Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 55
การพูดและโทนเสียงสุขุมที่ได้ยินผ่านไมค์ฟังดูเป็นทางการและสุภาพกว่าที่เคยได้ยินมาตลอด ฮาจุนกดผ่านหน้าแรกหลังสรุปเนื้อหาทั้งหมดแบบคร่าวๆ จากนั้นจึงเริ่มนำเสนอรายละเอียดของเนื้อหา
ก่อนหน้านี้มันค่อนข้างที่จะน่าเบื่อ แต่ในตอนนี้มูคยอมกลับรู้สึกสนุกเอาเสียมากๆ อันที่จริงมูคยอมไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับเนื้อหาที่ฮาจุนกำลังนำเสนอเลยสักนิด ทว่าเมื่อได้มองฮาจุนในชุดดูดีกำลังถือไมค์พูดเจื้อยแจ้ว มูคยอมกลับรู้สึกเหมือนได้ชมการแสดง มากกว่าที่จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังฟังการบรรยายทางวิชาการ
ขณะถือรีโมตอันเล็กไว้ในมือข้างหนึ่ง ฮาจุนก็กดเปลี่ยนสไลด์ที่นำเสนอช้าๆ พลางอธิบายเนื้อหานั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เสียงของฮาจุนไม่สั่นเครือและพูดได้อย่างไม่ติดขัด นำเสนอออกมาได้อย่างราบรื่น ทั้งยังคอยสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ฟังอยู่เป็นช่วงๆ เมื่อเห็นเช่นนี้มูคยอมก็รู้สึกขึ้นมาว่าคนที่ยืนอยู่หลังแท่นพูดเหมือนคนละคนกับอีฮาจุนที่ยื่นมือเย็นๆ มาให้เขาจับตอนอยู่บนรถเลย
ไม่รู้เพราะมูคยอมเป็นคนซื้อเสื้อผ้าพวกนั้นให้ เพราะผูกเนกไทให้ หรือเพราะช่วยนวดมือให้ มูคยอมถึงได้ภูมิใจอยู่ลึกๆ เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้ทำประโยชน์ในที่แห่งนี้
‘ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังการนำเสนอที่ยังบกพร่องของผมนะครับ ผมขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ครับ’
จากที่ฟังฮาจุนพูด การนำเสนอใช้เวลาไปประมาณ 20 นาที ในตอนที่ฮาจุนเดินลงจากแท่นพูด ความกังวลที่เคยอยู่บนใบหน้าได้จางหายไป แทนที่ด้วยสีแดงจากความเขินอาย เสียงปรบมืออย่างสุภาพดังจากทุกทิศของห้องประชุม มูคยอมเองก็ร่วมปรบมือไปด้วยเช่นกัน และในตอนนั้นจองคยูก็โน้มตัวเข้ามากระซิบบางอย่าง
“ชุดของฮาจุนวันนี้ใส่ออกมาแล้วดูดีสุดๆ ไปเลยว่าไหม เหมือนพวกนายแบบชุดสูทเลย”
ไอ้คนสอดรู้สอดเห็นนี่ก็ตาถึงเหมือนกันนะ มูคยอมกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ และพยักหน้ากลับไปแต่พอประมาณ ตอนนี้เขาก็แค่รองานจบเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้สนใจการนำเสนอของคนอื่นๆ อยู่แล้ว พลางคิดว่าถ้าจบทั้งงานนี่จะต้องรอนานแค่ไหนกันนะ และในตอนที่มูคยอมกำลังเบนสายตาไปยังนาฬิกาข้อมือและคิดว่าอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักพัก
กรี๊งงงงงงงงงง
มูคยอมที่มองนาฬิกาอยู่เงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงที่ดังลั่นแบบไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ยังมีการนำเสนอจากบริเวณแท่นพูด เสียงกริ่งฉุกเฉินก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เตือนให้ทุกคนออกจากห้องประชุมนี้
ในทีแรกทุกคนทำเพียงแค่นั่งอยู่กับที่และหันซ้ายขวาประเมินสถานการณ์ว่ากริ่งฉุกเฉินนั้นเสียหรือเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นจริงๆ แต่แล้วหนึ่งในนั้นก็ผุดลุกขึ้นมา เมื่อมีคนประเดิม คนอื่นๆ ก็เริ่มลุกจากที่นั่งด้วยความโกลาหล และควันขมุกขมัวก็เริ่มก่อตัวหนาในห้องประชุม
“ไฟไหม้!”
