Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 2.3 ไข่มุกสีดำอันแปลกประหลาด (3)
“อะไรนะ? นี่เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้ารึ?” ฉับพลันนายกองผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห ความสูงกว่า 1.9 เมตรของเขาทอดบังศีรษะของโจวเหว่ยชิงจนมิด แผ่รังสีคุกคามกดดันขณะที่เขาคว้าข้อมือของโจวเว่ยชิงและเบียดหน้าขมึงทึงเข้าใกล้
“อ๊าาาา…ย่อมไม่ๆ ข้าแค่หมายถึง ข้าต้องการเวลาคิดสักเล็กน้อยว่าจะเข้ากองทหารหน่วยไหนดี…” โจวเหว่ยชิงรีบชิงพูดด้วยรอยยิ้มกลบเกลื่อนบนใบหน้า ดั่งโบราณกล่าวไว้ว่า คนฉลาดย่อมรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ฉะนั้นโจวเหว่ยชิงจึงย่อมไม่ต้องการมีปากมีเสียงให้ตนถูกอัดจนน่วม
ความเป็นจริงนั้น หากเด็กหนุ่มเปิดเผยฐานะของตนออกไป พวกทหารก็ต้องก้มหัวลงคุกเข่าให้เขาอยู่แล้ว แต่ถึงแม้ว่านิสัยของโจวเหว่ยชิงจะเป็นคนเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกง แต่เขายังเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นบิดาเสมอ ตั้งแต่เด็ก บิดามักจะพร่ำสอนกับโจวเหว่ยชิงเสมอว่าลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นจะต้องมุ่งมั่นและทำตามหลักการของตนเอง ไม่หวังพึ่งพิงฐานะของตระกูลเป็นอันขาด ดังนั้น แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมาจากตระกูลที่มีฐานะสูงส่งตระกูลหนึ่งในอาณาจักร เขาก็ไม่เคยใช้ฐานะของตนหาผลประโยชน์จากผู้อื่นเหมือนองค์หญิงตี้ฝูหยา
และความเป็นจริงนั้น แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเปลี่ยนใจไม่สมัครเกณฑ์ทหารแล้ว ตามกฏนายกองคนนี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี น่าเสียดายที่โจวเหว่ยชิงยังเด็กและไร้ประสบการณ์เกินกว่าที่จะรู้เรื่องนั้น
หลังจากได้ยินเสียงตอบรับจากโจวเหว่ยชิง นายกองคนนั้นก็นั่งลงพร้อมกับใบหน้าฉายแววพึงพอใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงก่อนจะพูด “เอาล่ะ รีบๆตัดสินใจ แล้วก็กรอกรายละเอียดตรงนี้ซะ จะได้ไปทดสอบสมรรถภาพต่อ ข้าขอบอกไว้เลยนะไอ้หนู เจ้าน่ะโชคดีมากเพราะนี่เป็นการรับสมัครครั้งแรกๆ การทดสอบเลยจะไม่เข้มงวดมาก ไม่อย่างนั้นแกคิดเรอะว่าการสมัครเป็นทหารมันจะง่ายขนาดนี้?”
โจวเหว่ยชิงถามต่อด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “พี่ชาย อะแฮ่ม ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ ในสนามรบ ทหารหน่วยไหนยืนอยู่ข้างหลังสุดแบบไม่ต้องปะทะกับศัตรูบ้าง?”
เด็กชายทุกคนย่อมใฝ่ฝันอยากจะเป็นผู้กล้าเมื่อพวกเขายังเด็ก แต่โจวเหว่ยชิงนั้นมีหลักการของตนเอง เขาไม่อยากจะเป็นแค่ทหารแบกของ กางกระโจม หรือทำอาหาร ถ้าหากได้เป็นทหารจริงๆ ก็ควรเป็นทหารที่มีหน้าที่ดีๆหน่อย เพราะหาไม่แล้วละก็ เมื่อบิดารู้เข้า เด็กหนุ่มจะต้องถูดอัดจนน่วมแน่ๆ! ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเสียหน้าด้วย! แต่หากได้เป็นทหารเข้าสู่สนามรบจริงๆ โจวเหว่ยชิงก็ยังอยากจะหาตำแหน่งเหมาะๆ ที่จะทำให้ตนอยู่รอดปลอดภัย เพราะสำหรับเขาแล้ว ความปลอดภัยย่อมมาเป็นอันดับหนึ่ง โจวเหว่ยชิงเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนย่อมกลัวตาย และเขาก็ไม่ใช่วีรบุรุษที่สามารถเผชิญกับความตายได้อย่างห้าวหาญด้วย
นายกองคนนั้นมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตามีเลศนัย เขากล่าวอย่างรวดเร็ว “นั่นง่ายมาก แน่นอนว่าหน่วยที่เจ้าต้องการจะเข้าคือหน่วยธนู เพราะพลธนูนั้นมักจะอยู่ในแนวหลัง และแม้ว่าต้องไปนำยิงที่แนวหน้าของกองทัพ แต่ก็มักจะได้ถอยกลับมาตั้งหลักในแนวหลังเมื่อกองทัพทั้งสองเข้าปะทะกัน นอกเสียจากว่าทั้งกองทัพจะถูกทำลายไปแล้วนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นนักธนูก็ไม่ได้ปะทะกับศัตรูตรงๆ หรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “ใช่แล้ว! นั่นมันเหมาะกับข้าจริงๆ! ทำไมข้าถึงไม่ได้นึกถึงหน่วยที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างหน่วยธนูนะ พี่ชาย ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าอยากจะสมัครเป็นนักธนูขอรับ!” อย่างน้อยเขาก็รู้ว่านักธนูมักจะถูกจัดตำแหน่งให้อยู่ข้างหลังเพื่อรับการป้องกันจากกองทัพหลัก
นายกองเห็นว่าแผนการณ์ยุยงส่งเสริมของตนได้ผลจึงหัวเราะออกมาก่อนจะยืนขึ้นและจับพู่กันขึ้นมา “เจ้าชื่ออะไร อายุเท่าไหร่?”
