Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 130 เปลวไฟสีเขียวทอง! (2)
เปลวไฟและความร้อนอันน่าสะพรึงกลัวทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง แม้ว่าโล่เทพอมตะจะสามารถปิดกั้นพลังโจมตีบางส่วนได้ แต่มันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ในแทบจะในทันทีและไม่สามารถต้านเอาไว้ได้ทั้งหมด
ในขณะนั้น จิตใจของโจวเหว่ยชิงพลันว่างเปล่า จู่ๆ เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง แม้ว่าเขาจะมีทักษะที่ทรงพลังมากมายและสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังมากกว่าตัวเองได้ แต่เขาก็ยังคงเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุด! หากโดนทักษะอันทรงพลังของศัตรูเข้าอย่างจัง เขาก็คงไม่อาจรับมือไหว เกราะเทพอมตะและสถานะปีศาจกลายร่างทำให้เขามีพลังป้องกันเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุดทั่วๆ ไป แต่นั่นก็ยังคงมีขีดจำกัด และชัดเจนว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เขาทำได้คือมุ่งสมาธิไปที่หลุมดำพลังปราณและหมุนเวียนพวกมันด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อหวังว่าตนจะมีโอกาสรอดชีวิตต่อไปได้
ข้าจะเสียโฉมรึ? ปิงเอ๋อร์ เทียนเอ๋อร์…พวกนางเป็นหญิงงามของโลกใบนี้…ข้าไม่ยอมเสียโฉมหรอกนะ! อ๊ากกกก!!
กระทั่งในเวลาเช่นนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะเล่นตลกกับตัวเองเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ตื่นตระหนกมากเกินไป มิฉะนั้นเขาก็คงจะตายเร็วขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดนั้นยังคงอยู่เพียงชั่ววินาทีก่อนที่คลื่นความร้อนแปลกประหลาดซึ่งลุกลามออกมาจากภายในร่างกาย กระดูก และแขนขาทั้ง 4 ของเขาจะระเบิดออกไปด้านนอก ไม่นานหลังจากนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่ารูขุมขนบนผิวหนังของเขาเกิดแรงดึงดูดอันน่าพิศวงขณะความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ช่วงเวลาต่อมา เปลวไฟสีเขียวทองที่ทำให้เขาเจ็บปวดก็เลือนหายไปทันที
นี่ข้าเพิ่งดูดซับมันเข้าไปเหรอ? นั่นคือความรู้สึกของโจวเหว่ยชิงในเวลานั้น มันไม่ได้มาจากทักษะทักษะกลืนกิน แต่ถูกผิวหนังของเขาดูดซับโดยตรง…
ดูดซับพลังโจมตีที่ร้ายแรงเกินพอจะทำลายเขาได้ทั้งร่าง กะ…เกิดอะไรขึ้น?!
หลังจากเกิดความเงียบงันชั่วครู่ โจวเหว่ยชิงก็เป็นคนแรกที่ได้สติ ทักษะผนึกมังกรเงียบของเขาถูกปลดปล่อยออกมาสำเร็จแล้ว และ ณ เวลานี้ เขาจะยังใจดีอยู่ได้อย่างไร ผนึกมังกรเงียบถูกส่งออกไป 4 ครั้งที่ศัตรูอยู่ตรงหน้าเขา 3 คนโดยไม่ลังเล และอีกส่วนหนึ่งมุ่งไปยังเซินจี้ที่ยังคงจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาด้วยโซ่แห่งสงคราม
เมื่อซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พุ่งเข้าหาเขา นั่นจึงเป็นภาพแรกที่หญิงสาวได้เห็น
โชคของเซินจี้ยังถือว่าค่อนข้างดี ถ้าทักษะผนึกมังกรเงียบของโจวเหว่ยชิงมีผลก่อนหน้านี้สักวินาที เขาก็คงจะสูญเสียศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บทันทีที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์โจมตีด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ้นสุด ถ้าเป็นเช่นนั้น การโจมตีครั้งนั้นก็น่าจะคร่าชีวิตเขาไปด้วย
โชคดีที่ทักษะผนึกมังกรเงียบของโจวเหว่ยชิงมาถึงช้าไปหน่อย ดังนั้นเขาจึงรอดชีวิตมาได้
ทันทีที่ใช้ทักษะผนึกมังกรเงียบสำเร็จ ร่างของโจวเหว่ยชิงก็หายไปในพริบตา ค้อนในตำนานทั้ง 2 ในมือของเขาพร้อมที่จะฟาดฟันศัตรูอย่างไร้ความปราณีแล้ว โดยเฉพาะเซินปู้…ผู้หญิงคนนี้เกือบจะฆ่าเขา!
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ภาพวูบไหวก็ปรากฏต่อหน้าโจวเหว่ยชิงก่อนที่ร่างบอบบางก็ตรงเข้าสวมกอดเขา “อ้วนน้อย อ้วนน้อย…เจ้าปลอดภัยไหม?”
ร่างนั้นเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และโจวเหว่ยชิงก็ไม่ทันแม้แต่จะตอบสนองแม้ว่าเขาจะพยายามแล้วก็ตาม แน่นอน เมื่อได้ยินเสียงนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีความคิดที่จะต่อต้านแต่อย่างใด
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นใบหน้าของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ ทั้งกระวนกระวาย วิตกกังวล และปวดใจ โจวเหว่ยชิงพลันตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อเห็นเช่นนี้ เมื่อทั้งคู่สบตา หัวใจก็ได้แต่สั่นสะท้าน
“หยุด! ทุกคนหยุด!” เสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยวของเซินจี้ดังขึ้น แม้ว่าศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของเขาจะถูกจำกัดโดยทักษะผนึกมังกรเงียบของโจวเหว่ยชิง แต่พลังปราณสวรรค์ของเขาก็ยังคงใช้การได้อยู่ เสียงตะโกนของชายหนุ่มจึงไม่เบาเลย ตอนแรกคนที่อยู่รอบๆ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กำลังจะทำการโจมตีต่อไป แต่พวกเขากลับหยุดทันทีหลังจากได้ยินเสียงตะโกน
“อย่าแตะข้า!” เสียงร้องของโจวเหว่ยชิงดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงกระโกนของเซินจี้ เหตุผลง่ายๆ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กังวลว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับโจวเหว่ยชิง เธอจึงยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขา อนิจจา เธอลืมไปว่าตัวเองยังสวมกรงเล็บศาสตรามณียุทธ์อยู่…หากซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ลูบใบหน้าของเขาจริงๆ ‘ใบหน้าที่ดูสง่าผ่าเผย’ ของโจวเหว่ยชิงก็อาจจะถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้
หลังจากนั้น ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและรีบวางมือลง หญิงสาวจับข้อมือของโจวเหว่ยชิงก่อนจะหันไปทางเซินจี้ เนื่องจากโจวเหว่ยชิงยังสบายดี หัวใจของเธอจึงสงบลงและปล่อยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ้นสุดทิ้งไป
สัญลักษณ์สีม่วงของทักษะผนึกมังกรเงียบยังคงอยู่เหนือศีรษะของเซินจี้ในขณะที่เขาก้าวเดินมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้กำแพงจินกังหายไปแล้ว ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ประมาณ 5 หลาก่อนจะหยุด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยขณะมองไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และพูดว่า “ท่าน...ท่าน...”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ขณะที่เรียกคืนศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 4 ริมฝีปากของเธอขยับเล็กน้อยด้วยความเย็นชาขณะที่เอ่ยบางอย่างกับเขาอย่างลับๆ หญิงสาวสะบัดข้อมือและโบกมือต่อหน้าเขาครู่หนึ่งเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายได้เห็นอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น ใบหน้าของเซินจี้ก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มมองไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อมขณะที่โค้งคำนับ
เซินปู้และคนอื่นๆ กำลังสับสนงงงวย พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและทำได้เพียงรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังเซินจี้เพื่อแลกเปลี่ยนสายตาซึ่งกันและกัน
“เอาล่ะ พอแล้ว พวกเจ้าไปซะ” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์โบกมือเหมือนไล่แมลงวันและส่งสัญญาณให้พวกเขาจากไป
