Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 6.2 สังเวยทุรมาลิน กำเนิดไพฑูรย์ตาแมวสองสี (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- ตอนที่ 6.2 สังเวยทุรมาลิน กำเนิดไพฑูรย์ตาแมวสองสี (2)
ข้า…ข้ากลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อปลุกมณีสวรรค์ของเขา…
น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอไม่เคยคาดคิดว่าครั้งแรกของเธอจะเกิดขึ้นแบบซับซ้อนคลุมเครือกับคนเช่นนี้
ฆ่าเขา ข้าต้องฆ่าเขา!
ขณะที่เธอพยายามรวบรวมปราณสวรรค์อยู่นั้นก็พลันตระหนักได้ว่าตนเองมีปราณเหลืออยู่เพียงเสี้ยวเดียว และเธอก็ไม่สามารถเรียกมณีของเธอออกมาได้ ดังนั้นเธอจึงเริ่มมองหาอาวุธมีคมอย่างอื่นโดยไม่มีทางเลือก
“อืม…” โจวเหว่ยชิงส่งเสียงในลำคอเมื่อเริ่มรู้สึกตัวตื่น นั่นก็เป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่หายไปจากอกของเขา
ในขณะที่เขาลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่างเปลือยเปล่าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้างทันที
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นิ่งงัน ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและรังสีฆ่าฟัน เธอจ้องมองเขากลับอย่างเดือดดาล ทันใดนั้นความรู้สึกประหลาดใจของโจวเว่ยชิงก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว เขาหลับตาลงพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “ข้ากลัวแทบตาย! ที่แท้ก็เป็นแค่ฝันเปียกเองหรือนี่ งั้นข้าก็ควรจะหลับต่อสินะ ใครจะรู้ว่าฉากต่อไปจะมีอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ฮิฮิ”
“ข้า…จะ…ฆ่า… เจ้า…!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กัดฟันพูดออกมาสี่คำ ในที่สุดเธอก็พบอาวุธมีคมที่เธอมองหาแล้ว จากนั้นเธอจึงพยายามขยับร่างกายอย่างอยากลำบากเพื่อไปหยิบลูกธนูออกมาจากแล่ง และพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิง
เมื่อโจวเว่ยชิงได้ยินเสียงร้องของเธอ เขาก็พลันกลับมามีสติอีกครั้ง ทันที่จะได้เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์พุ่งเข้าใส่เขาพอดี ด้วยความตกใจ เขารีบพลิกตัวหลบด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้า จากนั้นก็กลิ้งลงจากเตียง หลบการโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างเฉียดฉิว
หลังจากการโจมตีครั้งนี้ พลังเฮือกสุดท้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หมดลง เธอไม่มีแรงจะทำร้ายเขาได้อีกต่อไป
”นะ…นี่…คือของจริงเหรอ?” เมื่อสติของเขากลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงก็จ้องมองที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างตกตะลึง ในเวลานี้เขาไม่ได้แสดงละครแต่ว่าตกใจกับฉากตรงหน้าจริงๆ
สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่แค่เพียงซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เปลือยเปล่าเท่านั้น แต่ความจริงที่ว่าผิวอ่อนนุ่มของเธอเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน่าเกลียดและที่บริเวณขาเรียวของเธอยังคงมีคราบเลือดติดอยู่นั้นก็เป็นของจริง
ความคิดแรกของโจวเหว่ยชิงคือตอนนี้เขากำลังเผชิญเคราะห์กรรมที่หนักหน่วงที่สุดเข้าให้แล้ว! ในที่สุดเขาก็จำบางสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาได้
ความทรงจำครั้งสุดท้ายของเขาคือการเห็นเสือลักษณะแปลกๆ ที่มีปีก 2 คู่ด้านหลังและยังมีหางเป็นหางแมงป่อง จากนั้นเขาก็เสียการควบคุมร่างกาย รู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น และสุดท้ายก็ยังรู้สึกเจ็บปวดทรมาณอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกดีในภายหลัง ราวกับว่าเขาได้รับยาบรรเทาอาการ ความรู้สึกเบาสบายเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด เขารู้สึกได้ว่ามีไอพลังหลายกลุ่มได้อาละวาดอยู่ในร่างกายของเขา จากนั้นพวกมันก็ไหลออกไปอย่างช้าๆ และความเจ็บปวดเหล่านั้นก็จางหายไป
ในเวลานั้นเขายังจำได้ชัดเจน เพราะว่าสิ่งที่เขาเห็นก็คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังร้องครวญครางอยู่เบื้องล่างเขา…
ถึงแม้ว่าโจวเหว่ยชิงค่อนข้างเจ้าเล่ห์ มีนิสัยลามก และแก่แดดไปสักหน่อยสำหรับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่าเขาก็ไม่ได้มีนิสัยชั่วร้ายเลวทราม เมื่อได้พบกับสถานการณ์เช่นนี้ หัวของเขาก็พลันว่างเปล่า เขาขืนใจเธอด้วยการใช้กำลังบังคับเช่นนี้ ไม่ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะแก้แค้นเขาอย่างไร โจวเหว่ยชิงก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามจะลุกขึ้นอีกครั้งทว่าน้ำตาของเธอก็ไหลรินอาบแก้ม เธอยกลูกธนูในมือพยายามแทงลงไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างยากลำบาก
