Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 40.2 แม่ทัพเทพสงครามอาณาจักรเฟยหลี่ (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- ตอนที่ 40.2 แม่ทัพเทพสงครามอาณาจักรเฟยหลี่ (2)
โจวเหว่ยชิงเงยศีรษะขึ้น จากนั้นคิ้วของเขาขมวดแน่นทันที ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินไปหาอาจารย์คนนั้นก่อนจะหยิบกระดาษของโจวเหว่ยชิงขึ้นมาอ่าน คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากคนที่เขาเคยพบเมื่อ 2 วันก่อน ชายหนุ่มชุดดำที่เคยอยู่กับตี้ฝูหยา หมิงหยู
เขายังคงสวมชุดสีดำดังเคย ใบหน้าของเขาเฉยชาขณะมองผ่านไปยังโจวเหว่ยชิงราวกับจำเขาไม่ได้
โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองว่า คนผู้นี้เป็นอาจารย์ในโรงเรียนทหารเฟยหลี่? ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ บางทีเขาอาจมีปัญหาในการสอบในวันนี้เสียแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสังเกตเห็นท่าทีเคารพนับถือที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของอาจารย์คนนั้นด้วย เมื่อหมิงหยูหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา อาจารย์คนนั้นก็ถึงกับลุกขึ้นยืนและเสียสละที่นั่งของตนให้เขา
ขณะเดียวกันนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ทำข้อสอบเสร็จแล้วเช่นกัน เธอจึงลุกขึ้นเดินมาทางโจวเหว่ยชิง ก่อนหน้านี้อาจารย์คนนั้นพูดจาค่อนข้างเสียงดัง ดังนั้นเธอจึงได้ยินเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นและทำได้เพียงมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย
หมิงหยูนั่งอ่านกระดาษแผ่นนั้นอย่างตั้งใจ ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง การแสดงออกบนใบหน้าของเขาเผยให้เห็นท่าทีประหลาดใจที่แฝงอยู่ในนั้น
“ดี…ดี…ดีมาก” หมิงหยูพยักหน้าไปทางโจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “คำตอบนี้ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในวันนี้ทีเดียว แม้ว่ามันจะยังดูไร้เดียงสาและไม่ค่อยรอบคอบเท่าไหร่นัก แต่ในฐานะผู้เข้าสอบ คำตอบนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว อาจารย์เอ้าเล่อ ข้าแนะนำว่านักเรียนใหม่คนนี้ควรได้คะแนนเต็ม”
“อะไรนะ? คะแนนเต็ม?” ใบหน้าของอาจารย์คนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดทันที “ท่านหมิงหยู นั่นไม่น่าจะถูกต้อง คำตอบของเด็กคนนี้ไร้เหตุผลเกินไป เขาถึงกับต้องการสังหารประชาชน! นอกจากนี้ในข้อความตอนท้ายยังฟังดูไร้สาระมากกว่าเดิมอีก บุกโจมตีค่ายศัตรูเพียงคนเดียวงั้นหรือ? หึ ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาเสียจริง คำตอบนี้แม้แต่จะให้สอบผ่านยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับคะแนนเต็ม” เมื่อมองไปที่หมิงหยู ใบหน้าของเขาก็ปรากฏข้อกังขา ถ้าคนตรงหน้าเขาไม่ใช่หมิงหยู เขาคงกล่าวหาว่าเจ้าเด็กใหม่นี่ใช้เส้นสายไปแล้ว
หมิงหยูกล่าวอย่างเฉยเมย “อาจารย์เอ้าเล่อ ท่านศึกษาความรู้ทางทหารทุกรูปแบบมาโดยตลอด แต่ท่านก็ไม่เคยอยู่ในสนามรบจริงเลยสักครั้ง สงครามนั้นถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ดังนั้นคำตอบของเด็กใหม่คนนี้จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพื่อให้ไม่เป็นการบอกใบ้ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ข้าจะไม่อธิบายไปมากกว่านี้แล้ว หลังจากการสอบครั้งนี้สิ้นสุดลง ข้าจะให้คำอธิบายกับท่านเป็นการส่วนตัว อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับคำตอบของเขา ข้ายืนยันตามคำพูดเดิมว่าควรให้คะแนนเต็ม ส่วนคำถามของท่านที่ว่าการลอบโจมตีศัตรูเพียงคนเดียวเป็นการกระทำที่ไร้เดียงสาและดูโง่เขลานั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากบุคคลนั้นเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลัง? ท่านจะยังคิดว่ามันไร้เดียงสาและโง่เขลาอยู่หรือเปล่า?”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หยิบปากกาสีแดงที่วางอยู่ข้างๆ อาจารย์คนนั้นขึ้นมาเขียนตัวเลข 100 เป็นสีแดงขนาดใหญ่ลงบนกระดาษ
“ช้าก่อน! ท่านเป็นใคร? ท่านไม่ได้เป็นอาจารย์ตรวจข้อสอบเสียหน่อย แล้วมาให้คะแนนคำตอบของข้าได้อย่างไร?” โจวเหว่ยชิงไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งเลยสักนิด กับชายคนนี้ คนที่อยู่กับคู่หมั้นของเขา เขาไม่ได้รู้สึกประทับใจใดๆ ด้วยเลย!
