Hunter's Lady ดรุณีสุดที่รัก - ตอนที่ 136 คำสารภาพของอาจิ้ง (2)
ท่ามกลางความมืดมิด
คนนี้ก็ว่าเจ้าเหยียบเท้าข้า คนนั้นก็พูดเจ้าถอยไปหน่อยข้าจะหาสมบัติ สุดท้ายพี่ใหญ่ของข้าก็พูดเตือนเสียงเบาว่า “อย่าพูดมาก สมบัติต้องอยู่ในนี้นี่แหละ!”
ทุกคนเงียบเสียงทันควัน สายตามองตามที่พี่ใหญ่ที่ชี้ลงไปตรงเท้าของตน
ทุกคนจึงเห็นว่าตรงนั้นมีของบางอย่างกำลังส่องแสงวาววับเล่นกับแสงไฟอยู่ มีทั้งที่เป็นแสงสีขาว แสงสีเขียว แล้วยังมีแสงสีแดงอีกด้วย เป็นแสงที่ดูแวววาวยิ่งนัก แสงตะเกียงน้ำมันของที่บ้านยังไม่อาจเทียบกับสิ่งนี้ได้เลย
พวกเราทุกคนต่างพากันตกตะลึง จ้องมองพี่ใหญ่ขุดเศษซากใบไม้ที่ทับถมนั้นออก ในที่สุดก็เอาสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในออกมาจนได้ พอเห็นเช่นนี้ทุกคนก็ได้สติกลับมาแล้วเริ่มทำในสิ่งเดียวกัน นั่นคือนั่งยองๆ แล้วขุดหาสมบัติ บางคนก็ขุดได้สีขาว บางคนก็ขุดได้เป็นก้อนกลมๆ ส่วนข้านั้นมือไม้ว่องไวคว้าไปเจอพวงสีแดงแสนสวยพวงหนึ่งขึ้นมาได้
พี่ใหญ่เห็นพวกเรากำลังวุ่นวายชุลมุนกันยกใหญ่จึงเรียกทุกคนมาปรึกษา แล้วบอกว่าสมบัติในนี้มีมากมาย ไม่สู้เอาของส่วนใหญ่เก็บซ่อนไว้ที่เดิมจะดีกว่าและให้ทุกคนเอาออกไปเพียงคนละชิ้น แบบนี้จะได้ไม่ถูกผู้ใหญ่จับได้
เด็กๆ ทั้งกลุ่มล้วนเชื่อในสิ่งที่พี่ฟ่านถวนพูดมาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่จะไม่มีความเห็นเป็นอื่น ต่างพากันแสดงท่าทางว่าเห็นด้วย ทุกคนจึงกำสมบัติไว้ในมือคนละชิ้นแล้วปีนขึ้นมาจากบ่อ
พี่เทียนเฟยหยิบได้สมบัติสีเขียว ขนาดใหญ่ประมาณไข่ห่านเห็นจะได้ ข้าเห็นแล้วก็นึกอยากได้มันขึ้นมา รู้สึกว่าถ้าสีเขียวของเขาได้เข้าคู่กับสีแดงของข้าคงจะงดงามน่าดู พี่เทียนเฟยเองก็รู้ความคิดของข้า เขาจึงจะยกมันให้กับข้า แต่พอข้าลองทบทวนดูแล้วก็จำต้องส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะข้าคงรับของของเขามาเปล่าๆ ไม่ได้
วันนั้นภายในใจของทุกคนต่างตื่นเต้นยินดีกันมากและก็รู้สึกหวาดหวั่นไม่แพ้กัน เฝ้าพะวงถึงแต่เรื่องสมบัติทำให้เวลาทำอะไรก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ท่านแม่ของข้าถึงขนาดถามด้วยความแปลกใจว่า “อาจิ้งเจ้าชอบกินขาหมูที่สุดไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้ไม่ค่อยเห็นเจ้ากินเลย”
ข้ารีบก้มหน้ามองชามที่เต็มไปด้วยขาหมู! แล้วจำต้องแสร้งทำให้ดูเหมือนปกติ รีบก้มลงกัดแทะกินเนื้อขาหมูเพื่อให้ท่านแม่ไม่สงสัย
.
