงหน้าที่เขาเห็นมันราวกับเพิ่งถูกโจรบุกเข้ามาปล้น
“พวกมันไม่ได้ไว้หน้าข้าเลยสักนิด” หลิน ฟานกล่าว
โจว เชียงเหมาพูด “ลูกพี่ลูกน้อง เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ไว้หน้าท่านเลย งั้นทำไมเราไม่ไปสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยละ”
ในหมู่ชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลฉินมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเองอยู่ๆก็มีคนตะโกนขึ้นมา
“นายน้อยหลินอยู่ที่นี่แล้ว!”
เมื่อก่อนในสายตาของชาวบ้านหลิน ฟานก็เหมือนกับนายน้อยคนอื่นๆ เขาไม่ใช่คนดีและจำเป็นต้องอยู่ห่างเอาไว้
แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้น
พวกเขาก็ได้รู้ว่านายน้อยหลินเป็นคนดี
เมื่อเห็นชาวบ้านเหล่านั้นหลิน ฟานก็โกรธขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะเป็นคนไม่ได้ความ แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะรังแกผู้อื่น กลับกันเพื่อนพวกนั้นกลับชินกับเรื่องข่มขู่ผู้อื่นและทำมันเป็นประจำ
“ไม่ต้องกลัวไป เดี๋ยวพรุ่งให้พวกเจ้าเข้ามาในเมืองเพื่อมารับข้าวจากข้าไป” หลิน ฟานโบกมือ
ตุบ!
ผู้จัดการเฉินคุกเข่าลงกับพื้นและไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมา
เขาเงยหน้าขึ้นมองนายน้อยขณะที่น้ำตาของเขาเริ่มไหลออกมา
นายน้อยทำไมท่านต้องก่อปัญหาใหญ่ทุกครั้งที่อยู่กับข้าด้วย?!
เมื่อหลิน ฟานเห็นว่าผู้จัดการเฉินร้องไห้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เขาไม่คิดเลยว่าผู้จัดการเฉินจะเป็นคนที่อ่อนไหวขนาดนี้
เขาซาบซึ่งถึงขนาดร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว