Hunter's Lady ดรุณีสุดที่รัก - ตอนที่ 135 เจ้าดูผิดแล้ว + คำสารภาพของอาจิ้ง (1)
หลังจากนั้นไม่นานหลู่จิ่งอันก็ได้รู้ว่าเขาสามารถใช้เงินของตัวเองได้เพียงเดือนละครั้ง
และต้องใช้ตอนที่ลงจากเขาเพื่อเลือกซื้อข้าวของต่างๆ กลับไปยังหมู่บ้าน
หลู่จิ่งอันเดินเข้าไปในตลาดด้วยความสงสัยแล้วก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าประหลาดใจ! บรรดาทองคำก้อนซึ่งเป็นของมีค่าของตนถูกผู้คนในตลาดทำราวกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
นั่นเพราะคนในเมืองเล็กๆ เช่นนี้เคยใช้กันเพียงเหรียญโลหะทองแดงเท่านั้น!
.
ค่ำคืนนั้น
เผิงเอ๋อก็พบว่าสามีของตนกำลังใช้เท้าถีบหีบขนาดมหึมาใบหนึ่งออกไปนอกบ้าน นางจึงถามอย่างสงสัย “นั่นมันของล้ำค่าของท่านไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึง…”
หลู่จิ่งอันไม่รอให้เผิงเอ๋อพูดจบก็ตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย “ช่างเถอะ! ข้าวของพวกนี้อยู่ที่นี่ก็มีแต่ทำให้รกเปล่าๆ บ้านของเราเดิมทีก็ไม่ได้กว้างขวางแล้วจะเก็บให้เกะกะทำไม!”
เผิงเอ๋อถามต่ออย่างงุนงง “ท่านให้ม้าแบกมันมาตลอดทาง ต้องเสียแรงไปไม่น้อย ท่านก็ลองหาสักที่เก็บเอาไว้ก่อนก็ได้นี่ ทำไมต้องโยนมันทิ้งด้วยเล่า”
หลู่จิ่งอันมาลองคิดดูก็เห็นด้วย “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเก็บมันไว้ในบ่อก็แล้วกัน ข้างในนั้นเก็บของได้ไม่น้อยเลย”
หลังจากนั้นเผิงเอ๋อก็ได้เห็นกับตาว่า สามีของตนแบกหีบอันหนักอึ้งใบนั้นออกไปด้านนอกแล้วปีนลงไปในบ่อใต้ดิน เขาวางหีบไว้ด้านในสุดของบ่อ ในตอนท้ายยังถีบมันทีหนึ่งก่อนจะพูดอย่างโมโหว่า “เงินทองของล้ำค่าเช่นเจ้า ข้าไม่ต้องการแล้ว!”
.
ในคืนเดียวกัน
เหมยจื่ออาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยเสร็จก็พาไปกล่อมนอนจนกระทั่งเขาหลับ นางถึงได้ขึ้นไปนอนบนเตียงกับเซียวจิงซัน
หญิงสาวซุกกายเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของสามีอย่างเงียบเชียบ ใช้นิ้วเขี่ยหน้าอกของเขาเล่นแล้วนึกไปถึงตอนที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ผ่านไปแค่ชั่วพริบตานางก็กลายเป็นแม่คนเสียแล้ว
เหมยจื่อไล้นิ้วมือเบาๆ ไปตามรอยแผลเป็นบนอกของเซียวจิงซัน แล้วจู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงยื่นมือไปจับที่มือขวาของเขา หลายวันมานี้ถึงเซียวจิงซันจะทำงานถางกลบพื้นที่รกร้างมาตลอด แต่เขาก็ใช้เพียงมือซ้ายในการจับพลั่ว ไม่ค่อยได้ใช้มือขวาออกแรงมากนัก
หยิงสาวถอนหายใจยาว ใบหน้าเนียนซุกไซ้อยู่บนแผงอกแกร่ง พึมพำเสียงแผ่วว่า “ต่อไปมือข้างนี้ของท่านจะไม่หายเป็นปกติแล้วหรือ?”
มือใหญ่ของเซียวจิงซันโอบรอบเอวนาง พลางลูบแผ่นหลังหญิงสาวอย่างเบามือก่อนจะกล่าวว่า “วางใจเถิด ต่อไปก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”
เหมยจื่อยังคงรู้สึกสงสารเขา “ต้องรออีกนานแค่ไหนจึงจะดีขึ้นเล่า?”
ทว่าเซียวจิงซันกลับไม่ตอบ เพียงใช้มือหยาบกร้านลูบไล้ไปตามแผ่นหลังนวลเนียนของนาง
เหมยจื่อถูกมือใหญ่สัมผัสจนรู้สึกจักจี้ ร่างกายก็พลอยอ่อนปวกเปียกไปหมดจนต้องขยับเข้าไปแนบชิดกับอกของเขามากขึ้น ยามนี้ลมหายใจของเซียวจิงซันเริ่มถี่กระชั้นยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นเขาก็ออกแรงยกทั้งร่างของนางให้ขึ้นมานั่งคร่อมบนร่างของตน
เหมยจื่อตกใจจนร้องเสียงหลง กำหมัดทุบลงบนอกหนาแล้วบ่นว่า “คนนิสัยไม่ดี ข้าตกใจหมดเลย!”