เมื่อมองเห็นท่าทีไม่เป็นมิตรในสายตาของโจวเหว่ยชิง อาจารย์เอ้าเล่อก็ตัดสินได้ว่าหมิงหยูไม่ได้มีส่วนเกี่ยว ข้องกับเด็กคนนี้แน่นอน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยเห็นใครกล้าตำหนิหมิงหยูต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากมาก่อน แม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็ยังไม่เคยทำเช่นนั้นเหมือนกัน เห็นดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากสอดว่า “เจ้าสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่ แต่เจ้าไม่รู้จักเขา แม่ทัพเทพสงครามแห่งอาณาจักรเฟยหลี่ ท่านหมิงหยู?!”
โจวเหว่ยชิงหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “แม่ทัพเทพสงคราม? เขาดังมากไหม?”
สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก เธอหันกลับไปมองหมิงหยูที่นั่งอยู่ จากนั้นสายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นเคารพนับถือ สำหรับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ทุกคนต่างก็พากันยืนขึ้นด้วยความแตกตื่นดีใจ ทันทีที่พวกเขาได้ยินคำว่า ‘ท่านหมิงหยู’ บางคนถึงกับหวีดร้องเสียงหลงออกมา ทว่าภายใต้สายตาตำหนิจากผู้คุมสอบ พวกเขาก็ทยอยนั่งลงเพื่อเขียนคำตอบต่อไป แม้ว่าสายตายังคงล่องลอยกลับไปยังด้านหน้าสนามสอบก็ตาม
หมิงหยูเปรยตาไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างไม่ปิดบังท่าทียอมรับในสายตา “อันธพาลน้อย คำตอบของเจ้าทำให้ข้า มองเจ้าต่างออกไปมากทีเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะรายงานการรบในครั้งนั้นเป็นที่รู้กันเฉพาะในหมู่แม่ทัพระดับสูงเพียงไม่กี่คน ข้าคงสงสัยว่าเจ้ารู้เกี่ยวกับการรบในครั้งนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสงสัยเหตุผลของข้าหรอก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อนเป็นเรื่องหนึ่ง วันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับการที่ข้าเขียนคะแนนลงในกระดาษคำตอบของเจ้า ข้าคิดว่าข้าก็มีสิทธิ์อันชอบธรรมอยู่บ้าง เพราะข้าเป็นหัวหน้าการจัดสอบในครั้งนี้ อ้อ อีกอย่างก็คือ ข้าเป็นคนที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเอง”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หันไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงพร้อมกับเผยสีหน้าตกตะลึงในความงามของเธอออกมา “สาวน้อย ข้าขอดูกระดาษคำตอบของเจ้าได้หรือไม่?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งกระดาษคำตอบและบัตรประจำตัวสอบให้หมิงหยูโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบกระดาษขึ้นมาและเริ่มอ่านด้วยท่าทีสบายๆ
หลังจากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พลันรู้สึกตัวและขยับไปพูดข้างหูของโจวเหว่ยชิงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าอ้วนน้อย แม่ทัพหมิงหยูคนนี้มีชื่อเสียงมากในอาณาจักรเฟยหลี่และยังเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของหน่วยจู่โจมในกองทัพของพวกเขา นอกจากนี้เขายังเป็นแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง เป็นบุคคลต้นแบบของเหล่าคนรุ่นเยาว์ในอาณาจักรเฟยหลี่อีกนับไม่ถ้วน เขาถือเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่อยู่บนจุดสูงสุดในโลกแห่งการสู้รบ ฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ยังถูกเรียกขานว่าเป็นตำนาน”