*ชิ้ง* เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเมื่อลูกธนูพุ่งปะทะเข้ากับบริเวณหน้าอกของโจวเหว่ยชิง มันแทงไม่เข้าเนื่องจากบริเวณนั้นถูกป้องกันไว้ด้วยเกราะโลหะผสมไทเทเนียม ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่มีพลังเหลืออยู่เลย การออกแรงของเธอจึงทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้อ้อมแขนของโจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงโอบกอดร่างกายที่อ่อนนุ่มและบอบช้ำของเธอ การโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้เขาตื่นเต็มตา
“ ข้าเสียใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ขะ ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ข้าจะรู้ว่าข้าไม่คู่ควรกับท่าน แต่หากท่านไม่รังเกียจ ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง และดูแลท่านเอง” ขณะโจวเหว่ยชิงกล่าว เขาก็แสดงออกว่าจริงจังมาก และไม่มีการพูดจาหยาบคายเหมือนปกติ ย้อนกลับไปยังอดีตขณะที่เขายังอยู่ที่ตระกูล เวลาที่เขาทำความผิดร้ายแรง เขาก็มักจะใช้น้ำเสียงดังกล่าวในการขอโทษ
ร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิง เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาในท่าที่เธอหันไปอีกด้าน ทันใดนั้นสายตาของเธอก็พลันเหลือบไปเห็นบางอย่างบนข้อมือซ้ายของเขา สิ่งที่เธอเห็นคือมณีธาตุสีกุหลาบที่ดูคล้ายกับทับทิม
สีของมันเหมือนกันทุกประการกับทับทิม แต่ทว่ามณีของโจวเหว่ยชิงกลับมีลวดลายบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ มันดูคล้ายกับดวงตาของแมว ใช่ ในความเป็นจริงนี่เป็นลักษณะเฉพาะของไพฑูรย์ตาแมว
ในฐานะที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ สัมผัสของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นไวต่อมณีธาตุของจ้าวมณีสวรรค์ด้วยกันมาก แม้ว่าตอนนี้เธอจะโศกเศร้าอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนสัญชาตญาณของเธอ เหตุผลที่ทำให้เธอตกใจจนแข็งทื่อก็เป็นเพราะว่าเมื่อเธอสังเกตเห็นมณีแปลกๆ นี่เธอกลับพบว่าตนเองไม่สามารถจำแนกได้ว่ามันคืออะไร
มณีสวรรค์เช่นไพฑูรย์นั้นมีทักษะธาตุมิติที่เป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม ไพฑูรย์สำหรับจ้าวมณีธาตุทั่วไปนั้นจะมีสีเหลืองเข้ม ส่วนไพฑูรย์ของจ้าวมณีสวรรค์จะเป็นสีทองบริสุทธิ์ ซึ่งไพฑูรย์นั้นเรียกว่าไพฑูรย์สีทอง มันเป็นมณีที่มีสีทองบริสุทธิ์และมีตรงกลางเป็นสีเขียวอ่อนเปล่งประกาย แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ไพฑูรย์สีแดงกุหลาบที่อยู่ตรงหน้านี้
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเพื่อมองมณีนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่าทางนั่นทำให้โจวเหว่ยชิงเข้าใจผิดคิดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามจะทำร้ายเขาอีกครั้ง
แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะสวมชุดเกราะโลหะผสมไทเทเนียม แต่มันก็ป้องกันเฉพาะส่วนบนของร่างกายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์เชียวนะ!!! ความกลัวตายทำให้เขารีบปล่อยซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลงและวิ่งหลบเข้าไปอยู่ที่ซอกกระโจม
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร่วงลงบนเตียงอีกครั้ง นั่นทำให้เธอขดตัวด้วยความเจ็บปวด เหตุการณ์นี้ทำให้เธอหายตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นความโกรธก็กลับมาแทนที่
โจวเหว่ยชิงได้ถอดชุดคลุมตัวนอกของเขาออกเมื่อเริ่มฝึกวิชาเมื่อคืนที่ผ่านมา และเมื่อมณีของเขาถูกปลุกขึ้น ก็มีเพียงชุดคลุมด้านในของเขาเท่านั้นที่ฉีกขาดออกไป ด้วยเหตุนี้ เมื่อโรคกลัวตายเขากำเริบ เขาจึงรีบคว้ากางเกง และเสื้อคลุมของเขาขึ้นมาก่อนจะพลิกไปอีกด้านของกระโจมแล้ววิ่งหนีออกไปด้วยความเร็วราวกับพายุ
ข้างนอกกระโจมตอนนี้มีเพียงแสงสว่างริบหรี่เนื่องจากแสงแรกของวันเพิ่งจะมาเยือนขอบฟ้าด้านนอกไม่นาน ทันทีที่เขาออกมาจากกระโจมได้ โจวเหว่ยชิงก็รีบร้อนสวมเสื้อผ้าของเขาในเวลาอันรวดเร็ว และออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เขารู้ดีว่าเขาได้ทำเรื่องร้ายแรงกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ต้องวิ่งหนีออกมาก่อนเพื่อรักษาชีวิตของตน
…………………………………………………………..