Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 126 กองโจรทหารไร้พ่าย! (1)
เมื่อรู้สึกว่าตนปลุกจิตวิญญาณและความกระตือรือร้นของทหารกองพันไร้พ่ายได้สำเร็จแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ “สำหรับตอนนี้ กฎของกองพันก็เป็นเช่น 3 ข้อข้างต้น ไม่น่าจะยากสำหรับการท่องจำใช่ไหม? เร็วๆ นี้บิดาจะทำให้กลุ่มโจรกระจอกอย่างเจ้าเข้าใจว่าอะไรคือการรวมพลังกันเพื่อผลประโยชน์อย่างแท้จริง ข้าจะแสดงให้เห็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ในฐานะผู้บัญชาการกองพัน เอาล่ะ การรวมพลวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว พวกเจ้าทุกคนมาต่อแถวรับเงินที่นี่ทีละกลุ่ม”
โจวเหว่ยชิงไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวปราศัยนานเกินไปในการรวมพลเช้าวันแรกนี้ จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่เพื่อให้ทหารเหล่านี้เห็นด้วยกับตนในทันที เพราะนั่นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในใจของพวกเขาอย่างช้าๆ แค่คำพูดเพียงอย่างเดียวย่อมไม่ได้ผลเท่าการกระทำ
กฎ 3 ข้อที่โจวเหว่ยชิงประกาศนั้นค่อนข้างง่าย นอกจากบางคนแล้ว ทหารเกือบทั้งหมดต่างก็สามารถท่องกฏและรับเงินไปจากเขาได้สำเร็จทั้ง 2 เหรียญ ด้วยเหรียญทองที่กำลังส่องประกายวาววับในมือ เงื่อนไขทั้งหมดของเด็กหนุ่มจึงถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงและเชื่อถือได้ ด้วยเหตุนี้ คำพูดของโจวเหว่ยชิงจึงมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ทุกคนเก็บเหรียญทองเสร็จ พวกเขาก็เห็นฝุ่นคลุ้งขนาดใหญ่ก่อตัวในระยะไกลๆ พร้อมกับเสียงกีบเท้าม้าที่ดังกุบกับชัดเจนจากกลุ่มทหารที่เร่งความเร็วมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่
ทหารกองพันไร้พ่ายทุกคนหันไปมอง และพวกเขาก็สังเกตเห็นหน่วยทหารม้าหนักกำลังควบม้ามาที่นี่จากในระยะไกลๆ เว่ยเฟิงยืนอยู่ข้างโจวเหว่ยชิงและเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผู้บัญชาการ ข้าเกรงว่าพวกนั้นจะต้องมาจากกรมทหารที่ 16 แน่ ดูจากฝุ่นที่คลุ้งเสียขนาดนั้น น่าจะต้องเป็นหน่วยทหารม้าหนักอย่างน้อยก็ทั้งกองร้อย เราจะทำยังไงกันดี?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างแผ่วเบาและตะโกนออกมาเสียงดัง “พี่น้องกองพันไร้พ่าย กองร้อยทหารม้าหนักกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเรา ส่วนใหญ่มาจากกรมทหารที่ 16 พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่องพวกเราเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ข้าขอถามพวกเจ้าทุกคน ด้วยพลังของกองพันไร้พ่ายกับกองร้อยทหารม้าหนัก พลังของพวกเรามีมากกว่าพวกเขาอย่างน้อย 3 เท่าหรือไม่?”
ทหารร่างกำยำที่เพิ่งได้รับเหรียญทองพูดพึมพำ “ทหารม้าหนักเหล่านั้นจะนับเป็นอะไรได้ บิดาสามารถจัดการพวกมัน 4-5 คนได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ!”
เว่ยเฟิงกล่าวว่า “เรามีจ้าวมณีมากมาย ทหาร 100 คนจะนับเป็นอะไรได้! แต่หากเราลงมือกับพวกเขาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากองทัพฝ่ายเหนือตัดสินใจจะฆ่าพวกเราทิ้ง?”
โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้ากล้าพูดได้เลยว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวของกรมทหารที่ 16 เพียงแห่งเดียว มิฉะนั้นคนที่มาจะไม่ใช่แค่กองร้อยเดียวแน่ พวกเขากลัวจะถูกกองทัพภาคเหนือพบตัวมากกว่าเราเสียอีก พี่น้องทั้งหลาย เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ โปรดรอคำสั่งของข้าก่อนที่จะลงมือ ปล้นพวกมันมาให้หมด ทั้งอุปกรณ์ อาวุธ ม้า เสื้อผ้า แต่ละอย่างจะตกเป็นคนที่ฉกมาได้สำเร็จ หากมีเรื่องเกิดขึ้น ข้าจะจัดการเอง”
สำหรับทหารกองพันไร้พ่ายธรรมดาๆ พวกเขายอมรับคำสั่งโดยไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับผู้บัญชาการกองร้อยรวมถึงเว่ยเฟิง พวกเขามองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาไม่แน่ใจ
“ผู้บัญชาการกองพัน นั่นจะดีจริงๆ หรือ?” เว่ยเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
โจวเหว่ยชิงแค่นเสียง “ทำไมจะไม่ดีล่ะ? เราถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่ด้วยลำแข้งของตัวเอง…จะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก? ถ้าไม่เตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอก็จงก้มหน้ารอความตายไปเสียเถอะ พวกเจ้าสูญเสียความกล้าหาญและจิตวิญญาณในการต่อสู้เพราะอยู่ที่นี่นานเกินไปสินะ?”