โจวเหว่ยชิงโค้งริมฝีปากขึ้นและพูดว่า “ตำนาน?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อว่า “ปีนี้เขาน่าจะอายุประมาณ 30 ปี แต่อย่าเข้าใจผิดเพราะอายุของเขา เขาเป็นคนที่น่าเกรงขามมาก มีข่าวลือว่าเขาติดตามบิดาของเขา แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงนามว่าหมิงหง ตั้งแต่อายุหกขวบเพื่อศึกษาความรู้ทางทหารและวิธีการสั่งการกองทัพทุกประเภท เมื่ออายุ 10 ปี มณีสวรรค์ของเขาก็ตื่นขึ้น อายุ 12 ปี เข้าร่วมฝึกซ้อมกองทัพกับบิดาและทำให้ทหารระดับสูงหลายคนต้องประหลาดใจและแตกตื่นกันไปทั้งหมด เมื่อเขาอายุได้ 14 ปีก็ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมกองทัพได้ก่อนเกณฑ์และเขาก็ค่อยๆเลื่อนยศขึ้นมาจากทหารธรรมดา ในเวลาเพียง 2 ปีเขาก็ขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันด้วยความดีความชอบของตัวเองแล้ว เมื่ออายุ 16 เขาเข้าร่วมสงครามกับอาณาจักรวั่นโซ่ว นำกองพันของตนเข้าต่อสู้กับ 6 กองพันของศัตรูด้วยยุทธวิธีการรบแบบกองโจรเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมง สามารถยื้อเวลาให้กองทัพหลักอาณาจักรเฟยหลี่ที่เหลือมาถึง ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างไร้ที่ติ นั่นคือการต่อสู้ครั้งแรกที่ผลักดันให้เขามีชื่อเสียงเช่นทุกวันนี้ หลังจากนั้นเขาก็กลับมาที่อาณาจักรและเข้าเรียนที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่แห่งนี้เป็นเวลา 2 ปี แน่นอนว่าเขากวาดรางวัลทุกชนิดในโรงเรียนแห่งนี้ไปทั้งหมด เมื่ออายุ 18 เขากลับสู่สนามรบ หลังร่วมรบมามากกว่า 100 ครั้ง ไม่ว่าจะกองทัพเล็กหรือใหญ่เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา ตอนที่เขาอายุ 28 เขาสะสมความดีความชอบมากพอจนสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บัญชาการกรมทหาร ด้วยกองกำลัง 100,000 คนภายใต้การบังคับบัญชาของเขา เขาจึงเป็นหนึ่งในแม่ทัพระดับสูงที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ ทุกครั้งที่เขาต่อสู้ในสนามรบ เขาไม่เคยปล่อยให้ศัตรูของเขามีชีวิตรอด เขายังเป็นที่รู้จักในนามเทพแห่งการสังหารอีกด้วย อาณาจักรวั่นโซ่วริษยาความกล้าหาญของเขามาก พวกเขาจึงส่งมือสังหารติดตามเขาและเตรียมกองกำลังขนาดใหญ่ไว้ดักจับและสังหารเขา แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็นวันนี้ เขายังคงมีชีวิตอยู่และสบายดี ประชาชนของอาณาจักรเฟยหลี่และแม้แต่พลเมืองของอาณาจักรอื่นๆต่างก็ยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษกันทั้งนั้น ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนเช่นนี้ เขาไม่ควรนับเป็นตำนานหรือ?”
โจวเหว่ยชิงกรอกตาในขณะที่คว้าแขนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาใกล้อย่างเอาแต่ใจและกระซิบข้างหูว่า “ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นต้นแบบของเจ้าด้วยหรือเปล่า?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างเคืองๆ และกลอกตาไปมาขณะพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าชื่นชมความสามารถในการบัญชาการรบของเขาเท่านั้น แต่เขาไม่ใช่ต้นแบบของข้า เขาเป็นคนหลายใจ และมั่วไปทั่ว ลือกันว่าเขาบ้ากามมาก”
“ทำไมแค่มีความใคร่ต้องถูกมองว่าโลเลและมั่วไปทั่วด้วย?!” น้ำเสียงขุ่นเคืองดังออกมาเกือบพร้อมกัน 2 เสียง หนึ่งในนั้นคือผู้ที่ถูกกล่าวถึง หมิงหยู ส่วนอีกคนคือโจวเหว่ยชิง ทว่าหลังจากที่ทั้งคู่พูดออกไปแล้ว ดวงตาของพวกเขาก็หันมาสบกัน หมิงหยูยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหัว ในขณะที่โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ
หมิงหยูถือกระดาษของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ในมือ เขายิ้มและพูดว่า “สาวงามท่านนี้ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นคนโลเลและมั่วไปทั่ว แต่ข้าก็ยังคงให้คะแนนอย่างยุติธรรม”
