Hunter's Lady ดรุณีสุดที่รัก - ตอนที่ 137 เช้าวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อน
วันที่เซียวจิงซันหวนกลับมาที่หมู่บ้านลี่สุ่ยเป็นเช้าวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อน
เขากลับไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้านทันทีแต่ตรงไปเคารพหลุมฝังศพของบิดาตนเองก่อน
สถานที่ฝังศพบิดาอยู่บนเนินเขาใต้กองหิน ตอนนี้ในกองหินมีทั้งดินทั้งหญ้าและต้นไม้เล็กๆ ขึ้นปกคลุมอยู่เต็มจนแทบจะหาหลุมฝังศพไม่พบ ยังดีที่ตอนนั้นเขาได้นำต้นหลิวต้นหนึ่งมาปลูกไว้ และยามนี้หลิวต้นนั้นก็สูงขึ้นมากแล้ว
เซียวจิงซันหยิบกริชออกมาแล้วค้อมกายลงตัดหญ้าที่ขึ้นรกออก บริเวณหลุมฝังศพจึงดูสะอาดสะอ้านขึ้นมาหน่อย พอเสร็จแล้วเขาก็โยนกริชในมือลงบนพื้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหน้าหลุมศพ
ถึงในอดีตบิดาของเขาจะเป็นอาจารย์เปิดสำนักสอนหนังสือ ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่คนมากเรื่องหรือเคร่งครัดในระเบียบแบบแผนจึงไม่ได้เลี้ยงบุตรชายมาอย่างเข้มงวดสักเท่าไร ดังนั้นในตอนนี้เซียวจิงซันจึงไม่ได้คุกเข่าคารวะหน้าหลุมศพตามประเพณี อีกทั้งบิดาก็ไม่ชอบเห็นเขาคุกเข่าเช่นกัน
เขาเด็ดหญ้าหางกระรอกที่อยู่ใกล้มือมาก้านหนึ่งแล้วนำมาคาบไว้ในปาก จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมฆบดบัง
เซียวจิงซันยิ้มน้อยๆ มองหลุมฝังศพแล้วพูดกับบิดาว่า “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”
ทว่าไร้เสียงใดๆ ตอบกลับมา หุบเขานั้นยังคงเงียบเหงาอ้างว้างเช่นเดิม
เซียวจิงซันยิ้มออกมาทั้งๆ ที่น้ำตาเริ่มรื้นขึ้น “ท่านพ่อ ตอนที่ท่านแม่จากไป เหตุใดท่านถึงพาข้ามาอยู่ที่นี่เล่า? คงจะเหมือนกับข้าในยามนี้ที่ได้เห็นทุกสิ่งมาหมดสิ้นแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อสายลมพัดโชยมา ต้นหญ้าที่ปกคลุมเหนือหลุมศพก็พลิ้วไหวน้อยๆ เซียวจิงซันถอนหายใจยาวแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ตอนที่ข้าบอกว่าจะไปจากที่นี่ ท่านคงคาดเดาอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งข้าต้องกลับมาใช่ไหม?”
เขานิ่งเงียบไป คำถามนี้ไร้ซึ่งคนตอบเสียแล้ว
เซียวจิงซันหงายตัวลงนอนบนกองหญ้าที่ตนถอนออกมาเมื่อครู่ เงยหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่ทอดยาวไปบรรจบกับทิวเขาเบื้องหน้าอันห่างไกล แสงสว่างสาดส่องลงมาราวกับกำลังชโลมจิตใจผู้คนให้กลับมาเบิกบานอีกครั้ง
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ได้กลิ่นหญ้าสดใหม่ที่เพิ่งถูกตัดพลางหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงชายผ้าระไปกับพงหญ้าดังสวบสาบ บางครั้งยังมีเสียงเล็กๆ ครวญเพลงอย่างแผ่วเบาที่ได้ยินไม่ชัดเจนนัก
เซียวจิงซันค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อย…
เขาออกจากหมู่บ้านไปหลายปี ตอนนี้จึงไม่หลงเหลือความคุ้นเคยกับผู้คนในหมู่บ้าน เมื่อกลับมาถึงก็ตรงมาคารวะบิดาก่อนจึงยังไม่ได้พบเจอกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเลย
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง สายตามองผ่านพงหญ้าที่สูงประมาณครึ่งตัวคนก็พบว่าที่ไกลออกไปมีสาวน้อยนางหนึ่ง