หลังจากที่พวกเราได้สมบัติกันมาแล้ว
ทุกคนต่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเคย ยามว่างมักจะแอบเอามันออกมาเล่นจนพี่ใหญ่ของข้าไม่พอใจ เขาเตือนทุกคนว่าให้เก็บรักษาของพวกนี้ไว้ให้ดี ห้ามไม่ให้ผู้ใหญ่เห็นเด็ดขาด ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่กลัวจะถูกพวกผู้ใหญ่ยึดคืนไป แต่ข้าเองกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วผู้ใหญ่คงต้องรู้สักวันแน่
สุดท้ายก็เป็นจริงตามที่คาดการณ์ไว้ ลูกชายคนโตของท่านอาเผยชื่อว่าเถี่ยตั้น ปกติข้าเรียกเขาว่าพี่เถี่ยตั้น พี่เถี่ยตั้นชอบสาวน้อยนางหนึ่งที่อยู่ฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านที่ชื่อว่าเสี่ยวยา และเพื่อประจบเอาใจนาง พี่เถี่ยตั้นจึงเอาสมบัติของตนไปให้เสี่ยวยา แต่ใครเลยจะรู้ว่ากลับถูกเสี่ยวซันของบ้านสกุลเฉินเห็นเข้า พอเสี่ยวซันเห็นก็อยากจะเล่นสมบัตินั้นบ้างจึงเข้าไปยื้อแย่งกับพี่เถี่ยตั้น ผลสุดท้ายทั้งสองก็เกิดต่อยตีกันขึ้นมา
ตอนที่ถูกจับได้ พวกผู้ใหญ่จับพวกเขาแยกออกจากกันและสอบถามถึงสาเหตุ เสี่ยวซันของบ้านสกุลเฉินถึงกับร้องไห้โฮเสียงดัง ร้องไห้ไปพลางเล่าไปพลางว่า “ข้าอยากเล่นสมบัติสีฟ้านั่น!”
พวกผู้ใหญ่พากันมึนงงไปหมด ซักถามต่อว่าอะไรคือสมบัติสีฟ้า พอถึงตรงนี้พวกเราต่างพากันถอยหลบไปด้านหลัง ส่วนพี่ฟ่านถวนก็ตีหน้าตายไม่ยอมพูดยอมจา
หลังจากท่านพ่อข้ากับท่านอาหลู่มาถึง ท่านพ่อก็เค้นถามพี่ใหญ่ทันที ส่วนท่านอาหลู่ก็เค้นถามพี่เทียนเฟย แต่ทั้งสองคนปากแข็งยิ่งนักต่างก็ไม่ยอมพูด สุดท้ายก็เป็นท่านพ่อของข้าที่ร้ายกาจกว่าใคร
ท่านพ่อเปลี่ยนไปสอบถามเด็กคนหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มของพวกเราแทน เด็กคนนั้นพอถูกท่านพ่อข้าทำสายตาดุจ้องมองเข้าหน่อย สุดท้ายก็ปล่อยโฮเสียงดัง มือสั่นงันงกหยิบสมบัติที่ซ่อนอยู่ตรงขอบกางเกงของตัวเองออกมามอบให้ท่านพ่อข้า
ท่านอาหลู่เดินเข้ามาคว้าเอาสมบัติชิ้นนั้นไป พอมองอย่างละเอียดก็พูดด้วยความสงสัย “หินสีก้อนนี้ช่างคุ้นตาเสียจริง…”
เพียงครู่เดียวท่านอาก็หายสงสัย สีหน้าพลันแข็งกร้าวขึ้นก่อนจะเงยหน้ามองท่านพ่อข้าอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นของที่พกติดตัวมาด้วยในตอนนั้นนี่!”
.