“ข้าชื่อโจว…” โจวเหว่ยชิงกัดลิ้นหยุดได้ทันเวลาก่อนที่จะเผลอบอกชื่อจริงออกไป “ข้าชื่อว่าอ้วนน้อยโจว อายุ16ปีขอรับ” แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะอายุเพียง 13 ปี แต่อย่างน้อยเขาก็เกิดในครอบครัวขุนนางและเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูล ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมีความรู้เพียงพอที่จะพลิกแพลงบิดเบือนคำพูดไม่ให้เป็นเท็จซะทีเดียว อย่างน้อยก็ยังอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป
เนื่องจากเขาตัดสินใจจะเข้าร่วมกองทัพ ดังนั้นเพื่อซ่อนตัวตนจากบิดาของเขา โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจที่จะใช้ชื่อปลอมที่เป็นชื่อเล่นสมัยเด็กของเขา ซึ่งชื่อนั้นเป็นชื่อที่ไม่ได้ใช้มานานกว่า 10 ปีแล้ว ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่บิดาจะค้นพบตัวเขาจากชื่อนี้
“อ้วนน้อยโจวงั้นรึ? มองยังไงแกก็ไม่เห็นอ้วนเลยสักนิด!” นายกองพึมพำกับตัวเองขณะที่จดรายละเอียดลงไป ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าโจวเหว่ยชิงนั้นดูเด็กเกินกว่าจะอายุ 16 ปี
หลังจากนั้นไม่นาน การสมัครก็เสร็จสมบูรณ์ เขาก็ส่งใบสมัครนั้นให้แก่โจวเหว่ยชิงและชี้นิ้วไปที่มุมหนึ่ง “เอาล่ะ ไปตรงนั้นเพื่อทดสอบกับนักธนู ถ้าเจ้าสอบผ่านก็จะได้เป็นนักธนูของอาณาจักรแล้ว”
“ขอบคุณมากขอรับพี่ชาย” โจวเหว่ยชิงรับใบสมัครนั้นมาอย่างยินดี ภายในใจพลันคิดว่า การเข้าร่วมหน่วยทหารที่จะทำให้เขาไม่ตกอยู่ในอันตรายมากนักอย่างหน่วยธนูนั้นเป็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดแล้ว นี่มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
โจวเหว่ยชิงรีบร้อนไปยังตำแหน่งที่จัดทดสอบ ที่นั่นมีทหารรออยู่ 4-5 นาย พวกเขาล้วนสวมชุดเครื่องแบบสีดำและสีเทา สวมทับด้วยเกราะหนังน้ำหนักเบา ปลอกมือที่ดัดแปลงเฉพาะเพื่อสวมที่ข้อมือนักธนู นอกจากนั้นยังมีหมวกขนาดใหญ่ครอบไว้ที่ศีรษะเพื่อป้องกันสายตาจากแสงแดดและสายฝน ด้านหลังยังมีคันธนูยาวสะพายไว้พร้อมกับแล่งธนูอยู่ด้านข้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปกรณ์สามัญสำหรับนักธนู เมื่อสวมใส่ก็แลดูองอาจและสง่างาม
ณ ขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดเข้ารับการทดสอบ มีเพียงทหารใหม่สองสามนายกำลังยืนมุงดูอยู่อย่างสนอกสนใจ โจวเหว่ยชิงย่อมรับรู้ว่าบิดาของตนเข้มงวดเพียงใด และถ้าเขาโหดเหี้ยมกับลูกชายของตัวเองขนาดนี้แล้วล่ะก็ กองทัพของเขาก็คงจะมีวินัยอย่างเข้มงวดเช่นกัน ดังนั้น ถึงแม้ว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะค่อนข้างเล็กและมีกำลังทหารเพียงไม่กี่หมื่นนาย แต่ทหารเหล่านั้นต่างก็ล้วนเป็นขุนศึกผู้ยอดเยี่ยมและมีความสามารถในการต่อสู้กับศัตรูที่มีจำนวนใกล้เคียงหรือสูงกว่า โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าบิดาของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วในอาณาจักรรอบๆ อีกด้วย