เซินจี้กล่าวด้วยความเคารพ “หากเป็นเช่นนั้น ได้โปรดดูแลตัวเองด้วย พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ ไปกันเถอะ” ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป แม้ว่าเซินปู้จะไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่เธอก็ต้องเชื่อฟังศิษย์พี่อาวุโสของตนเอง หญิงสาวจึงทำได้แค่เพียงติดตามเซินจี้จากไปด้วยความสับสนเท่านั้น
โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “เจ้าเผยตัวตนที่แท้จริงให้พวกเขารู้?”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยและหันไปหาเขาก่อนจะกล่าวว่า “ข้าบอกพวกเขาแค่ว่าข้ามาจากวังสวรรค์ไพศาลและเรากำลังปฏิบัติภารกิจลับ นับจากนี้ไป พวกเขาจะไม่ทำร้ายกองพันนักเลงของเจ้าแล้ว หลังจากที่ได้เห็นแผ่นป้ายประจำตัวของข้าและเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ้นสุด เขาย่อมไม่มีข้อสงสัยใดๆ”
“ก็ดีเหมือนกัน ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่ไปตรวจสอบกับวังสวรรค์ไพศาล ถึงอย่างไร เจ้าที่มาจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่น่าจะเข้าร่วมการต่อสู้ธรรมดาๆ การมาที่นี่จึงน่าจะเป็นภารกิจลับอย่างแน่นอน” โจวเหว่ยชิงกล่าวเมื่อตระหนักได้
“อ้วนน้อยโจว เจ้าไม่รู้เหรอว่าเมื่อกี้เจ้าทำให้ข้ากลัวแทบตายแล้ว” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พูดพร้อมกับกัดฟัน
โจวเหว่ยชิงชะงักไปชั่วขณะ มองไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ซึ่งยังคงมีน้ำตาวาววับในดวงตา ก่อนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อสร้างความมั่นใจให้เธอ ทันใดนั้นหญิงสาวก็คว้าแขนพร้อมกับพลิกร่างเขาลงไปนอนกับพื้นและหันหลังวิ่งหนีเข้าไปในกระโจมทันที
โจวเหว่ยชิงตกตะลึงและสับสนกับการกระทำนั้นโดยสิ้นเชิง ขณะนอนแผ่อยู่ เด็กหนุ่มก็คิดย้อนกลับไปยังดวงตาของเธอก่อนหน้านี้ หัวใจของเขาพลันรู้สึกสั่นไหว เป็นไปได้ไหมที่นางจะตกหลุมรักข้า เด็กหนุ่มผู้สง่างามคนนี้? เฮ้อ นางคือปีศาจน้อยแห่งวังสวรรค์ไพศาล แม้กระทั่งวิธีการแสดงความรักก็ยังดูแตกต่างกับคนอื่นๆ!
ศีรษะของเหล่าชายฉกรรจ์หัวแล้วหัวเล่าปรากฏเหนือร่างของโจวเหว่ยชิง บดบังท้องฟ้าเอาไว้จนมิด
“ผู้บัญชาการกองพัน ท่านยังสบายดีไหม?” เว่ยเฟิงถาม
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “รีบๆ ดึงข้าขึ้นไปได้แล้ว”
เว่ยเฟิงกล่าวด้วยท่าทางจริงจังพลางส่ายศีรษะ “หัวหน้า เราได้ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง การทำให้ท่านขุ่นเคืองไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การทำให้ครูฝึกของเราขุ่นเคืองถือเป็นปัญหาสำคัญระดับอาณาจักร ท่านควรลุกขึ้นด้วยตัวเองจะดีกว่า”
เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นมา กลุ่มนักเลงรวมถึงเว่ยเฟิงพลันวิ่งแตกฮือกระจัดกระจายไป
โจวเหว่ยชิงกระโดดขึ้นและสบถด่าด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “พวกเจ้าทุกคนไร้หัวใจจริงๆ มีเพียงความรุนแรงเท่านั้นสินะที่ทำให้เจ้าร่วมมือกันได้ หึ!”
หลังจากนี้ ภัยคุกคามจากกรมทหารที่ 16 ก็คงถูกแก้ไขแล้ว แม้ว่าทหารกองพันไร้พ่ายจะไม่รู้ว่าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ทำเช่นนั้นได้อย่างไร แต่พวกเขาก็ได้เห็นทั้งสองคนต่อสู้กับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุด รวมถึงเซินจี้ ผู้บัญชาการกองทหารด้วย! ความแข็งแกร่งดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนพูดไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าของพวกเขา ทำให้ทหารกองโจรเหล่านี้ประทับใจอย่างแท้จริง มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก นักเลงเหล่านี้ไม่มีใครคิดจะใช้ความรุนแรงกับโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อีก…ใครจะกล้าหาเหาใส่หัวแบบนั้นอีกล่ะ?