จากนั้นสมบัติของพวกเราก็ถูกยึดคืนไปจนหมด
พอเด็กแต่ละคนกลับถึงบ้านก็ถูกพ่อแม่ของตัวเองอบรมสั่งสอนกันยกใหญ่ ท่านแม่ข้าโมโหถึงขนาดไปหักกิ่งหลิวเล็กๆ กิ่งหนึ่งมาหมายจะตีข้ากับพี่ใหญ่ แต่ท่านพ่อช่วยปกป้องข้าไว้แล้วบอกว่าหากจะตีก็ต้องตีฟ่านถวนที่พาน้องไปเล่นในที่ไม่ควร
ท่านแม่ของข้าเชื่อฟังท่านพ่อตลอดมา ตอนนั้นจึงใช้กิ่งหลิวตีเพื่ออบรมสั่งสอนพี่ใหญ่…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ข้าเองก็ไม่กล้ามองต่อ รีบปิดตาแล้ววิ่งขึ้นไปหลบบนเตียง แสร้งทำให้ดูน่าสงสาร ข้ารู้ดีว่าท่าทางเช่นนี้จะทำให้ท่านพ่อยิ่งสงสารข้ามากขึ้นกว่าเดิม
แต่ใครจะรู้ว่าท่านแม่กลับหันมาดุใส่ข้าว่า “ท่านดูนางแกล้งทำสิ นางกลัวที่ไหนกัน ในใจยังแอบดีใจอยู่เลย!”
ข้าได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่ม ในใจก็ตะโกนร่ำร้องอยู่ตลอดว่า ‘ฟ้าดินโปรดเมตตา ข้าไม่ได้แอบดีใจ ข้าแค่ไม่อยากโดนตี! ข้าแค่อยากจะกินขาหมูต่อไปอีก!’
นับตั้งแต่วันนั้นกลุ่มเด็กๆ ก็ไม่มีใครได้เห็นแม้แต่เงาของสมบัติล้ำค่านั้นอีกเลย บ่อใต้ดินที่เคยไปขุดหาสมบัติก็ถูกปิดตายไปแล้ว พวกข้าอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ แต่เมื่อฤดูหนาวมาเยือนก็มีหิมะให้เล่น ในฤดูใบไม้ผลิก็มีตั๊กแตน ฤดูร้อนมีจักจั่น ส่วนฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถปีนต้นไม้ไปตีรังผึ้งมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้กินกันได้ พวกข้าล้วนมีความสุขสนุกสนานกันยิ่งนักทำให้เรื่องสมบัติเหล่านั้นถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้น
.
หลังจากนั้นไม่กี่ปี
พี่ฟ่านถวนก็เอาแต่พูดถึงเรื่องที่จะออกไปท่องเที่ยวด้านนอกภูเขา ท่านแม่ย่อมไม่ยินยอม ส่วนท่านพ่อก็ไม่ออกความเห็นใดๆ ข้าเองก็ทำได้เพียงออกความคิดเห็นที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น
สุดท้ายตอนเช้ามืดที่พวกเรายังคงหลับกันอยู่ พี่ใหญ่ก็ออกจากบ้านไปเพียงลำพัง ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้บนโต๊ะ…
ท่านแม่ร้องไห้จนแทบจะเป็นลม พร่ำพูดว่าเจ้าลูกคนนี้ไม่ได้พกอะไรติดตัวไปด้วยเลย ออกไปตัวเปล่าเช่นนี้คงต้องลำบากเป็นแน่ เด็กที่เคยอยู่แต่ในป่าในเขา การออกไปภายนอกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท่านพ่อของข้ากลับแกว่งจดหมายฉบับนั้นไปมาแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เขาเอาสร้อยไข่มุกของหลู่จิ่งอันไปด้วย”
พอข้ารู้อย่างนี้ก็อดขุ่นเคืองไม่ได้ หรือเดิมทีพี่ใหญ่ได้ขโมยสมบัติล้ำค่านั่นออกมาถึงสองชิ้น พอโดนจับได้ก็ส่งคืนไปแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น!
ช่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย!
แต่ข้าจะทำอย่างไรได้ จากนั้นข้าก็คิดได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ฉลาดด้อยไปกว่าเซียวฟ่านถวน แล้วเหตุใดข้าจึงไม่มีสิทธิ์ออกไปท่องเที่ยวโลกภายนอกสักครั้งเล่า?