เว่ยเฟิงหรี่ตาและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปจัดการพวกมันกันเถอะ!”
ทหารม้าหนักไม่ถือว่าวิ่งเร็วนักเพราะอุปกรณ์ทั้งหมดของพวกเขาหนักเกินไป อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าในบรรดากองทัพทั้งหมด อุปกรณ์ของทหารม้าหนักถือว่าดีที่สุดและราคาแพงที่สุด หากเป็นการปฏิบัติการทางไกล ทหารม้าหนักเพียงคนเดียวจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากทหารฝ่ายสนับสนุนอย่างน้อย 4 คน
ยุทโธปกรณ์หลักของทหารม้าหนักประกอบด้วยชุดเกราะหนักที่ครอบคลุมทั้งตัว รวมถึงเกราะที่สวมให้ม้าศึก สำหรับอาวุธของพวกเขา ทั้งหมดประกอบไปด้วยหอกยาว ธนูยาว และโล่
ในสนามรบ เมื่อเทียบกับทหารธรรมดาๆ แล้ว พวกเขาล้วนถือเป็นเครื่องจักรสังหารที่น่ากลัวและทรงพลังที่สุด เมื่อหน่วยทหารม้าหนักบุกเข้าจู่โจมในสนามรบก็แทบจะไม่มีใครหยุดยั้งพวกเขาได้ ด้วยหอกที่มีความยาวกว่า 3.5-4 เมตร พวกเขาก็เหมือนกับป้อมปราการแห่งความพินาศซึ่งเคลื่อนที่ได้ แม้จะอยู่ในระยะไกลๆ แต่ทหารม้าหนักก็ยังสามารถใช้ธนูเพื่อสังหารศัตรูที่สวมเกราะเบาได้
แน่นอน นั่นหมายความว่าการฝึกฝนและเตรียมหน่วยทหารม้าหนักนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมากและต้องอาศัยทรัพยากรทุกประเภท ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เช่นอาณาจักรจ้งเทียน พวกเขาก็จะไม่สร้างทหารทั้งกองทัพให้เป็นทหารม้าหนักทั้งหมด โดยปกติแล้ว แต่ละกรมทหารจะมีกองทหารม้าหนักอยู่ 2-3 กองร้อยเท่านั้น และมีเพียงกรมทหารที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเท่านั้นจึงจะมีกองพันทหารม้าหนักในครอบครองได้
กรมทหารที่ 16 ที่เซินปู้ปกครองก็เป็นหนึ่งในกรมทหารที่กล่าวถึงข้างต้น จากทหารทั้งหมด 14,000 นาย มีทหารม้าหนัก 1 กองพัน ทหารม้าเบา 9 กองพัน และทหารสนับสนุนที่เหลืออีก 4 กองพัน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สนับสนุนเหล่าทหารม้าหนัก
เมื่อวานนี้ หลังจากที่เซินปู้เห็นทหารคุ้มกันส่วนตัวของเธอกลับมาช้า สวมเพียงกางเกงชั้นในติดตัวและอุปกรณ์ทั้งหมดก็ยังถูกขโมยไป หญิงสาวจึงโมโหขึ้นมาสุดขีด อย่างไรก็ตาม เธอรู้ดีว่าการรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ รังแต่จะทำให้พวกเขาเป็นที่ขบขันในกองทัพเท่านั้น ถึงอย่างไรกองพันนักเลงก็ตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเขายังมีประโยชน์และไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายเกินไป กองทัพภาคเหนือก็จะไม่ทำอะไรพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงทำได้เพียงแต่กัดฟันอดทน วันนี้เซินปู้จึงได้ส่งกองร้อยทหารม้าหนักออกจากค่ายอย่างลับๆ เพื่อจัดการพวกเขา แน่นอน เซินปู้ไม่คิดว่าทหารกองร้อยเดียวจะสามารถเข้าควบคุมกองพันนักเลงได้ทั้งหมด แต่นั่นก็เพียงเพื่อแสดงพลังและทำให้พวกเขาหวาดกลัวแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการนำอุปกรณ์ที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาด้วย
แม้ว่าทหารคุ้มกันส่วนตัวของเซินปู้จะเป็นทหารม้าเบา แต่ในฐานะทหารระดับสูง อุปกรณ์ของพวกเขาจึงไม่ได้มีค่าน้อยไปกว่าทหารม้าหนัก ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของโลหะไทเทเนียมและทำมือขึ้นมาทั้งหมด เช่นนี้เธอจะปล่อยไปง่ายๆได้อย่างไร? ในขณะเดียวกัน เซินปู้ก็กัดฟันเมื่อนึกถึงโจวเหว่ยชิง
