Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 5.2 วิชาเทพอมตะ มณีสวรรค์ถือกำเนิด (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- ตอนที่ 5.2 วิชาเทพอมตะ มณีสวรรค์ถือกำเนิด (2)
ในตอนแรกเริ่มที่โจวเว่ยชิงได้รับเคล็ดวิชาเทพอมตะนี้ ไอ้เจ้าหลักการทั่วไปที่เขียนเตือนไว้หน้าแรกก็ทำให้เขาหวาดกลัวซะจนไม่กล้าที่จะเริ่มฝึก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่อ่านเนื้อหาคร่าวๆ เท่านั้น
ในการบ่มเพาะปราณสวรรค์ คนผู้หนึ่งจะต้องใช้การฝึกวิทยายุทธ์ ดูดซับปราณสวรรค์จากธรรมชาติรอบๆ ตัวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย และเพิ่มพลังปราณสวรรค์ภายในร่าง พลังปราณสวรรค์นั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ขั้นใหญ่ๆ คือ ปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐาน ขั้นทะลวงพิภพ ขั้นทะลุสวรรค์ และขั้นบรรลุวิถี ซึ่งแต่ละขั้นก็จะแบ่งออกเป็นอีก 12 ระดับย่อยๆ วิชาเทพอมตะนี้ก็เป็นการฝึกวิทยายุทธ์เช่นเดียวกันกับการฝึกปราณสวรรค์ แต่ทว่ามันมีความพิเศษและแตกต่างอย่างมากจากการฝึกวิทยายุทธ์ทั่วๆ ไป
ซึ่งการฝึกวิทยายุทธ์ทั่วไปนั้นไม่ว่าจะฝึกในระดับใดก็ตามมักเป็นการฝึกสมาธิหรือการฝึกร่างกายในรูปแบบต่างๆเพื่อกระตุ้นแก่นชีวิตภายในให้ซึมซับพลังงานรอบๆ ตัวมาเป็นพลังปราณให้กับตนเอง อย่างไรก็ตาม วิชาเทพอมตะได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางการฝึกตนเดิมให้เป็นวิถีใหม่อย่างสิ้นเชิง อาจกล่าวได้ว่าหลักสำคัญของวิชานี้นั้นง่ายดายมาก มันคือการทะลวงจุดตายทั้งหมดของร่างกายนั่นเอง
การฝึกวิชานี้ไม่จำเป็นต้องดูดซับปราณสวรรค์จากธรรมชาติรอบตัวผ่านการทำสมาธิหรือการฝึกร่างกายใดๆ ทุกครั้งที่ทะลวงจุดตายได้หนึ่งจุด พลังปราณสวรรค์ภายในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับทันที ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกวิชานี้ การดูดซับพลังปราณสวรรค์นั้นมีจุดประสงค์เพียงเพื่อช่วยทะลวงจุดตายภายในร่างกายนั่นเอง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า แม้การฝึกวิทยายุทธ์นี้อาจจะดูไม่ซับซ้อน ทว่าการทะลวงจุดตายนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จได้จริงๆ หากสามารถทะลวงจุดตายของร่างกายได้ครบทั้งหมด 36 จุด ปราณสวรรค์ของเขาก็จะพัฒนาไปสู่ระดับ 36 ซึ่งก็คือระดับสุดท้ายของขั้นทะลุสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นคืออีกก้าวเดียวชายหนุ่มก็จะเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของการฝึกปราณสวรรค์ นั่นก็คือขั้นบรรลุวิถี
แม้แต่แม่ทัพใหญ่โจว บิดาของโจวเหว่ยชิง ในฐานะที่เป็นนักรบอันดับต้นๆ ของอาณาจักรผู้มีปราณสวรรค์อยู่ในระดับ 32 หรือก็คือขั้นทะลุสวรรค์ระดับ 8 แม้จะผ่านมา 5 ปีแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นมาได้อีก
เมื่อโจวเหว่ยชิงยังเด็ก แม่ทัพโจวเคยตามหาคัมภีร์การฝึกวิทยายุทธ์หลากหลายวิชาเพื่อให้เขาได้ลองฝึก และอย่างน้อยวิชาทั้งหมดที่เคยลองก็ไม่มีวิชาไหนเลยที่ต้องทะลวงจุดตายของร่างกายทั้งหมด
นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมโจวเหว่ยชิงจึงไม่กล้าที่จะลองฝึกวิชานี้ อย่างไรก็ตามหลังจากหลายปีผ่านไป แม่ทัพโจวก็ยังคอยตรวจสอบร่างกายของเขาเป็นประจำแทบทุกปี ทว่าแม้เด็กหนุ่มโตขึ้นก็ยังไม่มีสัญญาณของพลังปราณสวรรค์เลย ดังนั้นเขาจึงต้องรับบทเป็นเศษสวะต่อไป โจวเหว่ยชิงได้ต่อสู้กับตนเองในใจมานานว่าจะเริ่มฝึกวิชาเทพอมตะนี้ดีหรือไม่ แต่ในวันนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่
