Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 134 กองทหารหมาป่าวั่นโซ่ว! (2)
โจวเหว่ยชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “เมื่อรับรู้ถึงกําลังของ ตัวเองและฝ่ายศัตรูได้ทะลุปรุโปร่งแล้วเท่านั้น เราจึงจะมั่นใจในชัย ชนะได้ ข้าอยากจะสัมผัสกองทหารหมาป่าวั่นโซ่วด้วยตัวเองเพื่อ ทดสอบว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เอาล่ะ นี่คือแผน เว่ยเฟิง นําม้าที่ดี ที่สุด 7 ตัวมาที่นี่ รวมถึงชุดเกราะป้องกันของผู้คุมที่เราเคยยึดมาก่อน หน้านี้อีก 9 ชุด เราจะปลอมตัวเป็นหน่วยลาดตระเวนธรรมดาๆ จาก กองทัพภาคเหนือและต่อสู้กับหน่วยทหารหมาป่าเหล่านี้ หากแพ้ หรือไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ทั้งหมด นั่นก็จะไม่เปิดเผยการมีอยู่ของ กองพันไร้พ่ายหรือตําแหน่งของเรา”
เว่ยเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ มณี 6 ชุดและสูงกว่านั้นจํานวน 9 คนโดยไม่พ่ายแพ้ เขาก็มีความมั่นใจ เพิ่มมากยิ่งขึ้น
เว่ยเฟิงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กองพันไร้พ่ายนับตั้งแต่ โจวเหว่ยชิงมาถึง สําหรับผู้บัญชาการกองพันหนุ่มคนนี้ เขาให้ความ เคารพและเห็นชอบด้วยอย่างแน่นอน ชายหนุ่มรู้เช่นกันว่าโจวเหว่ยชิง ได้รับความเคารพจากเหล่าทหารทั้งกองพัน อย่างน้อยเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ทํา
ให้พวกเขากินอิ่ม มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ และแม้กระทั่งได้รับผลกําไรอย่าง คาดไม่ถึง สิ่งสําคัญกว่านั้นคือโจวเหว่ยชิงได้มอบสิ่งที่พวกเขาไม่เคย วาดฝันว่าจะได้รับมาก่อนในชีวิต นั่นก็คือความหวัง ความหวังที่ว่าสัก วันพวกเขาจะออกจากสถานที่ซึ่งถูกเทพเจ้าละทิ้งแห่งนี้
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อาวุโสเว่ย พาคนอื่นๆ ไปซ่อนตัวอยู่รอบ ต้นไม้ในระยะไกลๆ เพื่อสังเกตว่าเราต่อสู้กันอย่างไร คนเหล่านี้คือ อาจารย์ของข้า พวกเขามาที่นี่เพื่อเป็นอาจารย์สอนยิงธนูของพวกเจ้า นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นทักษะยิงธนูเสมือนเทพของอาจารย์”
เมื่อได้ยินว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านี้เป็นอาจารย์ของโจวเหว่ยชิง สายตาที่ใช้มองพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที แค่โจว เหว่ยชิงก็มีพลังที่น่า รังเกียจมากแล้ว คนเหล่านี้จะอ่อนแอได้อย่างไร?
เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ม้าและอุปกรณ์ก็ถูกส่งต่อมาให้พวกเขา สมาชิกหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ รวมโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ พลันเปลี่ยนเป็นชุดเกราะทหารคุ้มกันของกรมทหารที่ 16 โจวเหว่ยชิง และซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ขี่ม้าปีศาจผีของพวกเขาในขณะที่คนอื่นๆขี่ม้า ศึกธรรมดา ก่อนที่ทั้ง 9 จะพุ่งลงเขาไปพร้อมๆ กัน มุ่งหน้าสู่ที่ราบเบื้อง หน้า
“อาจารย์หัวเฟิง ท่านคอยสั่งการพวกเรา” โจวเหว่ยชิงกล่าวกับ หัวเฟิง
หัวเฟิงยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า “กองทหารหมาป่าเพียงร้อย นายนั่นไม่จําเป็นต้องให้ข้าออกคําสั่งมากนักหรอก เจ้าและแม่นางเฟย เอ๋อร์เพียงแค่คอยป้องกันให้พวกเราและลงมือกับใครก็ตามที่อาจเข้า มาใกล้เราได้สําเร็จ ส่วนที่เหลือทิ้งให้พวกเราจัดการเถอะ”
ประโยคง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของ หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างแท้จริง แม้ว่าทั้งหมดจะมีจํานวนเพียง 7 คนและศัตรูของพวกเขาคือกองทหารหมาป่าที่ทรงพลังซึ่งพวกเขาไม่ เคยประจันหน้ามาก่อน แต่ก็อย่าลืมว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เคย ใช้ทั้ง 7 คนนี้สร้างความกลัวให้กับอาณาจักรคาลิเซมาก่อน แม้กระทั่ง อาณาจักรป่ายต้า ก่อนหน้านี้หัวเฟิงไม่ได้บอกโจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับกลุ่ม จ้าวมณีสวรรค์ที่ถูกส่งมาเพื่อฆ่าพวกเขา หัวหน้ากลุ่มที่ลอบโจมตีผู้นั้น แท้จริงแล้วคือจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชา จากสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว ทุก คนก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่าอาณาจักรป่ายต้าให้ความสําคัญกับ หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์มากเพียงใด
อันที่จริงสมาชิกหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อาจไม่แข็งแกร่งในแง่ของ พลังปราณและพละกําลังส่วนบุคคล แต่พวกเขาได้ฝึกฝนการยิงธนูมา จนถึงระดับสูงสุดแล้ว เมื่อทั้ง 7 คนอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและมี ระยะห่างมากเพียงพอ พวกเขาก็สามารถต่อสู้กับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 9 ชุดได้ด้วยซ�า
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยังคงอยู่เคียงข้างโจวเหว่ยชิง เธออยากรู้มากว่า อาจารย์ของโจวเหว่ยชิงมีความสามารถหรือพลังเช่นไร ด้วยระดับพลัง ปราณของเธอ หญิงสาวสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดายว่าไม่มีคนใดใน พวกเขาที่มีพลังปราณสวรรค์เทียบเท่ากับเธอและไม่มีคนไหนเป็นจ้าว มณีสวรรค์เลย เป็นเพียงจ้าวมณีธรรมดาๆ เท่านั้น ทว่าซ่างกวนเฟย เอ๋อร์ก็ยังสัมผัสถึงความเคารพและความชื่นชมที่โจวเหว่ยชิงมีต่อพวก เขาได้อย่างชัดเจน
ในขณะนั้น ทุกคนก็สามารถมองเห็นกลุ่มฝุ่นละอองปลิวว่อนใน ระยะไกลๆ ได้ในทันที ฝ่ายนั้นกําลังมุ่งหน้ามาในทิศนี้ด้วยความเร็วสูง
