Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 4.1 ความลับของจ้าวมณีสวรรค์ (1)
เมื่อออกจากประตูเมืองมาก็พบค่ายทหารทันที โจวเหว่ยชิงเดินเข้าไปในค่ายอย่างตื่นเต้น เขายกมือสัมผัสเกราะอ่อนอันใหม่เอี่ยมของตนพร้อมกับหมวกโลหะหนัก 1 กิโลกรัมที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะลืมปัญหาที่ก่อไว้เมื่อวานจนหมด
ขณะที่เพิ่งจะมาถึงค่าย โจวเหว่ยชิงก็พบใครบางคนที่คุ้นเคยเข้าเสียก่อน คนๆ นั้นคือผู้บัญชาการกองร้อยคนเมื่อวานที่ตั้งคำถามกับเขานั่นเอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายดูจริงจังเป็นอย่างมาก และชายหนุ่มก็ยื่นมือมาหยุดโจวเหว่ยชิงเอาไว้
“เจ้าคืออ้วนน้อยโจวใช่หรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มซื่อๆ ก่อนจะตอบ “ใช่! ท่านพี่ใหญ่ประจำกองร้อย ข้าคืออ้วนน้อยโจว!”
ผู้บัญชาการกองร้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ใครเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า? ในกองทัพเรียกขานกันด้วยตำแหน่งและยศ ข้าเหมาหลี่ ผู้บัญชาการกองร้อยที่ 4 สังกัดกองพันที่ 3 กรมทหารที่ 5 จากนี้ไป เจ้าเป็นพลทหารของกองร้อยที่ 4 เข้าใจหรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงตอบกลับ “เข้าใจขอรับ” แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่ในใจก็ยังแอบนินทาผู้บัญชาการกองร้อยคนนั้นในใจ: เหมาหลี่? ลาโง่?[1] ผู้บัญชาการกองร้อยลาโง่?
ผู้บัญชากองร้อยเหมาหลี่ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่า ขณะที่เขาเก๊กหน้าเขร่งขรึมใส่โจวเหว่ยชิงอยู่นั้น ตัวเองกลับโดนปีศาจน้อยตั้งชื่อเล่นใหม่เสียแล้ว และแน่นอนว่านั่นเป็นชื่อเล่นที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิตการเป็นทหารของเขาเลยทีเดียว
“ตามข้ามา” เหมาหลี่หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ตั้งกระโจมค่ายทันที
โจวเหว่ยชิงเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างสับสน ในใจคิดสงสัยว่าเหตุใดผู้บัญชากองร้อยถึงต้องมาดูแลเขาด้วยตน เอง? ถึงอย่างไรตนก็เป็นเพียงแค่พลทหารใหม่คนหนึ่ง ปกติคนที่มาดูแลเขาควรจะเป็นแค่หัวหน้าหมู่ไม่ใช่หรือ? ปกติแล้วผู้บัญชาการกองร้อยนั้นเป็นผู้ดูแลทหาร 100 คน ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ที่มีกำลังทหารไม่มากนั้น ยศของเขาจึงจัดได้ว่าเป็นระดับกลางๆ ในกองทัพ ในขณะที่ยศของผู้บัญชาการกองพันอย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นจัดได้ว่าเป็นนายทหารระดับสูง
เหมาหลี่พาเด็กหนุ่มเดินเข้าไปในค่ายทหารเป็นระยะทางไกลมาก จนกระทั่งถึงพื้นที่อันรกร้างห่างไกลคน เขาก็นำเข้าไปยังกระโจมเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณริมเขตค่ายทหาร
โจวเหว่ยชิงตามอีกฝ่ายเข้าไปข้างในกระโจม ในกระโจมนั้นมีขนาดประมาณแค่ 10 เมตร และมีเตียงเล็กๆ วางอยู่ 1 เตียง ปราศจากข้าวของอย่างอื่นอีก
เหมาหลี่ยืนอยู่ในกระโจมพลางกล่าวว่า “ช่วงเวลาที่รอให้กระบวนการจัดเกณฑ์ทหารเพิ่มจบสิ้นและช่วงเวลาก่อนพวกเราจะออกไปฝึกกันจริงๆ เจ้าจะได้พักอยู่ที่กระโจมนี่ ตอนนี้กรมทหารที่ 5 ต้องการรับสมัครทหารเพิ่ม 1,000 นาย และกองพันที่ 3 ของเราเพียงกองเดียวต้องการ 100 นาย และจากที่ข้าคาดการณ์ เราอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน จึงจะได้ทหารครบ
โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความคาดไม่ถึง “ว้าว!! ท่านผู้บัญชาการกองร้อย กองทัพช่างดูแลพลทหารได้อย่างดีจริงๆ ทหารทุกนายได้รับกระโจมส่วนตัวหมดเลยหรือ?”