ขณะที่มือกำลังทุบอกแข็งๆ ของเขา นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ หญิงสาวจ้องมองเขาอย่างกังขาในใจ
เซียวจิงซันหัวเราะเสียงทุ้ม ดวงตาเป็นประกาย “เจ้ามองอะไรกัน?”
เหมยจื่อก้มหน้ามองมือข้างขวาของเขาที่ประคองเอวของตนอยู่ “เมื่อครู่น่าจะเป็นมือข้างนี้ที่ยกตัวข้าให้ลอยขึ้นมาใช่หรือไม่?”
เซียวจิงซันกลับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เด็กโง่ เจ้าดูผิดแล้ว!”
พอพูดจบมือทั้งสองข้างของเขาก็ประคองเอวนางเอาไว้ พยายามกดตัวนางให้ตรงกับตำแหน่งที่กำลังชูชันของตัวเอง
ทันทีที่สิ่งนั้นเข้าไปด้านในเหมยจื่อพลันรู้สึกอึดอัดตรงช่วงล่าง ทว่าความคิดกลับยังจดจ่อกับเรื่องที่ตนสงสัย ในใจยังคงวุ่นวายอยู่ท่ามกลางการกระแทกกระทั้นขึ้นลงอย่างเร่าร้อน
เมื่อครู่…นางต้องไม่ได้ดูผิดแน่!
—————————————————————————————————
คำสารภาพของอาจิ้ง (1)
.
ข้าชื่อว่า ‘อาจิ้ง’ ปีนี้อายุสิบเอ็ด
สถานที่ที่ข้าอาศัยอยู่มีชื่อว่าหมู่บ้านลี่สุ่ย หมู่บ้านนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ทุกครอบครัวล้วนมีบ้านที่ปลูกสร้างอย่างมั่นคงแข็งแรง รอบๆ บ้านของพวกข้าห้อมล้อมไปด้วยที่ดินหลายแปลง ที่ดินพวกนี้เป็นที่ที่ใช้ทำมาหากินร่วมกัน ปกติแล้วท่านพ่อท่านแม่ของข้ารวมถึงพวกท่านอาและอาสะใภ้จะช่วยกันทำการเพาะปลูก ดังนั้นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ก็จะจัดสรรปันส่วนให้กับทุกคน
เมื่อยามว่างเว้นจากงานเพาะปลูก พวกท่านอาก็จะเข้าไปในป่าลึกโดยมีท่านพ่อของข้าเป็นผู้นำกลุ่ม เพื่อเสาะหาอาหารป่ามาให้ทุกคน และทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ เด็กอย่างพวกข้าต่างก็น้ำลายสอไปตามๆ กัน
ท่านพ่อของข้าเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ท่านแม่ของข้าก็มีรอยยิ้มอ่อนหวาน ข้ายังมีพี่ชายคนหนึ่งที่ชอบพาข้าวิ่งเล่นไปทั่วทั้งหุบเขา และแน่นอนว่าข้ายังมีท่านอาและอาสะใภ้อีกจำนวนมาก
ท่านอาทุกคนล้วนดีกับข้ายิ่งนัก ในบรรดาท่านอาทั้งหมด ข้าชอบท่านอาหลู่กับท่านอาเผยมากที่สุด ท่านอาหลู่เพียงแค่ตบมือก็สามารถแสดงกลให้ข้าดูได้แล้ว หนำซ้ำบนคางยังมีหนวดเคราให้ข้าดึงเล่นได้ด้วย แน่ล่ะ! พอข้าเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ข้าก็ไม่กล้าดึงเล่นอีก o(╯□╰)o
เพราะท่านแม่บอกว่าถ้าข้ายังกล้าดึงหนวดเคราของท่านอาหลู่ นางก็จะไม่ให้ข้ากินขาหมูอีกต่อไป พอคิดถึงกลิ่นหอมๆ และรสชาติของเนื้อขาหมูแล้ว ข้าจึงรู้สึกว่าควรอยู่ให้ห่างจากหนวดเคราของอาหลู่น่าจะดีกว่า ความสนุกสนานเช่นนั้นกินไม่ได้สักหน่อย
หลังจากการเล่นหนวดเคราของท่านอาหลู่เป็นเรื่องต้องห้าม ข้าจึงเปลี่ยนไปเข้าหาท่านอาเผยแทน
ท่านอาเผยผู้นี้ปกติแล้วไม่ค่อยพูดจา แต่ท่านอาก็ดีกับข้ามาก ตัวท่านอาเองมีลูกชายถึงสามคนซึ่งล้วนแต่ซุกซนทั้งนั้น ท่านอาจึงรักและเอ็นดูข้ามาก หากข้าต้องการอะไร ท่านอาก็จะหามาให้ทุกครั้ง บางครั้งท่านอายังเอาขาหมูที่เก็บไว้ในบ่อเก็บเสบียงมาให้ข้ากินอีกด้วย ทว่าท่านอากลับไม่มีหนวดเคราให้ข้าดึงเล่น ข้าจึงแสร้งทำเป็นปาดน้ำตาด้วยความเศร้าเสียใจและขอให้ท่านอาไปปีนต้นไม้เป็นเพื่อนข้าแทน น่าเสียดายที่ท่านอาไม่หลงกล กลับบอกให้ข้าไปหาพี่ใหญ่แล้วให้เขาช่วยสอนปีนต้นไม้
เฮ้อ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ไม่มีวันพาข้าไปปีนต้นไม้ด้วยเด็ดขาด แม้ท่านอาเผยไม่สนับสนุนข้าก็ช่างเถิด ในใจข้าก็เข้าใจได้อย่างดีเพราะข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว
วันหนึ่งพี่เทียนเฟยลูกชายของท่านอาหลู่มาหาข้าแล้วพูดอย่างใจดีว่า “ไปหาสมบัติด้วยกันไหม?”