น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าไม่มีความคิดที่จะซุกซ่อนสมบัติล้ำค่าที่ขโมยมาไว้อีกสักชิ้น!
พอพี่เทียนเฟยเห็นข้าเศร้าเสียใจจึงแอบบอกว่า “ท่านแม่ของข้ามีเงินก้อนเล็กๆ สีขาวมันวาวอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อก่อนตอนที่ท่านแม่อยู่ภายนอกได้เก็บสะสมเอาไว้ มันอยู่ในหีบบนโต๊ะเครื่องแป้งมาตลอด”
ข้าถึงกับตาลุกวาวทันที ชำเลืองมองสาบเสื้อของพี่เทียนเฟยแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เราออกไปด้วยกันเถอะ!”
ในที่สุดพี่เทียนเฟยก็ขโมยก้อนเงินเล็กๆ สีขาวมันวาวมาได้จริงๆ พวกเราเลือกช่วงเวลาเช้าตรู่ที่ฟ้ายังไม่สางออกไปจากหมู่บ้านลี่สุ่ยด้วยกัน
ตอนที่เดินออกจากลานบ้านไปแล้ว ข้าพลันรู้สึกไม่อยากจากท่านพ่อและท่านแม่ไป แต่พอหันกลับมามองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปในบ้าน ข้าก็เห็นท่านพ่อยังคงโอบกอดท่านแม่ไว้เช่นเดิม ท่านแม่ในวันนี้ยังคงเหมือนเด็กน้อยที่ซบอยู่ในอ้อมกอดของท่านพ่อไม่เปลี่ยนแปลง
ข้าได้แต่แอบยิ้มในใจ คิดได้ว่าท่านแม่ยังมีท่านพ่อ ส่วนท่านพ่อก็มีท่านแม่ หากขาดพวกเราไปพวกท่านก็ไม่ต้องกลัวเหงา อีกอย่างข้าต้องกลับมาแน่!
พอคิดได้เช่นนี้ข้าก็แบกห่อสัมภาระน้อยๆ จากไปอย่างไม่ลังเลอีก
เช้าตรู่ของวันนี้ บนเขายังมีเมฆหมอกหนาทึบ ข้ากับพี่เทียนเฟยช่วยกันคลำทางเพื่อลงไปจากภูเขาด้วยกัน พอเดินข้ามผ่านภูเขาลูกน้อยลูกหนึ่งมาได้ก็หันกลับไปมองด้านหลังจึงยังเห็นว่ามีหมอกปกคลุมเต็มไปหมด ทำให้พวกเรามองไม่เห็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่คุ้นเคยอีกแล้ว
พี่เทียนเฟยส่งเสียงเร่งข้าว่า “เร็วเข้า ไม่เช่นนั้นอาจถูกจับได้นะ”
ข้ามาคิดๆ ดูก็จริงตามที่เขาว่าจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตามไป ตอนนั้นข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าการออกไปครั้งนี้จะกินเวลาเนิ่นนานหลายปี
.
หลายปีผ่านมา
ข้าเดินทางไปมากมายหลายที่ ได้พบเจอผู้คนมาก็เยอะ และได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นประสบการณ์มานับไม่ถ้วน
ข้าได้พบเจอกับการล่มสลายของราชวงศ์หนึ่ง และก็ได้เห็นการก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ และข้ายังได้พบกับเรื่องที่ต้องพิสูจน์ใจผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า
แน่นอนว่า… ข้ายังได้พบกับชายผู้หนึ่งที่รักและเอาใจใส่ข้าไปตลอดชีวิตเหมือนที่ท่านพ่อรักท่านแม่
ผ่านไปอีกหลายปีพี่ฟ่านถวนก็บอกกับข้าว่า “พวกเรากลับบ้านกันเถิด”
ข้าพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล
ข้าจับมือชายอีกคนที่รักข้าแล้วบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “มีที่ห่างไกลแห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านลี่สุ่ย ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดีมาก”
—————————————————————————————————–