หลังอาหารค่ำ โจวเหว่ยชิงก็แอบไปที่กระโจมของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และพูดว่า “เฟยเอ๋อร์ …เฟยเอ๋อร์ ”
“อะไร?” เสียงของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ดังมาจากกระโจมซึ่งเห็นได้ชัดว่าแข็งแรงและทนทานมาก
ขณะนี้หญิงสาวนั่งอยู่ในกระโจมของตัวเองเงียบๆ หลังจากจัดการกับเซินจี้และคนอื่นๆ แล้ว แม้ว่าเธอจะคว่ำโจวเหว่ยชิงลงพื้น แต่หัวใจก็ยังไม่กลับไปเป็นปกติเสียที
ไม่ เป็นไปไม่ได้ ข้าจะชอบอันธพาลน้อยนั่นได้อย่างไร เขาเป็นของน้องเล็กของข้า!
ประโยคนั้นดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวใจของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์มากกว่าร้อยครั้ง ความสับสนในใจทำให้ปีศาจน้อยแห่งวังสวรรค์ไพศาลไร้สิ้นซึ่งปัญญาจะแก้ไข หญิงสาวไม่รู้ว่าจะออกไปเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิงข้างนอกได้อย่างไร และตลอดทั้งวันเธอก็ไม่ได้ออกจากกระโจมสักครั้ง ไม่แม้แต่จะแตะข้าวปลาอาหารด้วยซ้ำ
“เฟยเอ๋อร์ ออกไปเล่นสนุกกันเถอะ!”
“ไม่ไป” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ และเธอก็ปฏิเสธเขาโดยตรง
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างอับจนหนทาง “นั่นไม่ใช่นิสัยของเจ้าเลย…ไม่แม้แต่จะออกไปเล่นสนุก? ข้าจะพาเจ้าไปที่เมืองเทียนเป่ย ตกลงไหม?”
“ไม่ไป”
โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้ว คิดกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่นอน! หากอีกฝ่ายเก็บทุกอย่างไว้ในอกนานเกินไป จะเกิดอะไรขึ้นหากมันระเบิดขึ้นมาในเวลาหรือสถานที่อื่นๆ นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่
“เฟยเอ๋อร์ อย่างน้อยเจ้าก็ควรบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างลังเล
คราวนี้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่ส่งเสียงใดๆ
โจวเหว่ยชิงลดเสียงลงและพูดว่า “เจ้าตกหลุมรักข้าจริงๆ เหรอ? ดูเหมือนเสน่ห์ของข้าจะยอดเยี่ยมเกินไปนะ เนี่ย!”
“ไสหัวไปให้พ้น!” เสียงตะคอกของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ดังลอดออกมา
โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองว่าเขาต้องใช้ไม้แข็งเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ “เฟยเอ๋อร์ นี่ไม่เหมือนเจ้าเลย ชอบก็ชอบสิ จะไปกลัวอะไรล่ะ? นิสัยของเจ้าคือตรงไปตรงมาและกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาเสมอ ความจริง…นอกจาก ปิงเอ๋อร์ ข้าก็ยังรักเทียนเอ๋อร์ด้วย และเราก็สัญญาว่าจะแต่งงานกัน”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!?“ เพียงพริบตาเดียว ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็พุ่งออกไปคว้าคอเสื้อโจวเหว่ยชิงด้วยความโกรธขณะที่ร้องออกมา “เจ้ากล้าทำให้น้องสาวของข้าผิดหวังหรือ!”
เมื่อเห็นดวงตาสีแดงของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็ชะงักไป หญิงสาวที่ร้อนแรงดั่งเปลวไฟและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาคนนี้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีนิสัยอ่อนโยนเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ก็มีแรงดึงดูดในแบบของตัวเอง โจวเหว่ยชิงก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอต่อบรรดาผู้หญิงสวยๆ นับประสาอะไรกับหญิงงามระดับต้นๆ อย่างซ่างกวนเฟย เอ๋อร์ที่ดูเหมือนกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ของเขาทุกระเบียดนิ้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงก็เพียงแค่ชื่นชมในความงามของเธอ ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ร่วมด้วยเลย
อย่างไรก็ตาม หลังจากการต่อสู้ในวันนี้ รวมถึงวิธีที่หญิงสาวเผาผลาญตัวเองเพื่อช่วยเขาขณะตกอยู่ในอันตราย …เมื่อได้เห็นดวงตาสีแดงก่ำที่รื้นไปด้วยน้ำตาของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ มันก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว
……………………………………………………….