เมื่อใครบางคนตะโกนเช่นนั้น บรรยากาศในห้องประชุมก็วุ่นวายขึ้นในชั่วพริบตา มูคยอมเองก็ผุดลุกจากที่นั่ง เมื่อภายในห้องที่แสงไฟถูกเปิดอย่างมืดสลัวเพื่อการนำเสนอเริ่มเต็มไปด้วยกลุ่มควัน สายตาของเขาก็มองเห็นทางข้างหน้าได้ไม่ชัดนัก
“คิมมูคยอม ออกไปก่อนเลย! เดี๋ยวฉันพาฮาจุนออกไปเอง”
จองคยูพูดออกมาด้วยความรีบร้อน ทันใดนั้นแชฮุนก็ก้าวเท้าออกมา
“นายสองคนออกไปก่อนเถอะ ฉันจะไปตามหาฮาจุนแล้วพาออกไปเอง”
ไอ้คู่นี้เป็นอะไรกันเนี่ย… มูคยอมขมวดคิ้วมุ่น
“นายสองคนไปทางนั้นก่อนดีกว่า ไปพาผู้จัดการคิมออกมา”
มูคยอมโพล่งตอบกลับไปเหมือนสาดกระสุนใส่ ก่อนหันไปทางแท่นพูดที่มองเห็นได้ไม่ชัดนัก เขาขยับฝีเท้าเดินไปทางนั้นไม่ใช่ทางออก เพราะจุดรวมตัวของผู้นำเสนอถูกเตรียมไว้บริเวณแท่นพูด
“อีฮาจุน!”
มูคยอมส่งเสียงตะโกนขณะเดินสวนกับผู้คนที่กรูกันออกไปเหมือนฝูงแซลมอน บางทีฮาจุนอาจจะออกไปที่ทางหนีไฟหรือที่อื่นแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถออกไปได้จนกว่าจะไปตรวจเช็กก่อน
“อีฮาจุน! โค้ชอี!”
ถ้าเกิดไฟลุกท่วมใหญ่โตจนฮาจุนไม่สามารถหนีออกมาได้อยู่คนเดียวล่ะ จะทำยังไง หากออกไปข้างนอก แล้วคนที่อยู่ตรงนั้นมีเพียงแค่ตัวเขา จองคยู ยุนแชฮุน และสตาฟคนอื่นๆ ล่ะ
ไม่ว่ายังไงก็ต้องออกไปด้วยกัน ไม่ควรมีใครถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง คนที่หนีออกไปได้ยากที่สุดในตอนนี้คือฮาจุน หมอนั่นอยู่ในที่ของผู้นำเสนอซึ่งห่างกับประตูทางออกมากที่สุด
“อี…”
เสียงจากปากของมูคยอมที่ตั้งใจจะตะโกนชื่อฮาจุนอีกครั้งหยุดไปราวกับว่าเสียงนั้นถูกตัด ในห้องประชุมที่มืดและเต็มไปด้วยควันจนทำให้มองทางข้างหน้าไม่ชัด มีใครบางคนคว้าจับข้อมือของมูคยอมเอาไว้
มูคยอมพยายามหรี่ตามอง ก่อนใช้สายตาตรวจสอบเจ้าของมือนั้นอย่างรวดเร็ว แม้หมอกควันจะทำให้ทัศนียภาพขุ่นมัว แต่มูคยอมก็สามารถมองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้
“อีฮาจุน”
นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม
