Hunter's Lady ดรุณีสุดที่รัก - ตอนที่ 132 ลงหลักปักฐาน
พวกเขาต่างจ้องมองเซียวจิงซันที่ถือผ้าอ้อมเปียกฉี่เดินออกไปด้านนอกแล้วพากันอุทานออกมา “ท่านแม่ทัพเซียวซักผ้าอ้อมเป็นด้วย!”
เผยจั้นเฟิงมองทุกคนแวบหนึ่ง ก่อนจะตีหน้าขรึมสั่งให้ทุกคนตามเซียวจิงซันออกไป แต่ทุกคนเหมือนไม่เข้าใจ เอาแต่ยืนนิ่งจ้องมองทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของเหมยจื่อ
เผยจั้นเฟิงจึงชักสีหน้าแล้วส่งเสียงตะเบ็งออกมาว่า “พวกเจ้าจะมาตะลึงอยู่ตรงนี้ทำไม ยังไม่รีบออกไปอีก!”
พวกเขาต่างทำอะไรไม่ถูก ได้แต่แสร้งทำเป็นลูบหน้าปะจมูกไปมา แล้วพากันเดินตามเผยจั้นเฟิงออกไปด้านนอก พอเห็นว่าทุกคนออกมากันครบแล้ว เผยจั้นเฟิงยังช่วยปิดประตูบ้านให้เหมยจื่อด้วย
เหมยจื่อเห็นท่าทางของเผยจั้นเฟิงก็อดรู้สึกซาบซึ้งใจในความละเอียดอ่อนของเขาไม่ได้ นางนั่งลงบนขอบเตียง อุ้มลูกน้อยไว้แนบอกแล้วเปิดเสื้อออกเพื่อให้ลูกกินนม
เซียวจิงซันกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงลานหน้าบ้านหยิบอ่างน้ำที่ใช้ซักผ้าอ้อมออกมา เผยจั้นเฟิงเองก็พลอยนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นเพื่อพูดคุยกับเขาด้วย เมื่อเห็นทั้งสองนั่งยองๆ อยู่ คนที่เหลือก็ไม่กล้ายืนและก็ยิ่งไม่กล้านั่งจึงนั่งยองๆ ตามกันไปหมด
เซียวจิงซันซักผ้าอ้อมพลางพูดคุยไปด้วยว่า “ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านในป่าเขา ข้าเองก็เป็นแค่นายพรานธรรมดาๆ คนหนึ่ง ต่อไปก็ไม่ต้องเรียกว่าท่านแม่ทัพกับฮูหยินอะไรนั่นอีก”
เผยจั้นเฟิงพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้ามองทุกคน “ที่ท่านแม่ทัพใหญ่พูด พวกเจ้าจำได้หรือไม่?”
“จำได้ขอรับ” ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียง
สายตาของเซียวจิงซันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มขณะมองเผยจั้นเฟิงอย่างจนใจ
เผยจั้นเฟิงจึงรู้ตัว เขายกมือขึ้นลูบจมูกตนเอง ก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า “อืม ข้าก็จำได้แล้วพี่เซียว”
ด้านนอกพวกผู้ชายพูดคุยกันเรื่องต่างๆ อยู่พักใหญ่ ส่วนด้านในเหมยจื่อก็ให้ลูกน้อยกินนมจนอิ่มแล้ว นางสวมเสื้อปิดมิดชิดอย่างเรียบร้อยก่อนจะกล่อมลูกน้อยให้นอนหลับแล้ววางเขาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นหญิงสาวก็หันมองออกไปทางหน้าต่าง
เหมยจื่อพบว่าด้านนอกยังคงมีหิมะโปรยปรายอยู่ ท่ามกลางละอองหิมะที่ร่วงหล่นมีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่นั่งยองๆ ไม่พูดไม่จากันอยู่เต็มลานบ้าน เฝ้ามองเซียวจิงซันซักผ้าอ้อม
และนอกลานบ้านยังมีอดีตม้าศึกอยู่อีกฝูง ตอนนี้พวกมันกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ บนหลังแบกสัมภาระที่ว่ากันว่ามีทั้งรังนก สร้อยกับจี้คุ้มภัยและหยกคุ้มภัยอะไรพวกนั้น
.
ผ่านไปครู่หนึ่งเซียวจิงซันก็ซักผ้าอ้อมเสร็จ
เขาใช้มือรูดเกล็ดหิมะที่เกาะอยู่บนราวเชือกออกแล้วนำผ้าอ้อมไปตาก เผยจั้นเฟิงมองตามด้วยความสงสัย “ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ตากผ้าไว้ตรงนี้จะไม่กลายเป็นน้ำแข็งไปหรือ?”