ทหารม้าติดอาวุธจำนวน 100 นายเข้ามาใกล้กองพันนักเลงอย่างรวดเร็ว เหลืออีก 500 เมตรก็จะถึงตัวแล้ว ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ลงมือต่อและหยุดชะงักอยู่กลางทาง
เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดเมื่อเข้าปะทะ ทหารม้าหนักจำเป็นต้องรักษาระยะก่อน และเมื่อหยุดที่ตำแหน่งนี้ ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าผู้บัญชาการของกองทหารของพวกเขามีวิสัยทัศน์ไม่เลวเลยทีเดียว ทหารม้าทั้งหมดถือหอกยาวของตนเองไว้ ร่างกายของพวกเขาเอนไปข้างหน้าโดยถือโล่ไว้ทางซ้ายของหน้าอก พร้อมที่จะเริ่มการจู่โจมทันที
หัวหน้าของพวกเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้บัญชาการกองพันเนื่องจากชุดเกราะสีเงินและหมวกเกราะแซมขนนกสีแดงส้มที่คุ้นเคยก็เสือกม้ามาข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หญิงสาวผู้นั้นกลับสวมชุดเกราะทหารม้าเบา ไม่นานนัก เธอก็เข้ามาใกล้กองพันนักเลง แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะสวมหมวกเกราะ แต่โจวเหว่ยชิงก็จำเธอได้ทันที หญิงสาวคนนี้คือเซินอี้นั่นเอง
“โอ้? ผู้บัญชาการกองพันเซินอี้ไม่ใช่หรือ? ลมอะไรพัดท่านมาที่กองพันนักเลงของเราละเนี่ย?
ทันทีที่เห็นโจวเหว่ยชิง เซินอี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา ไม่ใช่แค่เพราะสิ่งที่เขาทำกับเธอเมื่อวานนี้ แต่ยังเป็นเพราะเขาปฏิเสธการแต่งงานระหว่างทั้งคู่ทันที หญิงสาวดึงดาบออกจากฝักชี้ไปที่เขาก่อนจะร้องบอกอย่างโกรธเกรี้ยว “อ้วนน้อยโจว เจ้าอันธพาลชั่วช้า เจ้ากล้าขโมยอาวุธทหารคุ้มกันส่วนตัวของผู้บัญชาการได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้ว่าหรือว่าก่อความผิดอะไรลงไป?”
โจวเหว่ยชิงมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “ผู้บัญชาการกองพันเซินอี้ ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? หากจะกล่าวหาคนท่านก็ต้องมีหลักฐานเสียก่อน…ใครพิสูจน์ได้บ้างว่าข้าเป็นคนปล้นพวกเขา?”
ในขณะที่กล่าวคำพูดที่ไร้ยางอายเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็ยังคงเคร่งขรึมและจริงจัง หากมีคนไม่ทราบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็คงคิดว่าโจวเหว่ยชิงกำลังถูกเข้าใจผิดอยู่เป็นแน่
คนของกองพันไร้พ่ายรวมตัวกันที่ด้านหลังของโจวเหว่ยชิงเพื่อชมการแสดงอันน่าตื่นตา สำหรับผู้บัญชาการกองพันคนนี้ ความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อบุคลิกนิสัยของเขาพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้า…เจ้ากล้าทำ แต่ไม่กล้ายอมรับผิดงั้นรึ เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายหรือไม่!” เซินอี้ตะโกนด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆโจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจข้างใน หญิงสาวคนนี้โชคร้ายมากเกินไปแล้ว เมื่อพบกับจอมเจ้าเล่ห์อย่างอ้วนน้อยโจว เธอจะชนะเขาด้วยการโต้เถียงได้อย่างไร?
ตามที่คาดไว้ โจวเหว่ยชิงย่อมไม่ทำให้เธอผิดหวัง เด็กหนุ่มมองไปยังเซินอี้ด้วยใบหน้าที่ตกตะลึงและพูดว่า “ผู้บัญชาการกองพันเซินอี้ ท่านจะพูดแบบนั้นได้อย่างไร! ระวังข้าฟ้องท่านในข้อหาใส่ร้ายข้า ท่านไม่เคยลองกับข้ามาก่อน รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่ผู้ชาย?”
