Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 95 'พิธี' บรรลุเป็นผู้ใหญ่ของโจวเหว่ยชิง! (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- ตอนที่ 95 'พิธี' บรรลุเป็นผู้ใหญ่ของโจวเหว่ยชิง! (2)
พลัง…ทั้งหมดนี้เกิดจากช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างระดับพลังของพวกเขาทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าต้องรอปิงเอ๋อร์นานแค่ไหน อาจจะเป็นเวลาเพียงช่วงสั้นๆ แต่โจวเหว่ยชิงก็ไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาจึงนั่งสมาธิฝึกปราณขณะรอไปพลางๆ
ในการต่อสู้กับกลุ่มนักรบตันตุ้นครั้งก่อน เขาได้กลืนกินพลังปราณสวรรค์ของปีศาจน้อยเซินระหว่างการต่อสู้ จากนั้นก็ดูดซับพลังปราณสวรรค์ของหลินเทียนอ้าวอีกครั้งเพื่อฟื้นฟูร่างกาย เมื่อเขาได้รับการเยียวยาแล้ว ปีศาจน้อยเซินก็มอบพลังปราณให้เขาอีกครั้งขณะที่ทำการรักษา นั่นทำให้เขาพลังปราณสวรรค์ของเขาเพิ่มขึ้นมาก แต่พวกมันก็ผสมปนเปกันและไม่บริสุทธิ์เท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อไม่กี่วันมานี้เขาจึงพยายามดัดแปลงทำให้พลังปราณสวรรค์จากภายนอกนี้บริสุทธิ์และกลายเป็นพลังปราณของตัวเอง
คู่มือปีศาจที่แม่มดน้อยให้ยืมมาทำให้เขาตระหนักรู้เกี่ยวกับทักษะธาตุปีศาจในแบบฉบับใหม่ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นความรู้เกี่ยวกับทักษะกลืนกิน และยังทำให้เขาสามารถกำหนดเป้าหมายใหม่สำหรับการฝึกปราณในอนาคตด้วย
ทักษะกลืนกินเป็นทักษะชั้นยอดในการต่อสู้ แต่ประโยชน์ที่แท้จริงของมันกลับเป็นการสนับสนุนการฝึกปราณของเขา ทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถกลืนกินพลังปราณสวรรค์ของมนุษย์คนอื่นๆ หรือแม้แต่เหล่าอสูรสวรรค์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังปราณของตัวเองได้ เมื่อพลังปราณสวรรค์ที่กลืนกินเข้าไปได้รับการชำระล้างและทำให้บริสุทธิ์พร้อมที่จะนำไปใช้ มันก็จะกลายเป็นพลังของเขาเองอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้น พลังปราณของเขาจะต้องเหลืออย่างน้อย 1 ใน 10 และเด็กหนุ่มก็จะต้องค่อยๆ สกัดให้พลังปราณภายนอกบริสุทธิ์เพื่อหลอมรวมพลังของตัวเองเข้ากับพวกมันอย่างต่อเนื่อง กระบวนการทั้งหมดนี้จึงค่อนข้างใช้เวลานาน สิ่งนี้เองที่ป้องกันไม่ให้จ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจใช้ทักษะนี้เพื่อดูดกลืนพลังจากผู้อื่นมาเป็นจำนวนมากๆ เพื่อยกระดับพลังตนเองในระยะเวลาอันสั้น
ถึงแม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ แต่จ้าวมณีสวรรค์ผู้ใดก็ตามที่มีทักษะกลืนกิน ความเร็วในการฝึกปราณพวกเขาย่อมเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นทั่วๆ ไป แน่นอนว่าเขาหรือเธอจะได้เปรียบมากกว่าหากมีอสูรสวรรค์หรือจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นๆเพียงพอให้กลืนกินพลังอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้เขาได้เดินผ่านทุกชั้นในศาลาศาสตรามณียุทธ์และตรวจดูวัตถุดิบทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หลังจากขบคิดอย่างถี่ถ้วน เขาก็รู้ว่าตนเองมีของที่ต้องการซื้อมากเกินไป แต่ถึงกระนั้น โจวเหว่ยชิงก็จะไม่รีบร้อนจะซื้อพวกมันในตอนนี้ ถึงอย่างไรเงินทองของเขาก็ยังคงมีจำกัด แผนการของเขาคือรอจนกว่างานประลองมณีสวรรค์จบลงถึงจะเริ่มซื้อของที่ต้องการ หากพวกเขาได้รับอันดับดีๆ ในการแข่งขัน เขาก็จะได้ส่วนลดสำหรับซื้อวัตถุดิบต่างๆเป็นจำนวนที่มากกว่าเดิม