“คารวะพี่ชาย ข้ามาทำการทดสอบเป็นนักธนู” โจวเหว่ยชิงส่งใบสมัครของเขาให้กับหนึ่งในผู้คุมที่สบตากับตนอยู่ ชายคนนั้นจึงกล่าวว่า “น้องชาย เลือกได้ดี! ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าที่เลือกเข้ากองธนูของเรา หน่วยของเรานั้นเป็นหน่วยที่ดีที่สุดในกองทัพเชียวล่ะ เอาธนูนี่ไปซะ แล้วก็ลองง้างดูแบบนี้” ผู้คุมคนนั้นทดลองง้างธนูของเขาให้ดูก่อนจะส่งต่อให้โจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงก้มมองดูธนูนั้นอย่างละเอียดรอบหนึ่ง มันทำจากไม้ดาราที่มีคุณภาพเยี่ยม ยาวประมาณ 1.8 เมตร และกว้างกว่า 0.9 เมตร ส่วนหน้าของคันธนูนั้นโค้งรับกันได้อย่างเหมาะเจาะ ขณะที่เชือกขึงนั้นเหยียดยาวเป็นเส้นตรงไม่บิดเบี้ยวแม้แต่น้อย ส่วนที่จับนั้นกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ส่วนที่ต่อออกมาจากที่จับก็มีขนาดเรียวเล็กลงเรื่อยๆ ไปจน ถึงปลายของทั้งสองฝั่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกห่อหุ้มด้วยเส้นเอ็นอย่างดี
ด้วยการห้ำหั่นกันในศึกสงคราม คันธนูยาวเช่นนี้จึงได้รับการคิดค้นพัฒนามายาวนานต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า ในดินแดนไร้ขอบเขตสมัยโบราณนั้นมีวัสดุหลากหลายชนิดที่มักจะนำมาใช้ทำธนู ในยุคนั้นธนูทั่วไปมีความยาวประมาณ 1.2 เมตร มีระยะโจมตีหวังผลสูงสุด 200 เมตร น้อยสุด 100 เมตร และอำนาจการทะลุทะลวงต่ำ ขณะที่เวลาผ่านไป ธนูก็ค่อยๆถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นคันธนูยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบวัสดุชั้นดีอย่างไม้ดารา ทำให้คันธนูยาวถูกใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
แม้ปัจจุบันคันธนูยาวนี้ถือว่าเป็นอาวุธประจำกายสำหรับพลธนูของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็มันก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแม้แต่ทหารธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์ก็สามารถยิงโจมตีหวังผลสูงสุดได้ตั้งแต่ 200 ถึง 400 เมตร ซึ่งเป็นระยะโจมตีที่มีประสิทธิภาพเกือบสองเท่าของธนูแบบเก่า นอกจากนั้น อัตราความเร็วในการยิงยังสูงถึง 10-12 ลูกต่อนาที และเมื่อมันตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของนักแม่นธนู ความเร็วก็ย่อมสูงมากกว่า
คันธนูยาวนั้นเบาเนื่องจากวัสดุที่ทำมันขึ้นมา และมันยังใช้งานง่ายกว่าธนูแบบเก่า แม้ว่าจะให้ระยะหวังผลที่ดีกว่าและพลังทำลายล้างสูงกว่าก็ตาม ดังนั้นคันธนูยาวจึงเหมาะสำหรับทั้งใช้ซุ่มโจมตีและปะทะโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น รูปลักษณ์ที่สง่างามของมันก็ยังทำให้ธนูอื่นๆกลายเป็นสิ่งล้าสมัย จึงอาจกล่าวได้ว่าคันธนูยาวเปรียบดั่งราชาในสนามรบสำหรับการโจมตีระยะไกลเลยทีเดียว
การยิงโจมตีระยะไกลของธนูยาวอาจให้ผลราวกับการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ เมื่อเหล่าพลทหารราบกำลังพุ่งเข้าปะทะศัตรู พลธนูที่ซุ่มอยู่ในแนวหลังก็สามารถยิงธนูขึ้นไปในแนวโค้งเพื่อทำร้ายศัตรูในกองทัพหน้าได้ ซึ่งนี่ก็เป็นจุดอ่อนของพลทหารม้าที่มักไม่สวมเกราะหนัก เพราะเมื่อนักธนูยิงด้วยกำลังสูงสุด ลูกธนูอันแหลมคมนั้นก็สามารถเจาะผ่านแม้กระทั่งเกราะอ่อนได้
…………………………………………………..