นางสวมชุดกระโปรงผ้าเนื้อหยาบ แบกตะกร้าหวายไว้บนหลังในมือถือเคียว ปากก็ครวญเพลงไปด้วย นางเหลียวซ้ายแลขวาตามพงหญ้าราวกับกำลังมองหาอะไรอยู่ หยาดน้ำค้างทำให้กระโปรงผ้าเนื้อหยาบเปียกชื้น เหงื่อไหลรินลงมาจากสองแก้มแดงระเรื่อ แต่ท่าทางของนางกลับดูมีความสุขยิ่งนัก ดวงตาเป็นประกายสุกใส ศีรษะเล็กๆ นั้นโยกไปมาอย่างอารมณ์ดี
เซียวจิงซันเห็นแล้วก็หัวเราะเบาๆ เขานั่งกอดเข่าอยู่ตรงหน้าหลุมศพบิดา ในใจคิดว่าที่ตรงนี้เป็นพงหญ้ารกทึบไม่สะดุดตา แม่สาวน้อยคนนี้คงมองไม่เห็นเขาเป็นแน่
แล้วก็เป็นจริงดังคาด นางไม่รู้เลยว่าอีกฟากหนึ่งจะมีหลุมฝังศพตั้งอยู่ และยิ่งไม่เห็นว่าตรงนี้มีผู้ชายตัวโตคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
ตอนนี้ดูเหมือนนางหาหญ้าที่ตนเองต้องการได้แล้วจึงส่งเสียงร้องลั่นออกมาอย่างยินดี ทรุดตัวลงนั่งยองๆ วางตะกร้าหวายบนพื้นแล้วเริ่มลงมือตัด
เซียวจิงซันยิ้มน้อยๆ หันไปมองบิดาแล้วกระซิบเสียงแหบพร่า “ท่านพ่อ หลุมศพของท่านฮวงจุ้ยดีไม่เบา หญ้าที่งอกออกมายังเอาไปเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย”
เสียงตอบกลับมากลับกลายเป็นเสียงตัดหญ้าที่ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด
เซียวจิงซันคิดอย่างจนใจ หากตนเองลุกขึ้นมาในตอนนี้ก็เกรงว่าจะทำให้แม่นางน้อยตกใจ เขาจึงทำได้เพียงทิ้งกายลงนอนอีกครั้ง ถึงอย่างไรยามนี้ดวงตะวันก็เพิ่งจะขึ้น แม้จะยังมีน้ำค้างยามเช้าอยู่บ้างแต่ตนเองนั้นหนังหนาทนได้อยู่แล้ว ดังนั้นขอพักสายตาอยู่หน้าหลุมฝังศพของบิดาสักงีบก่อนแล้วกัน
ตอนที่เซียวจิงซันลืมตาตื่นอีกครั้ง รอบด้านช่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว เขาคิดว่าแม่นางน้อยคนนั้นน่าจะตัดหญ้าเสร็จแล้วจึงกลับไป พอคิดจะลุกขึ้นนั่งสายตาก็เหลือบเห็นว่านางยังอยู่…
นางไม่เพียงยังอยู่ ตอนนี้นางยังถอดชุดกระโปรงออก เหลือเพียงเสื้อตัวในสีชมพูที่ปกปิดได้เพียงเนินอกน้อยๆ เอาไว้ มือข้างหนึ่งของนางถือเคียว ส่วนมืออีกข้างกำลังยกชายกระโปรงขึ้นมาพัดวี
เซียวจิงซันถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ยามนี้คงไม่อาจลุกขึ้นได้เสียแล้ว เขาทำได้เพียงทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ เพราะหากแม่นางน้อยผู้นี้บังเอิญเห็นเขาเข้า นางย่อมต้องตกใจเป็นแน่
เซียวจิงซันหันไปยิ้มเฝื่อนกับหลุมฝังศพบิดา แอบบ่นพึมพำในใจ “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้ากลายเป็นพวกถ้ำมองไปเสียแล้ว”
ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวบ้านใดกันถึงได้ประมาทเลินเล่อเช่นนี้
เขาได้แต่ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองไปทางแม่นางน้อยที่ใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมนั่นอีก แต่ในใจก็อดครุ่นคิดไม่ได้…
นางน่าจะอายุประมาณสิบห้าสิบหกเห็นจะได้ เช่นนั้นตอนที่เขาออกจากหมู่บ้านไปนางก็น่าจะเกิดแล้ว เซียวจิงซันหวนคิดถึงผู้คนในอดีตแต่ก็ไม่อาจเดาได้ว่านางจะเป็นลูกสาวบ้านใดกันแน่ ทว่าอยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนจะออกเดินทาง พี่ชายสกุลซูที่มาส่งได้อุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย
เขาคิดถึงความน่ารักของเด็กหญิงคนนั้น ริมฝีปากเล็กที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียน ดวงตาดำขลับเป็นประกายกะพริบปริบๆ เด็กน้อยร้องให้อุ้มตลอดเวลาแล้วยังชอบพ่นน้ำลายเล่นอีกด้วย
ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขาพลันได้ยินเสียงหนุ่มน้อยตะโกนดังมาแต่ไกล
“เหมยจื่อ เหมยจื่อ!”
