Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 110 เข้าสู่ระดับปรมะ (1)
เส้นชีพจรของเขาเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ ตอนนี้โจวเหว่ยชิงอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยนัก ผมของเขายาวขึ้นจนแผ่ลงมาที่ไหล่และหลังของเขาอย่างยุ่งเหยิง แม้จะอยู่ในห้องมืด แต่ก็ยังสามารถมองเห็นดวงตาแดงก่ำของเด็กหนุ่มได้
เมื่อระดับพลังปราณของคนๆ หนึ่งเพิ่มขึ้น การทะลวงระดับถัดๆ ไปก็ย่อมต้องยากขึ้นและใช้พลังปราณสวรรค์ในปริมาณที่มากขึ้นเช่นกัน การคาดการณ์เดิมของโจวเหว่ยชิงคือ 10 วัน ทว่ามันกลับไม่บรรลุผล และเขาต้องใช้เวลาเพิ่มทั้งหมด 23 วันนับจาก 37 วันที่ใช้ไปกับอาจารย์ทั้ง 3 และเวลานี้เขาก็มาถึงถึงจุดที่สามารถก้าวไปสู่ระดับถัดไปได้อีกครั้งแล้ว
โจวเหว่ยชิงจึงเริ่มการทะลวงจุดตายครั้งสุดท้ายทันทีเพื่อก้าวไปสู่ระดับถัดไป
ในขณะนี้ แม้เขาจะ ‘ทารุณ’ ตัวเอง แต่ร่างกายของเขากลับไม่ได้อ่อนแอลงเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว พลังปราณสวรรค์ก็เป็นพลังในชั้นบรรยากาศที่จ้าวมณีสวรรค์ทุกคนต้องการดูดซึมเข้าไปและเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่งสำหรับร่างกายมนุษย์ พลังปราณนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถหล่อเลี้ยงจ้าวมณีสวรรค์ได้เป็นเวลานานโดยไม่มีปัญหาใดๆ เห็นได้ชัดจากเทียน เอ๋อร์ แม้เธอจะไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาหารและน้ำดื่ม แต่ก็ยังสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองมาช่วงหนึ่งโดยไม่มีปัญหา
โจวเหว่ยชิงยังคงฝึกปราณอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าการทำเแบบนี้จะส่งผลกระทบมากมายต่อร่างกายของเขา แต่ในขณะเดียวกัน อะไรที่ฆ่าแล้วไม่ตาย มันก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม! ตราบใดที่เขาสามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้โดยไม่เกิดความเสียหายในระยะยาว มันก็จะส่งผลให้ร่างกายของเขาเคยชินและแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
23 วันผ่านไป ในเวลานี้ร่างกายของโจวเหว่ยชิงแข็งแกร่งและทนทานขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก พลังปราณสวรรค์เขาเองก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขากลับกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพลังจิตวิญญาณของเขา
หลังจาก 23 วันผ่านไปโดยที่ไม่ได้นอนหลับและพักผ่อนเลย ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการฝึกฝนอย่างเข้มข้น พลังจิตวิญญาณของเขาจึงแห้งเหือดลงไปจนถึงขั้นไม่มีเหลือแล้ว
โดยปกติแล้ว การฝึกปราณเป็นเวลา 20 วันนั้นมักจะไม่เป็นปัญหาใดๆ สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ เพราะถึงอย่างไรการฝึกปราณก็เป็นการพักผ่อนในตัวมันเอง ทว่าโจวเหว่ยชิงนั้นแตกต่างออกไป เขาใช้ทักษะกลืนกินถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะทำให้บริสุทธิ์และดูดซับพลังปราณสวรรค์ที่ได้รับมาจากภายนอกเหล่านั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ร่างกายของเขาจึงเสี่ยงที่จะมีปัญหาได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้โจวเหว่ยชิงจึงต้องตั้งใจอย่างเต็มที่ ไม่เพียงแค่ทักษะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการทำให้พลังปราณบริสุทธิ์และดูดซับเข้ามาด้วย เพียงแค่นั้นเขาจึงจะมั่นใจได้ว่าสามารถซึมซับพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดได้อย่างถูกต้องโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต
ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพลังจิตวิญญาณของเขา ด้วยการพักผ่อนเพียงเล็กน้อยหลังสิ้นสุดการฝึกปราณแต่ละรอบ ซึ่งนั่นไม่เพียงพอแน่นอนหากจะเทียบว่าเขาใช้แรงไปมากเท่าไร ถ้าไม่ใช่เพราะความเชื่อมั่นอันดื้อรั้นที่คอยสนับสนุนเขาในใจ โจวเหว่ยชิงก็คงจะพังทลายไปนานแล้ว
ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาเพียงพอแล้ว เขาก็มุ่งมั่นตั้งใจและเลือกที่จะทะลวงผ่านจุดตายต่อไปทันที
*ปึ่ก* จุดตายที่ 16 ถูกทะลวงจนขาดสะบั้น ภายใต้ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง โจวเหว่ยชิงสูญเสียการควบคุมร่างกายเกือบจะในทันทีเนื่องจากอาการสั่นเทาอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงสามารถบังคับตัวเองให้มุ่งสมาธิไปที่จิตวิญญาณของตนเองได้อย่างเต็มที่ ขณะนี้ความคิดของเขามีเพียงใบหน้าของพ่อแม่ ญาติ สหาย และอาจารย์ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์
น้ำตาไหลอาบลงบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ภายในใจของเด็กโจวเหว่ยชิง เขาเอ่ยคำสาบาน ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านต้องมีชีวิตอยู่! โปรดรอข้า ข้าจะแก้แค้นให้พวกท่านทุกคนและกอบกู้อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์!
แม้โจวเหว่ยชิงจะรู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่พ่อแม่ของเขาจะมีชีวิตรอดนั้นแทบจะเป็นศูนย์ แต่หากเขายังไม่ได้ยินรายงานการตายของพวกเขาด้วยตัวเอง เขาก็ยังคงมีความหวังหลงเหลืออยู่ในใจเสมอ
วันนั้นขณะเขานั่งอยู่ในห้องคนเดียว โจวเหว่ยชิงก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาเข้าใจนิสัยใจคอของบิดาเป็นอย่างดี ด้วยระดับพลังปราณของบิดา คงจะเป็นเรื่องง่ายมากหากเขาคิดจะหลบหนี…หากเขาต้องการเช่นนั้น แต่ทว่าเขาก็รู้ดี พ่อของเขาจะไม่ทำเช่นนั้น นิสัยของพ่อของเขาเป็นเช่นที่ว่า จะอยู่จนกระทั่งเหลือเลือดหยดสุดท้าย ไม่มีวันละทิ้งสนามรบและเลือกที่จะตายพร้อมกับทหารของเขา
แล้วแม่ของเขาล่ะ? แม่ของเขาจะทำเช่นไร? โจวเหว่ยชิงรู้ชัดเจนว่าแม่ของเขาจะอยู่เคียงข้างพ่อของเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าเธอจะได้รับการปกป้องมากแค่ไหนก็ตาม ทันทีที่พ่อของเขาเสียชีวิต แม่ของเขาจะตายตามไปด้วย
ในขณะนั้น หัวใจของโจวเหว่ยชิงมีเพียงความปรารถนาเดียวคือให้พ่อของเขามาอยู่ตรงหน้าเขา แม้ว่าเขาจะทุบตีโจวเหว่ยชิงเหมือนตอนที่ยังเด็ก ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน หรือถูกดุด่าเขารุนแรงเพียงใดก็ตาม…สิ่งที่เด็กหนุ่มอยากเห็นที่สุดก็คือใบหน้าที่ดูแก่ชรา ดื้อรั้นและเข้มงวดของอีกฝ่าย
อนิจจา ทั้งหมดนั้นอยู่ห่างไกลจากเขาเกินไป…อาจจะไกลจนชั่วนิรันดร์
ท่านพ่อ ท่านแม่ หากท่านทั้งคู่ตาย ข้าจะให้อาณาจักรคาลิเซและอาณาจักรป่ายต้าจ่ายคืนเป็นร้อยเป็นพันเท่า! ได้โปรด ท่านพ่อ ท่านแม่ โปรดรออ้วนน้อยกลับไปเถิด!
เป็นเพียงเพราะเขาคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ ในระดับมณี 3 ชุด เขารู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถต่อสู้กับคนทั้งกองทัพได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือคว้าโอกาสในเกาะมณีสวรรค์เพื่อเพิ่มระดับพลังปราณของเขาให้มากที่สุดในช่วงเวลาสั้นๆ และกักเก็บทักษะพิเศษบางอย่างจากวังกักเก็บทักษะก่อนที่จะกลับไปยังอาณาจักรเฟยหลี่และวางแผนขั้นตอนต่อไป นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำได้ในตอนนี้
หลังจากบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์และอยู่กับความสิ้นหวังนั้นได้แล้ว โจวเหว่ยชิงก็สามารถตัดสินใจอย่างรอบคอบได้ เขาได้คิดเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปแล้ว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะอยู่ในโรงเรียนทหารเฟยหลี่ต่อไปจน กว่าจะสำเร็จการศึกษา ทันทีที่เขากลับไปที่อาณาจักรเฟยหลี่ เขาจะต้องค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และสถานการณ์ในปัจจุบันทั้งหมด หลังจากนั้น เขาจะต้องหาเส้นทางที่จะก้าวต่อ บางทีอาจเป็นเส้นทางที่ไม่เคยอยู่ในแผนการก่อนหน้านี้หรืออาจเป็นเส้นทางที่เขาไม่ได้วางแผนที่จะก้าวเดินไปในเร็วๆ นี้
อย่างที่โบราณเคยกล่าวไว้ กองทัพที่ถูกบีบให้สู้อย่างหลังชนฝาย่อมฮึดเอาชนะได้อย่างแน่นอน หากถูกผลักไปที่ขอบเหว แม้กระทั่งหนูตัวเล็กๆ ก็ยังต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ แม้ว่าจิตวิญญาณของโจวเหว่ยชิงใกล้จะพังทลาย แต่ความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว ความปรารถนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดต่อครอบครัวและเพื่อนพ้องของเขาก็ทำให้เด็กหนุ่มพยายามอดทนต่อทุกสิ่ง เขากัดฟันผ่านความลำบากจนกระทั่งทะลวงผ่านจุดตายที่ 16 ในที่สุดก็มันถูกปิดผนึกกลับดังเดิมและหลุมดำพลังปราณก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา มณีชุดที่ 4 ก็พลันกำเนิดขึ้นรอบข้อมือของเขา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทำสำเร็จ…ในที่สุดเขาก็หมดสติไปด้วยความอ่อนล้า
…
โจวเหว่ยชิงยังคงไม่ได้สติเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน และเมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็พบว่ากลับมาอยู่ในห้องของตัวเองที่โรงเตี๊ยมแล้ว
เทียนเอ๋อร์นั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตียง และเมื่อเธอเห็นเขาตื่นจากการหลับใหล เธอก็ลูบใบหน้าของเขาเบาๆ และเอ่ยว่า “รอที่นี่ ข้าจะหาอะไรให้เจ้ากิน”
เธอไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมเขา เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรแล้ว เทียนเอ๋อร์รู้ว่าสิ่งเดียวที่เธอทำได้คือร่วมเดินไปกับเขาและสนับสนุนเขา นั่นจะเป็นความช่วยเหลือที่ดีที่สุดที่เธอจะสามารถคิดได้ อย่างน้อยก็จนกว่า โจวเหว่ยชิงจะสงบลง
จิตวิญญาณและสติสัมปชัญญะของโจวเหว่ยชิงฟื้นตัวอย่างช้าๆ และเมื่อคิดได้ เขาก็เริ่มหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ไปรอบๆ ร่างกาย หลุมดำพลังปราณทั้ง 16 ต่างก็เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็วขึ้นเช่นกัน ชั้นแสงสีขาวแวววาวดูเหมือนจะซึมออกมาจากร่างกายของเขา มันคือโล่เทพอมตะที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่