มูคยอมตั้งใจจะถามออกไปแบบนั้น แต่เจ้าของมือกลับดึงข้อมือของมูคยอมอย่างแรงโดยไม่พูดอะไร แม้ไม่มองเรื่องน้ำหนัก แต่ด้วยส่วนสูงของมูคยอมก็ทำให้ลากไปได้ยากพอตัว แต่แรงกระชากกลับมากจนสามารถจะดึงมูคยอมตัวเอียงโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ฮาจุนโชว์แผ่นหลังและเริ่มเดินนำไป ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าเดิน มันเป็นก้าวเท้าที่กว้างและเร็วจนเหมาะจะเรียกว่าวิ่งเลยล่ะ ตอนแรกมูคยอมมาที่แท่นพูดเพราะตั้งใจจะพาฮาจุนออกไป แต่ในตอนนี้เขากลับถูกอีฮาจุนลากข้อมือพาวิ่งไปที่ทางออก
มือที่จับข้อมือของมูคยอมอยู่แน่นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง แต่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ถึงจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ชีพจรที่เต้นเร็วและไม่คงที่ของฮาจุน เหมือนจะถูกส่งมาถึงมูคยอมผ่านฝ่ามือที่แนบติดอยู่กับข้อมือ
ฮ่าๆ
ถึงจะไม่ใช่เวลาที่ควรจะทำอะไรแบบนี้ แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ก็หลุดจากปากของมูคยอม เมื่ออยู่ในห้องประชุมที่ขมุกขมัวไปด้วยกลุ่มควัน ไม่ว่าใครก็คงจะรีบหนีออกมาก่อนเพราะทางออกที่แคบ แต่เมื่อได้เห็นชายที่สูงน้อยกว่าตนประมาณครึ่งคืบมาคว้าข้อมือจนแน่นเหมือนกับว่าตามหากัน และกำลังแหวกฝูงคนเดินนำเขาอยู่ในตอนนี้
ขณะที่ลิ้มรสได้ถึงความเบิกบานใจที่ตีนำความกังวลหรือกระวนกระวายใจที่ควรจะมีในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ มูคยอมก็ปล่อยข้อมือของตัวเองให้อีกฝ่ายจับกุมอย่างสงบเสงี่ยม และเดินตามหลังฮาจุนไป ถ้าออกไปได้อย่างปลอดภัย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องตอบแทนให้สาสมกับที่มาช่วยชีวิตกันไว้แล้ว
สถานที่ค่อนข้างวุ่นวายเพราะอยู่ๆ ก็มีคนมารวมตัวกัน แต่ถึงอย่างนั้นคนในหอประชุมก็ไม่ได้มีจำนวนมากจนทำให้การออกจากตัวอาคารเป็นเรื่องยาก เมื่อหลุดจากอาคารที่มีกลุ่มควันรั่วไหลออกมาทางหน้าต่าง มูคยอมก็เห็นจองคยูกับแชฮุนยืนอยู่บริเวณปากทางเข้าที่ห่างออกไปเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกสองคน จองคยูก็ตะโกนเรียกชื่อทั้งคู่ออกมา “ฮาจุน! มูคยอม!”
“พวกนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม ไม่สิ อยู่ๆ ก็หายไปพักหนึ่งเลย ฉันนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นซะแล้ว!”