เซียวจิงซันจึงอธิบายว่า “ปกติแล้วก็จะเอาไปอังไว้ข้างเตาไฟ แต่วันนี้ข้างเตาไฟก็ตากไว้เต็มไปหมดจึงต้องเอามาตากไว้ตรงนี้ก่อน อีกเดี๋ยวค่อยเอาเข้าไปด้านใน”
เผยจั้นเฟิงฟังแล้วก็กระจ่าง กล่าวอย่างเข้าใจว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ทุกคนที่อยู่รายรอบพยักหน้าหงึกหงักตามไปด้วย “ยามพี่เซียวอยู่ในสนามรบก็วางแผนแยบยลยิ่ง ตอนนี้แม้แต่งานในบ้านก็จัดการได้อย่างรอบคอบไม่แพ้กันเลย”
เหมยจื่อที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างในบ้านพอได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา นางใช้นิ้วจิ้มเบาๆ ตรงหว่างคิ้วของลูกน้อยที่กำลังหลับสนิทแล้วเปรยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เห็นหรือยัง ท่านพ่อของเจ้าเคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ตอนนี้กำลังซักผ้าอ้อมให้เจ้าอยู่ด้านนอก ต่อไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเจ้าต้องเป็นคนเก่งเช่นกันนะ”
.
หลังจากซักผ้าอ้อมเสร็จ
เซียวจิงซันมองฝูงม้าที่ยืนเงียบสงบอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปราย แล้วหันกลับมามองบรรดาสหายที่ยังยืนจ้องตนเองตาปริบๆ จากนั้นก็คิดถึงปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ยามที่อากาศเหน็บหนาวถึงเพียงนี้ ภายในบ้านห้องหับก็น้อยนักแล้วจะให้พวกเขาพักกันอย่างไร?
อันที่จริงพวกโจรป่าก็เคยปลูกกระท่อมอยู่ที่นี่ แต่เพราะปล่อยทิ้งร้างเอาไว้นาน ตอนนี้แม้แต่หลังคาใบจากของกระท่อมก็ถูกลมพัดปลิวไปหมดจึงไม่อาจเข้าไปพักอาศัยได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากคนแล้วก็ยังมีฝูงม้า คอกลาของที่บ้านของตนคงไม่พอให้ม้าทั้งหมดเข้าไปอยู่ได้แน่
ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี เซียวจิงซันก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งทั้งส่งเสียงพูดคุยทั้งหัวเราะเดินมาแต่ไกลและกำลังมุ่งหน้ามาทางตน พอพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ก็พบว่าเป็นเฉินหงอวี่ เหยียนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ตื่นกันตั้งแต่เช้าแล้วชักชวนกันมาเพราะได้ยินว่ามีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ขี่ม้ามาที่บ้านของเซียวจิงซัน
หากจะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้พวกของเฉินหงอวี่และบรรดาโจรป่าเคยร่วมกันต่อสู้กับฝูงหมาป่าเพื่อปกป้องคนในหมู่บ้าน นับแต่นั้นพวกเขาก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี พอมองจากที่ไกลก็จดจำกันได้ทันที เฉินหงอวี่หัวเราะจนเห็นฟันขาวเรียงเต็มปากพร้อมทั้งตะโกนเสียงดังว่า “นั่นพี่เผยไม่ใช่หรือ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมา!”
พวกโจรป่าเองก็จำได้ว่าผู้ที่ตะโกนเรียกคือเฉินหงอวี่ พวกเขารีบวิ่งออกไปที่ประตูใหญ่แล้วทักทายเสียงดังกลับไป ต่างฝ่ายต่างดีใจที่ได้เจอมิตรสหายที่จากกันไปนาน บ้างก็ตบบ่าบ้างก็โอบไหล่ มิตรภาพของชายหนุ่มที่เคยร่วมมือร่วมแรงขับไล่ฝูงหมาป่าให้ล่าถอยนั้นหยั่งลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขาอย่างไม่มีวันลบเลือน
สุดท้ายแล้วเป็นเฉินหงอวี่ที่ตบบ่าของเผยจั้นเฟิงแล้วกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ถือเสียว่าพวกท่านได้กลับบ้านแล้ว!”
ประโยคนี้ทำเอาชายฉกรรจ์อกสามศอกอย่างเผยจั้นเฟิงถึงกับขอบตาแดง เขากุมมือของเฉินหงอวี่ไว้แน่น กล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ต่อจากนี้หมู่บ้านลี่สุ่ยก็คือบ้านของพวกข้า ยามนี้พวกข้ากลับจากทำศึกแล้ว!”