เนื่องจากจุดตายที่ 16 ของเขาถูกทะลวงสำเร็จแล้ว ข้อมือทั้งสองข้างของเขาจึงแสดงให้เห็นมณีชุดใหม่แต่ละชิ้น ภายใต้สถานการณ์ปกติ โจวเหว่ยชิงจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 เดือนในการก้าวไปสู่ขั้นตอนนี้ ทว่าเขากลับต้องฝืนทำให้สำเร็จภายในไม่กี่วันโดยการนำชีวิตไปเสี่ยง
มณี 4 ชุด นอกจากนี้ยังเติบโตจากจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมไปเป็นระดับปรมะ จากระดับปฐมขั้นสูงสุดไปยังดับปรมะขั้นแรก นี่ไม่ใช่การก้าวข้ามผ่านระดับที่ยากมาก แต่สำหรับคนอย่างโจวเหว่ยชิงที่ใช้วิธีฝึกปราณเช่นนี้ มันเป็นการทดลองที่ราวกับแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้าย
เทียนเอ๋อร์กลับไปที่ห้องโดยถือโจ๊กเนื้อมาด้วยหนึ่งชาม เมื่อรับชามจากเธอมาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็กลืนมันลงท้องอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนฉลาด และแม้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก แต่สำหรับการฝึกปราณแบบเสี่ยงตายในครั้งนี้ สำหรับเขาก็ถือว่าเป็นการระบายอารมณ์เช่นกัน แต่ถึงอย่างไร นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะผ่อนคลายหรือรู้สึกมีความสุข ทว่าอย่างน้อยมันก็ช่วยให้อารมณ์ของเขาคงที่มากขึ้น
โจวเหว่ยชิงกินโจ๊กทั้งชามหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปหาเทียนเอ๋อร์และพูดว่า “ขอบคุณนะเทียน เอ๋อร์” เมื่อเห็นเธอค่อนข้างซีดเซียวและมีสีหน้าอ่อนล้า ความรู้สึกผิดพลันปรากฏบนใบหน้าของเขา
เทียนเอ๋อร์ส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่ทะลวงผ่านไปสู่ระดับมณี 4 ชุดสำเร็จ”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “หนทางยังอีกยาวไกลนัก”
เทียนเอ๋อร์เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะถามเขาในที่สุด “เจ้ามีแผนจะจากไปเมื่อไหร่?”
ความเศร้าฉายชัดในดวงตาของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขากล่าวว่า “น่าเสียดาย ตอนนี้ขี้เถ้าได้โปรยปรายลง ณ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์แล้ว…และมันสายเกินไปที่จะพยายามตอบโต้อย่างโง่เขลา ข้าจะใช้เวลาอีกสองสามวันเพื่อกักเก็บทักษะในมณีดวงที่ 4 ให้สำเร็จ จากนั้นข้าจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเฟยหลี่”
เทียนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเงียบๆ จากนั้นก็กล่าวว่า “พักผ่อนสักเดี๋ยวก่อนเถอะ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ก็จะไม่มีโอกาสสำหรับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป”
โจวเหว่ยชิงฝืนยิ้มและพูดอย่างมั่นใจว่า “ข้าสบายดี ยิ่งข้ากลับมาเร็วเท่าไหร่ ข้าก็สามารถจัดการเรื่องอื่นๆ ได้เร็วขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เป็นอะไรแน่”