“คำตอบของเจ้าดูตรงไปตรงมาและค่อนข้างเขียนไปตามตำรามาก ข้าแน่ใจว่าในบรรดาผู้สมัครกว่า 100 คน 90 คนในนั้นจะมีคำตอบที่คล้ายกันกับเจ้าแน่นอน ดังนั้นข้าให้คะแนนเจ้าได้แค่ 50 คะแนน พูดตามตรงว่าในแง่ของการบัญชาการทหาร พรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดมีความสำคัญสูงสุดและทำให้คนๆ นั้นแตกต่างจากคนอื่น แม้ว่าข้าจะไม่อยากยอมรับ แต่เพื่อนตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ เจ้าคนนี้มีความสามารถที่น่าประทับใจมาก เห็นได้ชัดว่าความสามารถของเขาสูงกว่าเจ้าไปอย่างน่าเสียดาย ข้าจะมอบผลการประเมินง่ายๆ ให้กับเขา ‘เด็ดเดี่ยวและพร้อมสังหาร’ ถ้าเขาอายุ 16 ปีจริงๆ ตามที่เขียนไว้ในกระดาษรับสมัครแล้วล่ะก็ ในแง่ของความสามารถเขาก็นำหน้าข้าไปแล้วด้วยซ้ำ อย่างน้อยในวัยนั้นข้าก็คงไม่คิดจะเผาเมืองตัวเองเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของศัตรู”
เมื่อได้ยินผลการประเมินของทั้งคู่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หน้าแดงเล็กน้อย เธอโค้งคำนับให้หมิงหยูด้วยความเคารพ “ขอบคุณท่านแม่ทัพ”
หมิงหยูลุกยืนขึ้น จ้องกลับไปที่โจวเหว่ยชิงและยิ้มจางๆ ก่อนจะพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าคล้ายกับข้ามาก อีกทั้งข้าก็ยังสนใจเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะกลับมาตามหาเจ้าแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงจิ๊ปากและพูดออกมาว่า “ข้า! บิดาผู้นี้ไม่สนใจเจ้าหรอก! ข้าสนใจแต่ผู้หญิง!” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็คว้ากระดาษกับบัตรประจำตัวแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์
ใบหน้าของหมิงหยูฉายแววลำบากใจ เขาส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเด็กอันธพาลน้อยนั่นดูซื่อๆ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเด็กที่ดื้อรั้นและหัวแข็งมาก ดูเหมือนว่าปีการศึกษานี้จะเป็นจะเป็นปีที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว!”
ทันใดนั้นเองนายทหารคนหนึ่งก็วิ่งอย่างรีบร้อนมาหาหมิงหยู เขาทำความเคารพและกล่าวว่า “รายงานขอรับ”
“อืม พูดมา” หมิงหยูกล่าวอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าเขาจะอายุเพียง 32 ปี แต่เขาก็มีความสง่างามตามธรรมชาติซึ่งแสดงให้เห็นถึงรัศมีอันน่าเกรงขามของแม่ทัพ
“คำสั่งจากสำนักงานใหญ่ ให้ท่านแม่ทัพกลับไปรายงานตัวกับพวกเขา”
“อืม…ข้าเข้าใจแล้ว” หมิงหยูโบกมือและพยักหน้าให้อาจารย์คนอื่นๆ ขณะที่เขาเดินจากไป ทิ้งไว้แต่สายตาอิจฉาริษยาและสายตาแสดงความเคารพนับถืออีกหลายคู่
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกโจวเหว่ยชิงดึงไปที่อีกด้านหนึ่งของสนาม เธอจึงอดพูดออกมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อ้วนน้อย อย่าคิดมากไปเลย อย่างไรเสียท่านแม่ทัพหมิงหยูก็มีอายุมากกว่า 30 ปีไปแล้ว แต่ดูสิ ตอนนี้เจ้ายังอายุแค่ 16 ปี ดังนั้นข้าเชื่อว่าในอนาคตอ้วนน้อยของข้าจะแซงหน้าเขาได้อย่างแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจพลางพูดว่า “คิดมาก? ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด?! ข้าไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าคนอวดดีคนนั้น ทำไมข้าต้องพยายามแซงหน้าเขาด้วย? เขาก็คือเขา ข้าก็คือข้า!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดไม่ออก เธอคิดกับตัวเองในใจว่า ‘ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลแทนเจ้าบ้านี่ไปโดยเปล่าประโยชน์ชัดๆ’ “การทดสอบความรู้ทางทหารเจ้าได้คะแนนเต็มแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสอบอะไรอีก งั้นเจ้ารอข้าก่อนก็แล้วกัน ข้าจะไปทดสอบการสมรรถภาพการต่อสู้ในสนามรบ”
โจวเหว่ยชิงยกยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ใครอยากได้คะแนนเต็มของเจ้านั่นกัน ข้าจะไปสอบกับเจ้า ดูสิ สามีของเจ้าทรงพลังขนาดนี้!” ขณะที่พูดเช่นนั้นเขาก็ทำท่าเบ่งกล้ามออกมาจนซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดจะหัวเราะไม่ได้
…………………………………………………………
Related