แม่ทัพโจวเป็นจ้าวมณีสวรรค์ และโดยปกติแล้วตราบใดที่ลูกหลานของเขาสามารถสามารถปลุกพลังมณีได้ พวกเขาก็มักจะสืบทอดพลังมณีสวรรค์นั้นจากผู้มีสายเลือดใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบร่างกายของโจวเหว่ยชิง แม่ทัพใหญ่กลับพบว่าเส้นชีพจรที่อุดตันของลูกชายหลายเส้นนั้นลากผ่านจุดตายด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่กล้าใช้ปราณสวรรค์ของตนเองทะลวงเส้นลมปราณที่อุดตันของโจวเหว่ยชิง แม้เขาจะหวังให้ลูกชายของตนเป็นจ้าวมณีก็ตาม
ในเวลานั้นโจวเหว่ยชิงได้แต่คิดว่าหากเขาสามารถฝึกวิชาเทพอมตะ และทะลวงจุดตายเหล่านั้นได้ ตนก็จะแก้ปัญหาเส้นลมปราณอุดตัน และสามารถเริ่มต้นฝึกปราณสวรรค์ได้เสียที
และในวันนี้ หลังจากได้ฟังความลับของจ้าวมณีสวรรค์จากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ความปรารถนาที่อยากจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์นั้นก็เพิ่มมากขึ้นจนเกินความเจ็บปวดที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้เสียแล้ว โจวเหว่ยชิงตัดสินใจแล้ว อย่างน้อยตนก็ควรจะลองวิชาเทพอมตะนี้ดู หากไม่กล้าในตอนนี้ เขาจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองได้อย่างไร?
ตอนนี้โจวเหว่ยชิงรู้ชัดแจ้งว่ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้าหากไม่ปลุกพลังมณีก่อนอายุ 16 เขาก็จะสูญเสียโอกาสในการทำเช่นนั้นตลอดไป และหากถึงเวลานั้น ตนก็จะกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าตลอดกาล ใครบ้างจะพึงพอใจหากถูกเรียกขานเช่นนั้นไปตลอดชั่วชีวิต? ดังนั้น แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกลัวความตาย แต่เขาก็กลัวที่จะเป็นคนไร้ค่าไปตลอดชั่วชีวิตด้วย
เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าใสซื่อของโจวเหว่ยชิงถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง ใช้ประโยชน์จากแสงสลัวของโคมไฟชั่วคราวของเขา โจวเหว่ยชิงพลิกหนังสือเก่าๆ เล่มนั้นไปยังหน้าถัดไป ในหน้าที่ 2 นี้แสดงถึงจุดตายจุดแรกที่จะต้องทะลวงเพื่อเริ่มฝึกวิชาเทพอมตะ
บนหนังแกะเก่าๆ นั้นเขียนไว้ว่า ร่างกายมนุษย์มีชีพจรเดี่ยวทั้งหมด 52 จุด ชีพจรคู่ 300 จุดและชีพจรพิเศษนอกเส้นพลังปราณอีก 50 จุด รวมทั้งสิ้น 702 จุด โดยชีพจรทั้งหมดนั้น มีจุดสำคัญ 108 จุด จุดไม่อันตราย 72 จุด และจุดตาย 36 จุด ซึ่งนั่นก็คือจุดตายที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้
วิชาเทพอมตะส่วนแรก การฝึกวิทยายุทธ์บริเวณส่วนแขนและขา
จุดตายแรก กระดูกไหปลาร้า
จุดตาย ณ กระดูกไหปลาร้าตั้งอยู่ที่ส่วนบนของไหล่ หนังแกะหน้าดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจะทะลวงจุดตายตรงกระดูกไหปลาร้าได้อย่างไร รวมถึงมีรูปภาพและข้อความกำกับเพื่อแสดงจุดต่างๆ อีกด้วย
จุดตายตรงกระดูกไหปลาร้านั้นเป็นชีพจรคู่ จุดหนึ่งอยู่ฝั่งซ้าย อีกจุดอยู่ฝั่งขวา โจวเหว่ยชิงพยายามกดลง ณ จุดตายบนกระดูกไหปลาร้าฝั่งซ้าย ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายรู้สึกชาอยู่ครู่หนึ่ง นั่นทำให้เด็กหนุ่มหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