แม้ว่าเซินอี้จะอยู่ในกองทัพมาหลายปีแล้ว แต่ด้วยตำแหน่งในกองทัพและการที่พี่สาวของเธอเป็นผู้บัญชาการกรมทหารที่ 16 ใครจะกล้าเอ่ยประโยคไร้ยางอายเช่นนั้นกับเซินอี้บ้าง? ในวินาทีนั้น หญิงสาวจึงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลย
อย่างไรก็ตาม กองพันนักเลงเหล่านั้นกลับเข้าใจได้ในทันทีและพวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาครื้นเครง
เมื่อนั้นเซินอี้จึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “ไอ้คนสารเลว เจ้ากล้าพูดจาไร้ยางอายกับข้าขนาดนี้! อ้วนน้อยโจว ข้าขอเตือนเจ้าว่าคืนสิ่งที่ขโมยไปจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าจะกวาดล้างกองพันนักเลงของเจ้าเสีย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็มีใบหน้าตื่นตระหนก แหวกเกราะหน้าอกออกก่อนจะตบลงไปแล้วอุทานว่า “อ้า! ข้ากลัวมากเลย! มา ที่รัก มากัดข้าเร็ว! โอ๊ยย!”
แน่นอนว่าการร้องอุทานด้วยความเจ็บปวดในตอนสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ระลึกถึงคำว่า “กัด” ของโจวเหว่ยชิง เธอก็อดไม่ได้ที่จะบิดเอวเขาแรงๆจากด้านหลัง
หมีดำหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่และตะโกนด้วยความยินดี “มาเถอะ สาวสวย มากัดผู้บัญชาการกองพันของเรา! จะดีมากถ้าเราได้ร่วมชมด้วย!”
กลุ่มนักเลงและอันธพาลเหล่านี้ถูกส่งตัวมาที่นี่เป็นระยะเวลานานพอสมควร และเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ดวงตาของพวกเขาก็สว่างวาบขึ้นราวกับความปรารถนาถูกจุด เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของพวกเขาพลันดังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวกองพันไร้พ่ายก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะเหตุนี้
“ดี ดีมาก พวกเจ้าทุกคน…” เซินอี้โกรธมากจนร่างกายของเธอสั่นสะท้าน “ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้กระทืบพวกเจ้ากองพันนักเลง ข้าจะ…ข้าจะ…” หญิงสาวโกรธมากจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะข่มขู่อย่างไร เธอหันหลังเพื่อมุ่งหน้าหลับไปยังหน่วยทหารม้าหนักที่อยู่ห่างออกไป 500 เมตรทันที
เว่ยเฟิงขยับเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงและกดเสียงต่ำ “ผู้บัญชาการกองพัน พวกเขามีแนวโน้มว่าจะลงมือในไม่ช้า พื้นที่ส่วนนี้ของหุบเขาราบเรียบแม้กระทั่งพื้นดิน และถ้าทหารม้าหนักบุกเข้ามา แม้ว่าเราจะชนะ ข้าก็กลัวว่าพี่น้องของเราจะถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “หึ ไม่ต้องกังวลไป ให้พวกเขาบุกเข้ามาก่อน แล้วเจ้าก็จะได้เห็นเอง”
ขณะพูดอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็หันไปหาทหารของกองพันไร้พ่ายและตะโกนออกมาเสียงดัง “เหล่าพี่น้องของข้า ข้าขอบอกพวกเจ้าทุกคนว่า…ผู้บัญชาการกองพันของเจ้ามีพลังทำได้ทุกอย่าง หลังจากนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็น ข้าจะเป็นคนหยุดพวกเขา และในขณะที่ทำเช่นนั้น พวกเจ้าทั้งหมดจงออกไปปล้นพวกเขาให้สิ้นซากซะ สิ่งที่เจ้าปล้นมาได้ทั้งหมดจะตกเป็นของเจ้า จำไว้ว่าอย่าทำร้ายม้า พวกมันมีค่าสำหรับเรามาก ยิ่งกว่าเกราะหนักทั้งหมดเสียอีก!”
“เฮ!” เสียงขานรับดังลั่นจากทั่วทุกสารทิศ หลังจากได้ฟังคำพูดของโจวเหว่ยชิงและแนวคิดเกี่ยวกับ ‘การปล้น’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ความตื่นเต้นของทหารที่บ้าคลั่งเหล่านี้ก็ถูกกระตุ้นถึงขีดสุด เดิมทีพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่บ้าบิ่นไม่กลัวตายอยู่แล้ว เมื่อมีโจวเหว่ยชิงคอยสุมไฟอยู่เคียงข้าง พวกเขาจะยังเจียมเนื้อเจียมตัวในสภาพเดิมได้อย่างไร?