ในขณะที่เขาพูดอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังวังกักเก็บทักษะอีกครั้งและกักเก็บทักษะลงมณีดวงที่ 4 ของเขาให้เสร็จสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เทียนเอ๋อร์กลับไม่ปล่อยให้เขาได้ทำตามความต้องการง่ายๆ เธอยืนขึ้นอย่างกะทันหันและจับแขนของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ ในขณะที่เขาชะงักเพราะความประหลาดใจ เทียนเอ๋อร์ก็โอบแขนทั้งสองข้างไว้รอบคอของเขาแล้วเขย่งเท้าขึ้นจูบอีกฝ่ายที่ริมฝีปาก
เมื่อริมฝีปากของพวกเขาแนบชิดกัน ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เทียนเอ๋อร์กดร่างของเธอเข้าใกล้ ร่างกายที่ร้อนเร่า และยั่วยวนของเธอดูเหมือนกับลาวาเดือดที่ทำให้โจวเหว่ยชิงหลอมละลาย
เทียนเอ๋อร์ออกแรงที่เท้าเพิ่มขึ้น และโจวเหว่ยชิงก็เสียการทรงตัวทันที ทั้งสองคนล้มลงบนเตียงเกือบจะในทันทีโดยมีเทียนเอ๋อร์เป็นฝ่ายทาบทับอยู่ด้านบน
ตอนนี้ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงก่ำ ร่างทั้งร่างราวกับลูกท้อสุกงอมที่ฉ่ำหวานขณะที่กดตัวลงแนบชิดกับโจวเหว่ย ชิง
ริมฝีปากของพวกเขาแยกออกจากกัน และโจวเหว่ยชิงก็จ้องมองเธอด้วยความตกใจ จังหวะหายใจของเทียนเอ๋อร์ดูถี่ชั้นและเธอก็พึมพำเบาๆ “ข้าบอกว่าจะให้รางวัลแก่เจ้าหลังจากที่ช่วยครอบครัวมังกร…และข้าก็กำลังมอบให้เจ้าตอน นี้…”
“เทียนเอ๋อร์…” โจวเหว่ยชิงมีเวลาร้องออกมาเพียงครั้งเดียวก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะถูกปิดผนึกอีกครั้งด้วยจูบของอีกฝ่าย
โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสามารถมองเห็นในดวงตาของอีกฝ่ายคือแสงสีม่วงเข้ม และในพริบตานั้น เขาก็รู้สึกผ่อนคลายลง ประสาทสัมผัสในร่างกายพลันแผ่ขยายออกไปมากยิ่งขึ้น
จูบของเทียนเอ๋อร์นั้นดูเงอะงะทว่าร้อนแรง ในแง่ของสัดส่วนรูปร่าง ในบรรดาหญิงสาวทุกคนที่โจวเหว่ยชิงรู้จัก เธอเป็นคนที่ยั่วยวนที่สุดและอาจมีเพียงผู้อำนวยการไช่ไช่เท่านั้นที่ให้บรรยากาศใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของนิสัยดิบเถื่อนตามธรรมชาติของพยัคฆ์สวรรค์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้น ย่อมไม่มีใครสามารถเทียบเธอได้อยู่แล้ว
กลิ่นอายที่ดุร้ายและป่าเถื่อนของสัตว์ป่าตรงเข้าครอบงำเขา และโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าทั้งร่างของเขากำลังถูกเทียนเอ๋อร์หลอมละลาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้เป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่ ความปรารถนาอันแสนบ้าคลั่งที่ผสมปนเปไปกับความเจ็บปวดภายในก็ผุดขึ้นมา และเขาก็กอดรัดเทียนเอ๋อร์อย่างป่าเถื่อนรุนแรง แสงสีแดงพลันลุกโชนขึ้นภายในดวงตาของเขาอีกครั้ง และอุณหภูมิในร่างกายของเด็กหนุ่มก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่าถูกเทียนเอ๋อร์ราดน้ำมันเพื่อจุดไฟ
ดวงตาของเทียนเอ๋อร์ปิดลงช้าๆ ตอนนี้เธอทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว รู้สึกปั่นป่วนไปทั่วสรรพางค์กาย แม้จะรู้ว่าตนเองต้องการอะไร แต่ความจริงแล้วเธอกลับไม่รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง เธอเองก็ไม่มีความรู้มากนักเช่นกัน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว เธอได้เรียนรู้มาจากการแอบมองเหตุการณ์ใกล้ชิดระหว่างโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้น
………………………………………………………….