“แหะๆ” เหมาหลี่หัวเราะก่อนจะพูด “แน่นอน นี่เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเจ้า เจ้ามารน้อย! ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไปเองละกัน เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนเถิด โรงอาหารตั้งอยู่มุมซ้ายของค่ายทหารและหาเจอง่ายมาก เมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะต้องไปเข้าร่วมการฝึก จะมีคนมาแจ้งให้เจ้ารู้” พูดจบ เขาก็หมุนตัวออกกระโจมไป
หลังจากที่เหมาหลี่จากไป โจวเหว่ยชิงก็เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ในตอนนี้ เด็กหนุ่มถอดธนูยาวพร้อมกับแล่งธนูออกวางไว้กับพื้นกระโจมและออกไปเช่นกัน
เขายังไม่ได้ตรวจสอบพื้นที่รอบๆ กระโจม ตอนนี้ด้วยความหวาดระแวง โจวเหว่ยชิงจึงเริ่มต้นสำรวจรอบๆ ที่พักของตนอย่างละเอียดและพบว่าในบริเวณนั้นไม่มีใครเลย ยิ่งไปกว่านั้น กระโจมที่ใกล้ที่สุดก็ยังห่างออกไปถึง 50 เมตร อาจจะพูดได้ว่า กระโจมของเขาอยู่สุดขอบของค่ายทหารจริงๆ
หรือว่านั่นจะเป็นเพราะฐานะของตนถูกเปิดเผยแล้ว ? เป็นไปไม่ได้! ข้าระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้นี่นา! แต่ทันใดนั้นเอง ใบหน้าอันงดงามแต่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ปรากฏขึ้นในหัวของโจวเหว่ยชิง หัวใจของเขาพลันห่อเหี่ยว เด็กหนุ่มได้แต่บ่นพึมพำกับตนเอง “ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นถึงยอดหญิงงามอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของอาณาจักร ดังนั้นนางจึงไม่ควรจะเป็นผู้หญิงประเภทหน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง คอยเจ้าคิดเจ้าแค้นอาฆาตพยาบาทข้าใช่ไหม?”
“เจ้า…อ้วน…โจว…!!!!!!!” ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นข้างๆ หูพร้อมกับเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เสียงนั้นมีเสน่ห์ราวกับเสียงร้องของนกขมิ้น แต่ทว่าน้ำเสียงนั้นคล้ายเป็นลางไม่ดีสำหรับโจวเหว่ยชิงเอาเสียเลย
เด็กหนุ่มหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว เผชิญหน้ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบทหารพร้อมกับมีคันธนูยาวสีม่วงเข้มพาดอยู่ที่แผ่นหลัง เขาทำได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง เส้นผมของเธอถูกมัดรวบขึ้นเป็นหางม้า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้สวมชุดเกราะ ส่งผลให้ชุดทหารสีม่วงเข้มที่สวมขับเน้นส่วนโค้งเว้าของเธอยิ่งกว่าเดิม เมื่อรวมกับธนูยาวที่สะพายอยู่ข้างหลัง มันจึงกลายเป็นภาพที่งดงามของนักรบผู้กล้าหาญ โชคร้ายที่ใบหน้าน่ารักนั้นกลับดำทะมึนราวกับว่ากำลังจะพ่นไฟออกมาเมื่อได้ยินเขาพูดว่า “หน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง”
อ้ากกกก นี่มันโชคร้ายประเภทไหนกัน? โจวเหว่ยชิงทอดถอนใจก่อนจะพยายามยิ้มอย่างประจบประแจง “ท่านผู้บัญชาการกองพัน! ข้าเพียงแค่…เอ่อ…ชื่นชมท่าน…เอ่อ ชื่นชมการเติบโต…อืม…พัฒนาการของ…” เมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขา แม้กระทั่งโจวเหว่ยชิงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดแก้ตัวอย่างไรให้พ้นจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ได้
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังโกรธมาก! ก่อนหน้านี้เธอได้ออกคำสั่งให้ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่นำตัวโจวเหว่ยชิงไปพักที่กระโจมห่างไกลผู้คนเพื่อที่เธอจะได้แก้แค้นเขาได้ถนัดๆ แม้ตอนแรกหญิงสาวจะรู้สึกผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้และถามกับตัวเองว่าทำเกินกว่าเหตุไปหรือไม่ เพราะไม่ว่ายังไงโจวเหว่ยชิงก็เป็นเพียงทหารใหม่และทุกอย่างก็อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ แต่หลังจากที่ได้ยินเขาพูดนินทาเธอเช่นนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะถูกหลอกโดยเจ้าคนหน้าตาใสซื่อนี้ได้อีก อย่างไร!!