ในเวลาเดียวกัน หลังจากวันนี้ไป โจวเหว่ยชิงก็มีแผนการใหม่สำหรับการฝึกปราณของเขาแล้ว วังกักเก็บทักษะจะกลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในเลื่อนระดับพลังปราณของเขา นั่นก็เป็นเพราะที่วังกักเก็บทักษะมีอสูรสวรรค์จำนวนมากเกินพอให้เขากลืนกินพลังปราณ! ตราบใดที่เขาระมัดระวังตัวและปกปิดให้แนบเนียน เขาก็ไม่น่าจะถูกจับได้ง่ายๆ
ในขณะที่กำลังฝึกปราณอยู่อย่างต่อเนื่อง โจวเหว่ยชิงก็ยังคงวางแผนต่อไปเรื่อยๆในห้วงความคิด ด้วยสภาพเช่นนี้ เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา ไม่นานก็ถึงเวลาเย็นย่ำแล้ว
“อ้วนน้อย” เสียงอันนุ่มนวลปลุกให้โจวเหว่ยชิงตื่นขึ้นจากการฝึกปราณของเขา และดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันทีที่เห็นใบหน้าที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ม่านน้ำตาพลันเอ่อคลอบนดวงหน้าของเด็กหนุ่มทันที
โจวเหว่ยชิงลุกพรวดขึ้นจับมือหญิงสาวก่อนจะดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด
ตอนนี้เธอดูเหนื่อยล้ามาก แต่ความตื่นเต้นในดวงตาของอีกฝ่ายขณะที่พวกเขาสบตากันกลับไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยใบหน้าที่เหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว ทว่ากลิ่นอายและการแสดงออกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นกลับก่อให้เกิดความงามที่แตกต่างออกไป อนิจจา โจวเหว่ยชิงมีสายตาไว้มองเพียงปิงเอ๋อร์ของเขาเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองไปยังซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ด้วยซ้ำ
“ปิงเอ๋อร์ หลังจากนี้เจ้าควรกลับวังให้เร็วที่สุด เจ้าจะต้องนั่งสมาธิฝึกปราณต่อเพื่อจะทำให้พลังใหม่เสถียร ด้วยกระบวนการนั้น เจ้าจึงจะสามารถผ่านขั้นตอนหลอมรวมใหม่ได้อย่างเหมาะสม” แม้ว่าซ่างกวนเสว่เอ๋อร์จะพูดกับน้องสาวผู้เป็นที่รักของตนเอง แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังคงเย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าให้พี่สาวของเธอและพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าจะกลับก่อนเที่ยงคืนแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงไม่ได้เอ่ยทักทายซ่างกวนเสว่เอ๋อร์แต่กลับดึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกจากศาลาศาสตรามณียุทธ์แล้วมุ่งหน้ากลับไปยังโรงเตี๊ยมที่กลุ่มนักรบเฟยหลี่พักอยู่ทันที เขากึ่งอุ้มกึ่งจูงปิงเอ๋อร์ขณะรีบวิ่งเข้าไปในห้องของตนเองแล้วปิดประตูดังปัง จากนั้นก็กอดหญิงสาวในอ้อมแขนไว้แน่น