“เร็วมาก!” ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของโจว เหว่ยชิง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือหน่วยทหารหมาป่า สังเกตจากฝุ่นดิน ที่ก่อตัวขึ้นและความเร็วที่อีกฝ่ายใช้เคลื่อนที่ เขาก็สามารถบอกได้ว่า กองทหารหมาป่าเหล่านี้เร็วกว่าม้าปีศาจผีทั่วไปและมีความเร็ว ใกล้เคียงกับม้าปีศาจผีเขาเดียวของตนเอง นอกจากนี้ เมื่อหมาป่า เหล่านี้ออกวิ่ง ฝีเท้าของพวกมันก็เงียบกริบมาก หากเด็กหนุ่มมองไม่ เห็นฝุ่นคลุ้งเบื้องหน้า เขาก็คงไม่ได้ยินอะไรเลย แตกต่างจากเสียงกีบ เท้าของหน่วยทหารม้าทั่วๆ ไปที่ดังเป็นจังหวะสนั่นหวั่นไหว
วิสัยทัศน์การมองเห็นของพวกเขาเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป และ ณ จุดนี้ ทั้งหมดก็สามารถมองเห็นกองทหารหมาป่านับร้อยกําลังเร่ง ความเร็วมาจากระยะทางประมาณ 1,000 หลา
หมาป่าสงครามมีขนสีดําอมเทา ตัวใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไป ลําตัว ยาวประมาณ 3 เมตรและสูงเกือบเท่าม้าศึกธรรมดา แม้อีกฝ่ายจะยัง อยู่ห่างออกไปไกล แต่ทุกคนก็ยังสามารถสัมผัสกลิ่นอายดุร้ายของพวก มันได้
ทหารที่ขี่อสูรหมาป่าสวมชุดเกราะหนังเรียบง่าย และส่วนที่โดด เด่นที่สุดคือหมวกเกราะที่มีเขาคู่งอกออกมา แต่ละข้างมีขนาดค่อนข้าง ใหญ่ ส่งให้ภาพลักษณ์นั้นดูดุร้ายเช่นเดียวกับสายตาโหดเหี้ยมของพวก เขา ในมือทหารหมาป่ายังถือดาบโค้งขนาดใหญ่ยาวเกือบ 2 เมตรมา ด้วย
กองร้อยมนุษย์หมาป่าที่เร่งความเร็วดูเหมือนจะกําลังหันทิศทาง เคลื่อนที่ของพวกเขามาทางนี้เมื่อโจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆ กําลังมอง สํารวจ ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาก็สังเกตเห็นโจวเหว่ยชิงด้วยเช่นกัน เมื่อ ถึงจุดนี้ ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามก็เพิ่มขึ้นและพุ่งเข้ามาใกล้ในทันที
“ป้อมธนู ลูกปืนใหญ่ [ในกรณีที่ใครลืม ป้อมธนูคือฮั่นโม่ ลูกปืน ใหญ่คือเกาเฉิน] เจ้าสองคนเป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตี ยี่ฉือ สนับสนุนการรบ เหลี่ยมจัด เจ้าจัดการพวกที่เหลือหรือผู้ที่พยายาม
หลบหนี ใครก็ตามที่สามารถเข้ามาถึงตัวพวกเราได้ภายในระยะ 200 หลา สุ่ยเฉาและมู่เอิน เจ้าสองคนจะจัดการพวกเขา ข้าจะวิ่งสลับไปมา ตามความจําเป็น” เสียงของหัวเฟิงดังขึ้นอย่างเฉื่อยชาขณะที่เขาสั่ง การอย่างรวดเร็ว แต่เพราะพวกเขาต่อสู้ร่วมกันมาหลายปี แม้ว่าหัวเฟิง จะไม่ได้ให้คําแนะนํา พวกเขาก็ไม่มีปัญหาใดๆ อยู่แล้ว
…
หยําฉาเป็นหนึ่งในนักรบที่ดีที่สุดของเผ่ามนุษย์หมาป่าวั่นโซ่ว ด้วย ความสามารถทางทหารและการมีส่วนร่วมในสนามรบ เขาจึงสามารถ ก้าวขึ้นสู่ตําแหน่งหัวหน้ากองร้อยได้ เวลานี้ชายหนุ่มจึงต้องการความดี ความชอบในสนามรบอีกเล็กน้อยเพื่อให้ได้รับตําแหน่งรองผู้บัญชาการ กองพัน
จํานวนประชากรของอาณาจักรวั่นโซ่วน้อยกว่าอาณาจักรจ้งเทียน มาก แต่ทั้งหมดล้วนสามารถร่วมต่อสู้กับกองทัพได้ คราวนี้หยําฉาได้นํา กองร้อยทั้งหมดของเขาลอบเข้าไปในพรมแดนของอาณาจักรจ้งเทียน เพื่อหวังจะสังหารหน่วยลาดตระเวนหรือหน่วยสอดแนมได้สักกอง
อาหารที่พวกเขาปล้นมาเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วใกล้จะหมดลง เต็มที และเผ่ามนุษย์หมาป่าของพวกเขาก็กําลังดิ้นรนเพื่อให้มีอาหาร เพียงพอจนกระทั่งจบฤดูนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเหยียดหยามกองทหาร อาณาจักรจ้งเทียน แต่ม้าเหล่านั้นก็ยังคงเป็นอาหารชั้นเลิศ นอกจากนี้