“พลทหารโจว รับคำสั่ง!” เธอตะโกนเสียงดัง
ก็เหมือนที่เขาว่ากันไว้ว่าคนฉลาดมักจะต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง โจวเหว่ยชิงรีบยืนตรงรอฟังคำสั่ง พวกเขาทั้งสองคนนั้นห่างชั้นกันจนแทบจะไม่ต้องเปรียบเทียบด้วยซ้ำ นอกจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาและที่มีตำแหน่งสูงมากแล้ว เธอก็ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์อีกด้วย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอื้อมมือขวาออกไปหยิบแส้ออกมาจากเอว ก่อนจะมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาเยียบเย็นและกล่าวว่า “พลทหารโจว สบประมาทผู้บังคัญบัญชา มีโทษฟาดด้วยแส้ 10 ครั้ง ข้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นผู้ลงมือ อ้วนน้อยโจว หันมาเดี๋ยวนี้!!!”
โจวเหว่ยชิงมองแส้ในมือของอีกฝ่ายอย่างโศกเศร้า เขาได้แต่ร้องไห้ในใจอย่างไร้เสียง คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกลงโทษในวันแรกของการมาอยู่ค่ายทหาร! แต่ตอนนี้เขาดันอยู่ใต้อำนาจของเธอจึงทำได้เพียงหันกลับมาด้วยหัวใจอันหนักอึ้งและไม่เต็มใจ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงในลำคอด้วยความโกรธ ก่อนจะก้าวไปอยู่ด้านหลังของโจวเหว่ยชิงและ *เพียะ* มีเสียงแส้กระทบไปบนแผ่นหลังของโจวเหว่ยชิง
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!” เสียงกรีดร้องโหยหวนของโจวเหว่ยชิงดังราวกับว่าเขากำลังถูกตอน ร่างล้มลงหน้ากระแทกพื้นก่อนจะกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองที่แส้ของเธอด้วยความฉงนใจพลางคิดอย่างสับสนว่า นี่มันเจ็บขนาดนั้นเลยรึ? ข้าไม่ใช้พลังปราณสวรรค์เสียหน่อย! เจ้าอ้วนน้อยโจวนี่ก็ดูร่างกายแข็งแรงดี ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะอ่อนแอขนาดนี้?
การแสดงของโจวเหว่ยชิงนั้นสมจริงมาก ร่างกายของเด็กหนุ่มพลันบิดไปมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่เขากลิ้งอยู่บนพื้นราวกับว่ากำลังจะตายจริงๆ
หากพูดถึงการถูกทุบตี ใครจะมีประสบการณ์ไปมากกว่าโจวเหว่ยชิงได้? ตั้งแต่เด็กเขาถูกลงโทษโดยการเฆี่ยนตีจากผู้เป็นบิดานับครั้งไม่ถ้วน และเด็กหนุ่มก็มีประสบการณ์โชกโชนในด้านการแสดงกลอุบายเมื่อถูกทุบตี
ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้แส้ฟาดเขา โจวเหว่ยชิงก็เซตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยในจังหวะเดียวกันเพื่อลดแรงกระแทกบนแผ่นหลัง จากนั้นจึงใช้ท่าทางเจ็บปวดของตนเป็นอุบายหลอกให้เธอเห็นใจ เด็กหนุ่มชำนาญการใช้กลวิธีนี้มากและมีทักษะในการนำมันออกมาใช้อย่างแนบเนียน ถึงขนาดที่ว่านี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณแต่กำเนิดของเขาเลยด้วยซ้ำ!!!
อันที่จริงจอมมารน้อยตนนี้กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจเพราะว่าตัวเองนั้นสวมชุดเกราะโลหะผสมไทเทเนียมอยู่ เมื่อรวมกับการที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ใช้พลังปราณสวรรค์ของเธอเลย เขาจึงไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่นิด ด้วยเหตุนี้ท่าทางเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจึงเป็นแค่การแสดงหลอกๆ เท่านั้น และการแสดงนี้ก็อาจจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่โจวเหว่ยชิงเผชิญอยู่ได้
เมื่อมองเห็นท่าท่างเจ็บปวดทรมานของเจ้าอ้วนโจวน้อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตีเขาไม่ลงอีกเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่กลิ้งไปมาซักพัก ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สงบลง หากแต่ก็ยังมีอาการชักกระตุกราวกับกำลังใกล้ตายก็ไม่ปาน!
……………………………………………………………….
[1]毛利 (เหมาหลี่) เป็นชื่อที่มีการเขียนคล้ายกับคำว่า 毛驴 (เหมาลู่) ที่แปลว่าลา (ซึ่งลา มักจะมีความหมายโดยนัยว่า คนโง่)