ในขณะนี้ราวกับว่าหัวใจของพวกเขาเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน พวกมันได้ลอยละล่องออกจากอกซ้ายของพวกเขาและหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ร่างกายของพวกเขาบดเบียดเข้าหาไออุ่นของกันและกัน อัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“อ้วนน้อย…อ้วนน้อย…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พึมพำราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเรื่องจริงและทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งของตนเอง
โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่าร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากำลังแผ่ความร้อนที่น่าประหลาดออกมา ไอร้อนนั้นทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆ หลอมละลายลง ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ
เด็กหนุ่มก้มศีรษะลงประกบริมฝีปากของเธออย่างเป็นธรรมชาติ จุมพิตแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะเผลอทำร้ายอีกฝ่าย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงอารมณ์ที่ถูกข่มเอาไว้ภายใน ความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ในร่างกายตึงแน่นของเขา แต่กระนั้น จูบของโจวเหว่ยชิงก็นุ่มนวลและระมัดระวังในขณะที่ริมฝีปากของเขาบดคลึงลงมา
หญิงสาวยกแขนขึ้นโอบรอบคอของเขา ริเริ่มมอบจูบที่แนบแน่นยิ่งกว่าเดิมให้โจวเหว่ยชิง มันทั้งดูไร้ประสบการณ์และเงอะงะเชื่องช้า แต่ทว่าอารมณ์ของพวกเขากลับพุ่งสูงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิม
หัวใจที่ร้อนแรงสองดวงเบ่งบานราวกับดอกไม้ไฟที่ปะทุกลางท้องฟ้าก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของพวกเขา เปลวไฟเร่าร้อนนั้นดูเหมือนจะหลอมละลายทุกส่วนของพวกเขาให้สลายไปในพริบตา…
ภายในห้องนั้น ไอร้อนในอากาศดูเหมือนจะหนาแน่นกว่าบริเวณอื่นทั่วทั้งเกาะมณีสวรรค์ ในขณะที่ความรักและปรารถนาเกี่ยวรัดกันท่ามกลางไอกระแสร้อนรุ่ม
ภาพเคลื่อนไหวที่เลือนรางและเสียงร้องอันไพเราะนุ่มนวลดังขึ้นอย่างเร่าร้อน ก่อนจะเงียบลงไปในที่สุด…
…
ตกกลางดึก ท้องฟ้าพลันมืดลงและเกาะมณีสวรรค์ก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆที่มีแสงจันทร์ลอดผ่านลงมาเป็นชั้นๆ
เมื่ออิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของโจวเหว่ยชิง รู้สึกถึงฝ่ามือร้อนรุ่มขนาดใหญ่ของเขาที่โอบรอบแผ่นหลังของเธอ ซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้สึกอยากจะขยับเขยื้อนใดๆ ราวกับว่าร่างกายของเธอเบาหวิวราวขนมสายไหม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเขาทั้งสองคน แต่เมื่อเทียบกับครั้งแรก โดยเฉพาะสำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นี่คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
นี่คือการร่วมรักที่แท้จริงระหว่างเนื้อหนังและจิตวิญญาณของพวกเขา ถึงแม้เธอจะค่อนข้างเขินอายกับความเร่าร้อนก่อนหน้านี้ แต่ท่ามกลางแสงเสี้ยวสุดท้ายอันแสนอบอุ่น เธอก็รู้สึกว่าไม่มีระยะห่างระหว่างทั้งสองคนอีกต่อไป ราวกับว่าพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้วในตอนนี้
โจวเหว่ยชิงก้มศีรษะลงจูบหน้าผากและเส้นผมของเธออย่างแผ่วเบาด้วยความรักที่เจืออยู่ในดวงตาของเขา เด็กหนุ่มอยากจะให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด!
ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ช่วงเวลานี้โอบกอดกันและกันอย่างแนบแน่น ไม่มีใครเต็มใจจะทำลายช่วงเวลาพิเศษเหล่านั้นจนกระทั่ง…
“อ๊ะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจและถดหนีเล็กน้อยอย่างแตกตื่น หญิงสาวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ‘สัตว์ประหลาดตัวน้อย’ ที่ทำให้เธอมีความสุขเมื่อคืนกำลังสร้างความเขินอายและหวาดกลัวให้เธออีกครั้งเนื่องจากมันกำลังแสดงสัญญาณ ‘ตื่นตัว’ ขึ้นมา
โจวเหว่ยชิงรีบถดกายหนีเล็กน้อยเช่นกัน ก่อนจะพูดอย่างเขินอาย “ขอโทษนะปิงเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเหนื่อยแล้ว พักผ่อนให้มากๆ เถอะ”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เหนื่อยล้ามาตั้งแต่ออกจากศาลาศาสตรามณียุทธ์ชั้นที่ 4 แต่ทั้งสองคนก็ใช้เวลาทั้งคืนไปกับการทำ “กิจกรรม” ที่น่าตื่นเต้นจนถึงตอนนี้ เมื่อมองไปยังใบหน้าซีดเซียวของปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกปวดร้าวในใจ
“ข้า…ข้าไม่อยากนอน ข้าอยากคุยกับเจ้าอีกสักพัก ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ข้าจะได้เจอเจ้าอีกครั้ง…” ขณะที่เธอพูดเช่นนั้น ดวงตาของหญิงสาวก็แดงก่ำ
โจวเหว่ยชิงรีบสวมกอดเธออีกครั้งและพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่าร้องไห้ไปเลยปิงเอ๋อร์ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่และฝึกฝนอย่างหนักเพื่อพาเจ้าออกมาให้เร็วที่สุด”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์วางศีรษะของเธอไว้บนหน้าอกของเขาขณะที่เอ่ยว่า “อ้วนน้อย อย่าโทษท่านพ่อและพี่สาวของข้าเลย ข้ารู้ว่าพวกเขาทำทุกอย่างเพื่อตัวข้าทั้งนั้น ความจริงพวกเขายอมรับในความสามารถและพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว แต่ท่านพ่อต้องการให้ข้าปิดประตูฝึกปราณเพื่อหลอมรวมมณียุทธ์และกักเก็บมณีธาตุของข้าอีกครั้ง ทั้งหมดนั้นอาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน…”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้ากล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ดี เจ้าอยู่ที่นี่ต่อและฝึกปราณเถิด เมื่อข้าแข็งแกร่งพอที่จะพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว ข้าจะมารับเจ้าอีกครั้ง”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาพลางพูดว่า “เจ้าคนโง่เง่า เจ้าคิดว่าข้าสนใจเรื่องนั้นจริงๆ หรือ? ที่จริงข้าอยากจะจากไปกับเจ้าไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แต่ท่านพ่อบอกว่าเขาคิดถึงท่านแม่มากและอยากจะทำให้ครอบครัวของเรากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ถ้าข้าอยู่ที่เกาะมณีสวรรค์ เขาจะมีโอกาสพาท่านแม่กลับมาอยู่ด้วยกันได้ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สุขของพวกเขาและพวกเราทั้งคู่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องอยู่ที่นี่ต่อ ข้าตกลงให้ท่านพ่อช่วยพัฒนาพลังของข้าก็เพราะเมื่อกลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เพื่อตามหาเจ้าในอนาคต พวกเราจะสามารถสร้างอาณาจักรของเราขึ้นมาด้วยกันได้อย่างไรเล่า ในใจของข้า ข้าจะเป็นพลเมืองของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสมอ ที่แห่งนั้นจะเป็นบ้านของข้าตลอดไป”