หากพวกเขาสามารถเข่นฆ่าศัตรูได้มากขึ้น บางทีเขาอาจจะได้ขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการกองพันก็เป็นได้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หยําฉาทําอะไรเช่นนี้ ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ผู้ใดของเหล่าหมาป่าสงคราม พวกเขาจึงมักจะสามารถเคลื่อนพลผ่าน ชายแดนเพื่อเข้าตีในรูปแบบกองโจรและกําชัยชนะเพียงพริบตาเดียว ในสายตาของหยําฉา คราวนี้ก็คงไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก
ในระยะไกลๆ เขามองเห็นทหารกองเล็กๆ จากอาณาจักรจ้งเทียน ซึ่งน่าจะเป็นทหารม้าหน่วยลาดตระเวน เขาคิดกับตัวเองว่า ฮ่าๆ พวก มันทั้งหมดมีม้า! นี่จะต้องเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมแน่! เมื่อเราปล้นม้า เหล่านั้นกลับมาได้ มันจะกลายเป็นอาหารสําหรับชนเผ่าไปอีกหลายวัน
ทันใดนั้น หยําฉาก็ออกคําสั่งและกองร้อยทั้งหมดของเขาก็เลี้ยวตัว พุ่งออกไปยังหน่วยลาดตระเวนเล็กๆ จากอาณาจักรจ้งเทียนทันที
การพุ่งจู่โจมของพวกเขาดําเนินมาระยะหนึ่ง ทันใดนั้น หยําฉาก็ รู้สึกหนักอึ้งขึ้นในใจ ในฐานะมนุษย์หมาป่าที่มีสายเลือดหมาป่า ไหลเวียนอยู่ในร่าง พวกเขาทุกคนมีประสาทสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่า มนุษย์ทั่วๆ ไป และสําหรับนักรบที่ยอดเยี่ยมเช่นเขาก็ยิ่งสัมผัสได้ดีกว่า คนที่เหลือมากนัก
ในขณะนั้นพลันเกิดเสียงดังขึ้นกลางอากาศ ลูกศรพุ่งเข้ามาที่ ใบหน้าของเขาทันที
แน่นอนว่าหยําฉายังคงสมควรได้รับตําแหน่งหนึ่งในผู้บัญชาการ กองร้อยที่ดีที่สุดในเผ่ามนุษย์หมาป่า ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความ ตาย เขายกดาบโค้งในมือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ใบมีดหนาขวางลูกศรเอาไว้ ได้อย่างหวุดหวิด
*เคร้ง* ขณะที่ลูกศรพุ่งเข้ามา ดาบโค้งของหยําฉาก็สั่นสะเทือน อย่างรุนแรงพร้อมกับคลื่นกระแทกที่ทําให้ร่างกายส่วนบนของเขา กระเด็นถอยไปข้างหลัง
แรงขนาดนี้เชียวรึ! เราพบกับจ้าวมณีเข้าเสียแล้ว!
นี่เป็นความคิดแรกของหยําฉา ถัดมาเขาก็เห็นลูกศรอีกลูกหนึ่งซึ่ง เปล่งแสงสีแดงพุ่งผ่านหน้าไป
เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ทหารหมาป่าคนหนึ่งพลันต้องแรง ระเบิดและถูกโยนออกจากหลังหมาป่าที่เขาควบขี่อยู่ทันที ปฏิกิริยา การตอบสนองของชายหนุ่มคนนั้นไม่เร็วเท่าหยําฉา และด้านหน้าของ ชุดเกราะหนังก็ถูกฉีกขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เผยให้เห็นเนื้อที่ กลายเป็นแผลเละเหวอะหวะ
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณนักรบ ของกองทหารหมาป่าด้วย มนุษย์หมาป่าที่ถูกเหวี่ยงออกจากหลังหมา ป่ากระเด็นเข้าหาทหารอีกสองคน แต่พวกเขาก็หมุนตัวหลบไปด้านข้าง อย่างง่ายดาย หลีกเลี่ยงชายคนนั้นเพื่อไม่ทําให้เกิดการปะทะกัน คนที่ อยู่ข้างหลังมีเวลาให้ตอบสนองมากกว่า และเขาก็สามารถคว้าร่างของ สหายไว้ได้ทันเวลา