เซียวจิงซันสะดุ้งตกใจ มองไปทางแม่นางน้อยที่สวมเพียงเสื้อปิดอก เกรงว่านางจะถูกคนอื่นเห็นเข้า แต่ท่าทางของนางกลับดูดีใจยิ่งนัก ยังคงยิ้มแย้มเบิกบานพลางตะโกนกลับไปว่า “ฝูเกอ เจ้าอย่าเพิ่งเข้ามานะ! รอตรงนั้นก่อน!”
จากนั้นมีเสียงสวบสาบดังแว่วให้ได้ยิน แม่นางน้อยผู้นั้นน่าจะกำลังใส่ชุดกระโปรงของตน
ส่วนคนด้านนอกที่นางเรียกว่า ‘ฝูเกอ’ กำลังหัวเราะพลางกล่าวว่า “เหมยจื่อ เจ้านั้นชอบไม่ฟังข้าอยู่เรื่อย ก็ได้ๆ ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้ เร็วๆ เข้าล่ะ!”
ใบหน้าคมสันของเซียวจิงซันเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังคิดว่าตนเองควรจะหลบไปดีหรือไม่ หนุ่มน้อยที่ตามมาน่าจะเป็นคู่รักของนาง ทั้งสองคงคิดจะหาที่ลับหูลับตาคนสักหน่อย แต่ตอนนี้กลับถูกเขาเห็นจนหมดแล้ว
แต่เมื่อมองไปรอบๆ หากเขาขยับเขยื้อนในตอนนี้ เสียงต้นไม้ใบหญ้าก็จะทำให้แม่นางน้อยตกใจ ถึงตอนนั้นก็คงจะอธิบายกันยากแล้ว
หลังจากแม่นางน้อยแต่งกายเสร็จเรียบร้อ นางก็เดินออกไปหาหนุ่มน้อยฝูเกอที่ยืนรออยู่ ทั้งสองนั่งเคียงกันอยู่ในพงหญ้า พูดคุยหยอดคำหวานให้กัน ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกไม่ขาด
คำพูดคำจาของแม่นางน้อยนั้นช่างใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม ยามหัวเราะก็สดใสยิ่ง ยามเก้อเขินก็ดูน่ารักไร้เดียงสา
เซียวจิงซันทอดถอนใจอย่างแผ่วเบาทีหนึ่งแล้วล้มตัวลงนอนในพงหญ้าตามเดิม พูดกับหลุมศพบิดาอย่างจนใจ “ท่านพ่อ ท่านว่าข้าควรหาภรรยาสักคนดีหรือไม่?”
พูดจบก็ยิ้มหยันให้ตนเองแล้วกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ!”
.
ในที่สุดคู่รักหนุ่มสาวก็ยอมจากไปเสียที
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เซียวจิงซันจำต้องเป็น ‘พวกถ้ำมอง’ แอบฟังคนอื่นพลอดรักกัน หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าเข้าไปในหมู่บ้าน
ตอนแรกผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ต้อนรับการกลับมาอย่างอบอุ่น แต่ต่อมาก็มีข่าวลือแปลกๆ ว่าเขาเป็นโจรป่า ผู้คนจึงค่อยๆ ถอยห่างจากเขา
ยังดีที่ก่อนหน้าเขาเคยผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย แค่สายตาของผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้จึงไม่อาจทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนได้
ทุกเช้าเมื่อตะวันเริ่มทอแสงอ่อนเซียวจิงซันก็จะออกไปล่าสัตว์ ทุกคืนก่อนนอนก็จะร่ายรำมวยสักกระบวนท่าเพื่อยืดเส้นยืดสาย นับเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างแท้จริง
—————————————————————————————————