แม้ว่าหญิงสาวจะไม่อยากนอนหลับ แต่เพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เหนื่อยล้ามากเกินไป ในขณะที่จมอยู่ในอ้อมกอดที่สุขสบายของโจวเหว่ยชิง แม้ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เธอก็หลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว
โจวเหว่ยชิงลูบกลุ่มผมของเธอไปมาอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าสู่ร่างกายของปิงเอ๋อร์อย่างระมัดระวังเพื่อช่วยในการฟื้นฟูร่างกายของอีกฝ่าย
อนิจจา ช่วงเวลาดีๆ มักจะคงอยู่ไม่นาน เมื่อเสียงเรียกอันเย็นยะเยือกดังมาจากนอกประตูของพวกเขา นั่นก็ทำให้ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่หลับใหลตื่นขึ้นจากนิทราทันที
“น้องสาม ถึงเวลากลับบ้านแล้ว”
น้ำเสียงเย็นชานั้นคือซ่างกวนเสว่เอ๋อร์อย่างไม่ต้องสงสัย เวลาล่วงเลยมานานมากแล้วและปิงเอ๋อร์ก็ยังไม่กลับไปเสียที ในฐานะพี่สาวคนโต เธอจึงเป็นห่วงและออกมาตามหาน้องสาวทันที
“พี่ใหญ่ ข้ากำลังจะออกไปแล้ว รอข้าสักครู่”
โจวเหว่ยชิงเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลุกขึ้นไปแต่งตัวด้วยใบหน้าแดงจัด เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา เพียงแค่มองไปที่หญิงสาวเงียบๆ และช่วยเธอหวีผมที่ยุ่งเหยิงจากศึกเมื่อคืน
ยิ่งเขาทำเช่นนั้นมากเท่าไหร่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยิ่งทนไม่ได้มากเท่านั้น น้ำตาจึงค่อยๆ เอ่อคลอในดวงตาของเธอ แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ก็ตาม
“อ้วนน้อย อย่าไปส่งข้าเลย ได้โปรด” เธอกล่าวอย่างอ้อนวอน
เสียงของโจวเหว่ยชิงค่อนข้างแหบแห้งขณะที่เขาพูดว่า “ให้ข้าส่งเจ้าไปที่ประตูทางเข้าวังสวรรค์ไพศาลเถิด ทุกวินาทีที่อยู่กับเจ้าล้วนมีค่ากับข้าเสมอ”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะ หยาดน้ำตาสะท้อนแสงวาววับเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวฉับพลันของเจ้าของร่าง “ไม่! อ้วนน้อย ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น ข้าเกรงว่าตัวเองจะทนไม่ได้ ข้าจะรอเจ้า ไม่ว่าจะนานแค่ไหนข้าก็จะรอเจ้าเสมอ! ข้าจะไม่ไปไหน จะไม่ออกจากวังสวรรค์ไพศาลจนกว่าเจ้าจะกลับมา เพราะข้ากลัวว่าเจ้ามาแล้วจะไม่พบข้า ข้า…”
โจวเหว่ยชิงกอดเธอไว้อีกครั้งอย่างแนบแน่น “ ปิงเอ๋อร์…ปิงเอ๋อร์…ข้าจะไม่ให้เจ้ารอนานแน่นอน ข้าสัญญา! ใน 3-5 ปีข้าจะกลับมาที่เกาะมณีสวรรค์และเอาชนะพี่สาวของเจ้าและแต่งงานกับเจ้าให้ได้!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับมากอดเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ก่อนจะผละออกและวิ่งไปที่ประตูโดยไม่หันกลับมามอง
ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ยืนอยู่ที่ทางเข้าประตู โดยธรรมชาติแล้วหญิงสาวจึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์วิ่งผ่านไป ดวงตาของหญิงสาวก็ฉายแววน่าขนลุก ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์หันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “อย่าทำให้ปิงเอ๋อร์ผิดหวัง” หลังจากนั้น เธอก็วิ่งรีบออกไปเพื่อไล่ตามน้องสาวให้ทัน
โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่ประตูด้วยความสับสน เขาไม่ได้ไล่ตามทั้งคู่ไปเพราะไม่ต้องการขัดคำขอสุดท้ายของปิงเอ๋อร์ แต่ถึงกระนั้น ความรู้สึกสูญเสียที่ไม่อาจพรรณนาได้และความปรารถนาอันแรงกล้าก็เอ่อล้นออกมาภายในจิตใจของเขา
…………………………………………………………..