ข้ามองพี่เทียนเฟยด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายแวบหนึ่ง ในใจพลันคิดว่าหาสมบัติอะไรกัน พื้นที่บนเขาแห่งนี้พวกเราก็ท่องเที่ยวไปจนทั่วมาตั้งนานแล้ว ทว่าพี่เทียนเฟยกลับทำท่าทางลับๆ ล่อๆ บอกว่า “พี่ฟ่านถวนบอกว่าในบ่อเสบียงของบ้านข้ามีของบางอย่างน่าสนใจ ตอนกลางคืนจะมีแสงแวววับด้วย”
พอข้าได้ยินก็ชักจะสนุกขึ้นมา ข้ารู้ดีว่าพี่ใหญ่ของข้านั้นเป็นคนที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ความคิดที่เขาเสนอนั้นต้องไม่เลวเป็นแน่
.
วันรุ่งขึ้น
ท่านพ่อและบรรดาท่านอาต่างพากันไปยังที่นา ท่านแม่และพวกท่านอาสะใภ้ก็ช่วยกันเอาของกินต่างๆ ออกมาตากที่ลานหน้าบ้านเพื่อทำเป็นของแห้ง
หลังจากพี่ใหญ่ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ ข้าก็หนีตามเขาออกมาข้างนอกทันที ทว่าพอถึงลานหน้าบ้านของท่านอาหลู่ ข้าก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่นั่นแล้ว พอคิดว่าอีกเดี๋ยวจะได้เห็นสมบัติล้ำค่าที่เปล่งแสงได้ ใบหน้าทุกคนก็ดูตื่นเต้นยิ่งนัก
ว่ากันว่าบ่อเก็บเสบียงแห่งนี้เมื่อก่อนครอบครัวของท่านอาหลู่เคยใช้งาน ต่อมาเป็นเพราะบ่อนั้นเล็กเกินไปจึงถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้อีกแล้ว ตอนนี้พวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่ปากบ่อ มีก็เพียงกลิ่นแปลกๆ ที่โชยออกมาตรงหน้า แต่ด้านในนั้นมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
พี่ฟ่านถวนถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วล้วงแท่งไม้จุดไฟออกมาอันหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นแท่งไฟนั้นเข้าไปในบ่อ พี่เทียนเฟยถามด้วยความสงสัย “เจ้าทำอะไรหรือ? เจ้าจะเผาสมบัติทั้งหมดหรือไงกัน?”
ข้าอดหัวเราะขำท่านพี่เทียนเฟยไม่ได้ “พี่ไม่รู้หรอกหรือ ท่านพ่อข้าเคยบอกว่าบ่อที่ไม่ได้ใช้งานมานาน ด้านในอาจจะมีไอพิษก็เป็นได้จึงต้องใช้ไฟเผาสักหน่อยก่อน”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พี่ใหญ่ก็โน้มกายลงดมกลิ่น สุดท้ายก็พูดว่า “ลงไปได้แล้ว”
พอพูดจบเขาก็กระโดดลงไปทันที แต่พี่เทียนเฟยยังลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยกระโดดตามลงไป จากนั้นท่านพี่คนอื่นๆ ก็ไม่ยอมรั้งรออีก รีบกระโดดตามลงไปติดๆ ส่วนข้าก็ถลกขากางเกงขึ้น จับที่ปากบ่อไว้แล้วกระโดดตามลงไปเช่นกัน เสียงของพี่เทียนเฟยตะโกนขึ้นมาว่า “เร็วเข้า ข้ารอรับเจ้าอยู่”
ข้าไม่ได้สนใจฟังเขา แต่ค่อยๆ หย่อนตัวลงไปก้นบ่อ ความจริงแล้วภายในบ่อนั้นมีดินและใบไม้ทับถมเต็มไปหมด หากตกลงไปก็ไม่น่าจะเจ็บเท่าไร ข้ารู้ว่าท่าทางเช่นนี้ของพี่เทียนเฟยก็เพียงเพื่อจะเอาใจข้าเท่านั้น สำหรับเรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดีกว่าใคร
หลังจากที่เด็กทั้งกลุ่มกระโดดลงไปแล้ว บ่อเล็กๆ ก็แน่นเบียดเสียดขึ้นมาทันที
—————————————————————————————————-