เป็นที่ทราบกันดีว่าสำหรับจุดตายทั้ง 36 จุดนั้นมีทั้งจุดที่อันตรายน้อยและอันตรายมาก หลังจากพลิกคัมภีร์ไปหน้าหลังๆ แล้วเขาก็พบว่าจุดตายในขั้นหลังๆ ที่ต้องทะลวงนั้นเป็นจุดตายที่อันตรายกว่ามาก
การฝึกวิชานี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกคือบริเวณแขนขา ประกอบไปด้วยจุดตายทั้งหมด 5 จุด ส่วนที่สองคือแผ่นหลัง ประกอบไปด้วยจุดตาย 8 จุด ส่วนที่สามคือแผ่นอก ประกอบด้วยจุดตาย 14 จุด และส่วนสุดท้ายคือบริเวณศีรษะซึ่งประกอบด้วยจุดตาย 9 จุด ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า วิชานี้เริ่มฝึกจากส่วนที่ (อาจจะ) ง่ายที่สุดไปจนถึงยากที่สุด แต่ถึงกระนั้น แม้แต่จุดตายที่กระดูกไหปลาร้าซึ่งเป็นจุดที่ง่ายที่สุดก็นำมาซึ่งความรู้สึกน่าขนลุกเช่นนี้ โจวเว่ยชิงจึงสั่นด้วยความหวาดกลัว จุดตายพวกนี้จะถูกทะลวงได้จริงหรอเนี่ย!!!?
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็คิดตกอีกครั้ง ก็เหมือนที่ผู้คนกล่าวกันไว้ว่า ‘อะไรที่เป็นของเจ้าก็ย่อมเป็นของเจ้า’ ถ้าหากเขาสามารถทะลวงจุดตายนี้ได้ เขาก็มีโอกาสได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ แต่ถ้าหากไม่ลองเลย เขาจะกลายเป็นคนไร้ค่าตลอดไป
เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นเศษสวะอีกต่อไป!!! นี่คือความศรัทธาในหัวใจของโจวเหว่ยชิงที่ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่วิถีการฝึกปราณสวรรค์ได้ในที่สุด เขาตั้งสมาธิอย่างเงียบๆ และเริ่มฝึกฝนตามที่คัมภีร์วิชาเทพอมตะนี้เขียนไว้
ตั้งสมาธิจดจ่อ ณ จุดตายบนกระดูกไหปลาร้า เขาเริ่มรู้สึกถึงระบบต่างๆ ภายในร่างกายอย่างช้าๆ ส่วนที่ยากที่สุดของการฝึกฝนคือขั้นตอนการเริ่มต้นเสมอ ในกรณีของโจวเหว่ยชิงก็เช่นกัน การเริ่มต้นที่ยากที่สุดก็คือการสัมผัสถึงพลังปราณสวรรค์ภายในร่างกายของตนซึ่งมีเบาบางมากจนแทบไม่รู้สึก จากนั้นก็เหนี่ยวนำพลังปราณนั้นมาใช้เพื่อทำลายจุดตาย ตามคัมภีร์นั้น จุดตายบนกระดูกไหปลาร้าเป็นจุดที่ง่ายที่สุดในการทะลวงจากทั้ง 36 จุด และสิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นการที่เขาจะมีชีวิตรอดจากการทะลวงจุดตายครั้งนี้ได้หรือไม่? หากรอดพ้นจากการทะลวงจุดตายนี้ไปได้ ก็ถือว่าเขาผ่านขั้นตอนแรกที่สำคัญไปได้แล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดทำให้โจวเหว่ยชิงไม่สามารถรักษาความสงบเยือกเย็นได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณสวรรค์ภายในร่างเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกลัวตาย แต่หากได้ตัดสินใจทำบางสิ่งไปแล้ว เขาก็มีความอดทนสูงมาก
2 ชั่วโมงผ่านไป…จวบจนดึกดื่นมากเสียขนาดนี้แล้ว มีเพียงเสียงจิ้งหรีดที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่จะขัดจังหวะความเงียบสงัดของค่ำคืนนี้ได้
นี่ตัวข้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถฝึกพลังปราณได้หรือ? แม้กระทั่งวิชาเทพอมตะนี้ก็ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับข้าอีกงั้นหรือ? เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเต็มแล้ว และโจวเหว่ยชิงก็กำลังจะยอมแพ้ หลังและเอวของเขามีอาการปวดอย่างรุนแรง ปลายเท้าเริ่มชาหนึบจากการนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังไม่รู้สึกถึงพลังปราณสวรรค์ภายในร่างเลยแม้แต่นิดเดียว
………………………………………………………………