เฉินหงอวี่ยิ้มอย่างยินดี “กลับมาก็ดี น้องชายคนเล็กของข้าก็ไปร่วมทำศึกกับกองทัพเช่นกัน ไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีจดหมายมาบอกว่ากำลังจะกลับ พ่อแม่ของข้าจึงปรึกษากันว่าจะให้เขาแต่งงานมีครอบครัวเสียที ในเมื่อพวกท่านกลับมาแล้ว ข้าจะไปบอกพวกแม่สื่อทาบทามผู้หญิงดีๆ มาให้พวกท่านด้วย เอาอย่างพี่จิงซันสร้างครอบครัวและปลูกบ้านช่องใหม่”
เผยจั้นเฟิงได้ยินก็มีสีหน้าลำบากใจ “โธ่! พูดไปถึงไหนกันนี่ พวกข้าทั้งจนทั้งไม่มีอะไร หญิงสาวที่ไหนจะยอมแต่งงานด้วย สุดท้ายคงต้องโดดเดี่ยวตามเคย”
เฉินหงอวี่กลับไม่เห็นด้วย เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางหัวเราะ จากนั้นก็หันไปมองบรรดาพี่น้องที่อยู่ด้านหลัง “พี่เผยของพวกเจ้าบอกว่าจะไม่แต่งงาน หรือพวกเจ้าก็ตั้งใจจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ?”
บรรดาพี่น้องอดีตโจรป่าต่างพากันกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็มีพวกใจกล้าหน่อยที่หัวเราะแล้วตะโกนตอบไปว่า “พวกเราไม่ยอมอยู่เป็นโสดแน่!”
เหยียนที่ยืนทำหน้าเคร่งขรึมไม่พูดไม่จามาตลอดกลับพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าดูสหายเซียวเป็นแบบอย่าง เขาก็กลับมาจากภายนอกเหมือนพวกเจ้า เดิมทีก็อาศัยอยู่ตัวคนเดียว เก็บตัวเงียบไม่ชอบพูดคุยกับใคร หลังจากนั้นก็ได้แต่งงานกับเหมยจื่อ แล้วดูตอนนี้สิ! มีทั้งครอบครัวทั้งการงานและยังมีลูกน้อยน่ารักอีกด้วย ชีวิตความเป็นอยู่นับวันก็ยิ่งสบายขึ้นเรื่อยๆ”
พี่น้องทุกคนพากันแอบชำเลืองมองเผยจั้นเฟิง “พวกข้าก็ต้องเอาอย่างพี่เซียวอยู่แล้ว อยู่ที่หมู่บ้านลี่สุ่ยหาผู้หญิงมาแต่งด้วยสักคนหนึ่ง”
เผยจั้นเฟิงจำต้องพูดด้วยสีหน้าจนใจ “เอาเถอะ! ต่างคนต่างคิดหาวิธีตบแต่งกันเองแล้วกัน ตกลงว่าพวกเราจะลงหลักปักฐานมีเมียมีลูกกันอยู่ที่นี่!”
บรรดาพี่น้องต่างมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็โห่ร้องส่งเสียงดังอื้ออึง
เผยจั้นเฟิงถึงกับส่ายศีรษะอย่างระอา ส่วนเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ตบบ่าของเขาเป็นการปลอบแล้วบอกว่า “นี่เป็นธรรมชาติของลูกผู้ชาย”
.
พอมีคนมากขึ้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูง่ายขึ้น
ยามนี้ปัญหาเรื่องว่าพวกโจรป่าจะอยู่อาศัยกันอย่างไรได้กลายเป็นปัญหาของทุกคนไปเสียแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงช่วยกันออกความเห็นต่างๆ นานา สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า…
ก่อนอื่นต้องให้พวกเขาแยกย้ายกันไปนอนตามบ้านของชาวบ้านก่อนสักระยะ หลังจากนั้นก็รีบซ่อมแซมกระท่อมหลังเก่าที่ผุพัง อย่างน้อยก็ต้องมุงหลังคาเสียใหม่ให้พอมีที่บังแดดกันฝน เช่นนี้ปัญหาเรื่องที่พักอาศัยก็หมดห่วงไปได้
ส่วนเรื่องฝูงม้า เฉินหงอวี่เสนอขึ้นมาว่าอันที่จริงก็มีบางครอบครัวในหมู่บ้านที่เลี้ยงม้าเลี้ยงลาอยู่ด้วย ดังนั้นก็จะมีคอกเลี้ยงสัตว์อยู่ที่บ้าน ในเมื่อมีคอกอยู่แล้วหากจะเลี้ยงม้าเพิ่มอีกสักตัวก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงจัดให้ม้าแต่ละตัวถูกนำไปเลี้ยงตามบ้านเรือนของชาวบ้าน เมื่อถึงเวลาหากใครมีความจำเป็นต้องใช้สัตว์พาหนะก็สามารถมาหยิบยืมม้าของพวกเขาไปใช้ได้ ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
พอได้ฟังข้อเสนอที่ดีเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะได้รับเสียงปรบมือจากทุกคน บางคนยังกล่าวชื่นชมด้วยว่าเฉินหงอวี่นั้นเป็นคนฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ดังนั้นคนในหมู่บ้านที่มีคอกเลี้ยงสัตว์จึงให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มอกเต็มใจ ท้ายที่สุดปัญหานี้ก็สะสางได้เป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน
—————————————————————————————————–