“บัดซบ! ไอ้นั่นคือนักธนูจ้าวมณีของอาณาจักรจ้งเทียน! ทูลูลู!” หยําฉาตะโกนเสียงดัง ดาบโค้งในมือของเขาถูกกวาดขึ้น ในชั่วพริบตา นั้น แสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างของเขาและหมาป่าสงครามที่อยู่ ด้านล่าง จากนั้นร่างกายของพวกเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นในฉับพลัน
“ทูลูลู!” เสียงตะโกนที่คล้ายกันดังสวนออกมาจากทหารหมาป่า คนอื่นๆ
ในอาณาจักรวั่นโซ่วไม่มีจ้าวมณีธรรมดา มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ เท่านั้น กล่าวคือพวกเขาไม่มีจ้าวมณียุทธ์หรือจ้าวมณีธาตุแยกกันแบบ เดี่ยวๆ แต่เป็นทหารธรรมดาหรือไม่ก็จ้าวมณีสวรรค์ไปเลย
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาขาดแคลนพลัง ชน เผ่าต่างๆ ของอาณาจักรวั่นโซ่วล้วนมีข้อได้เปรียบจากพลังของ สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง สําหรับเผ่ามนุษย์หมาป่า คาถาที่ ก่อให้เกิดพลังทางสายเลือดของพวกเขาก็คือ ‘ทูลูลู’
พลังสายเลือดของเผ่ามนุษย์หมาป่าได้ผลกับทั้งพวกเขาและอสูร หมาป่า ทําให้พลังป้องกันและความเร็วของทั้งคู่เพิ่มขึ้นชั่วขณะ
…
ในอีกด้านหนึ่ง ฮั่นโม่และเกาเฉินที่ปล่อยลูกศรออกมาคนละดอก ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ
ลูกศรที่หยําฉาปัดออกไปได้นั้นถูกยิงโดยฮั่นโม่ และลูกศรที่ทําให้ ทหารม้าอีกคนกระเด็นออกไปก็คือลูกศรของเกาเฉินซึ่งเต็มไปด้วย ทักษะธาตุไฟของเขา
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่ห่างกันประมาณ 700 หลา แต่ทั้งคู่ก็มั่นใจ มากว่าลูกศรของพวกเขาทรงพลังเพียงใด ถึงกระนั้น หัวหน้ากองร้อย ของพวกเขาก็สามารถสกัดกั้นลูกศรของฮั่นโม่ได้อย่างง่ายดาย และ แม้ว่าทหารหมาป่าธรรมดาจะถูกลูกศรของเกาเฉินยิงโดน อีกฝ่ายก็ยัง ไม่ตายในทันที เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
เสียงตะโกนและโห่ร้องดังก้องเป็นทอดๆ จากปากเหล่าทหารหมา ป่านับร้อย และท่ามกลางแสงสีเขียววูบวาบ หมาป่าสงครามของอีก ฝ่ายก็พุ่งตัวเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วและดุร้าย
“ไม่น่าแปลกใจที่พวกนั้นสามารถเอาชนะทหารธรรมดาได้แบบ 1 ต่อ 10 ทหารของอาณาจักรวั่นโซ่วเหล่านี้แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวมาก
จริงๆ” หัวเฟิงยังคงมีท่าทีสง่างามและสงบเงียบตามปกติ แต่แววตา ของเขากลับเผยแววแปลกใจ
กระทั่งซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ที่ยืนมองจากด้านข้างก็ยังต้องตกใจ ทว่า สําหรับเธอ ความประหลาดใจที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความแข็งแกร่งของกอง ทหารหมาป่า แต่เป็นทักษะการยิงธนูของฮั่นโม่และเกาเฉิน
นั่นคือระยะทาง 700 หลา! สําหรับคนธรรมดา แค่พยายามมอง จากระยะไกลก็น่าจะเห็นเพียงจุดสีดําเล็กๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ด้วย สภาพอากาศทางตอนเหนือที่หนาวเย็น ลมจึงพัดแรงมาก กระนั้น แม้ จะอยู่ในระยะทางและเงื่อนไขเช่นนี้ ลูกศรที่ยิงออกไปกลับยังดู เหมือนว่าพวกมันมีดวงตางอกออกมา นี่ไม่ใช่ปรมาจารย์นักธนูทั่วๆไป แน่นอน สําหรับโจว เหว่ยชิง การที่เขาถึงกับอธิบายทักษะการยิงธนู ของคนเหล่านี้ว่าอยู่ในระดับเทพเจ้า นั่นคงจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงเสีย แล้ว
…………………………………………………