“ฉันไม่เป็นไร ปลอดภัยดี”
มูคยอมตอบกลับไปอย่างสบายๆ และในตอนนั้นเองเขาถึงรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าบริเวณข้อมือ มูคยอมมองลงไปที่ข้อมือที่ถูกจับไว้แน่นเป็นเวลานาน อาจเป็นเพราะใช้แรงกำที่แน่น แม้ผิวของเขาจะไหม้แดด แต่กลับทิ้งรอยเอาไว้อย่างชัดเจน จองคยูเดินเข้ามาใกล้และโน้มตัวลง ก่อนเริ่มสำรวจฮาจุนเป็นคนแรก
“ฮาจุน ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“อื้อ ฉันไม่เป็นไร ออกมาได้พอดีเลย”
“ไฟไม่ได้ไหม้นะ แต่ไม่รู้ว่าใครไปทำอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น ควันเลยฟุ้งขนาดนั้น”
“อย่างนี้สินะ โล่งอกไปที”
ทันใดนั้นแชฮุนก็เดินเข้ามาใกล้ทั้งสามคน
“สภาพตึกเป็นแบบนี้ เขาเลยบอกว่าจะหากำหนดการของการนำเสนอที่เหลือให้อีกครั้ง ยังไงตอนนี้ก็แยกย้ายกลับกันก่อนดีกว่า ฮาจุน ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ครับ ขอบคุณนะครับพี่”
สถานการณ์แบบนี้คืออะไร มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วรีบยกแขนขึ้นพาดไหล่ฮาจุนที่ตอบรับแชฮุนไปอย่างสุภาพ
“อีฮาจุน วันนี้นายมีนัดกับฉันนี่”
“อ่า…”
ฮาจุนเบิกตาโตก่อนหันไปมองมูคยอมพลางส่งเสียงออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ท่าทางที่เหมือนจะลืมสนิทจริงๆ ทำเอามูคยอมรู้สึกเสียหน้านิดๆ แต่ในตอนนี้จองคยูกับแชฮุนกำลังมองอยู่ มูคยอมจึงพยายามรักษาท่าทีของตัวเองให้นิ่งไว้
ฮาจุนยกคอที่ตกขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับแชฮุน
“นั่นสิ พี่ครับ เดี๋ยววันนี้ผมไปกับคิมมูคยอมนะครับ”
“นัดเหรอ พวกนายไปนัดอะไรกัน นี่จะไปดื่มกันสองคนแล้วไม่ชวนฉันเหรอ”
จองคยูโอดครวญออกมาอย่างเศร้าโศก เพราะแบบนี้ไงมูคยอมเลยไม่อยากให้จองคยูจับได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในวันนี้ก็คงจะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ มูคยอมปั้นหน้าขรึม เดินเข้าไปใกล้จองคยู แล้วกดเสียงต่ำ
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ไว้เดี๋ยวฉันบอก เรื่องเหล้าค่อยไปดื่มด้วยกันสามคนคราวหน้าก็ได้”
ทันทีที่ทำขรึมพูดออกไป จองคยูก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ ก่อนจะปิดปากฉับ อาจเพราะคิดว่าเป็นสถานการณ์ที่ตนไม่สามารถจะพูดอะไรได้ ซึ่งเป็นไปตามที่มูคยอมคาดไว้ “ไปกันเถอะ” มูคยอมหันไปกระซิบกับฮาจุน ก่อนหมุนตัวขณะใช้มือโอบไหล่คนข้างๆ ไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็ ลาก่อนนะครับ”
มูคยอมผงกศีรษะน้อยๆ บอกลาแชฮุน อีกฝ่ายยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย อาจเพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับคำทักทาย
มูคยอมเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้ฮาจุนขึ้นไปบนรถ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมานั่งฝั่งคนขับ แม้จะขึ้นมาอยู่บนรถเป็นที่เรียบร้อย แต่ฮาจุนก็ยังคงนั่งนิ่งและไม่คิดจะคาดเข็มขัดนิรภัย
พอพามาจับนั่งดีๆ ถึงได้เห็นว่าใบหน้าของฮาจุนดูซีดเซียวเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แม้แต่สายตาก็ยังดูอ่อนแรงมาตั้งแต่เมื่อกี้ เพราะคิดว่าไฟไหม้จริงๆ ก็เลยตกใจมากเลยงั้นเหรอ ทันทีที่มูคยอมโน้มตัวไปทางที่นั่งข้างคนขับโดยไม่พูดไม่จา ฮาจุนถดตัวหนีด้วยความตื่นตกใจ
“ทำไมเหรอ”
“เปล่า แค่จะบอกให้คาดเข็มขัด”
“อ่า…”
มูคยอมดึงสายเข็มขัดใส่เข้าล็อกจนตัวล็อกที่อยู่บริเวณเอวมีเสียงคลิกดัง จากนั้นฮาจุนก็เสยผมขึ้น
“ขอบใจนะ”
“นอนพักสักหน่อยสิ จากนี่ไปกว่าจะถึงก็น่าจะสัก 20 นาที”
แม้จะพยักหน้าตอบกลับมาแต่ฮาจุนก็ดูไม่มีทีท่าเหมือนคนที่อยากจะปิดตานอน จนเมื่อผ่านไปไม่กี่นาที มูคยอมถึงได้ยินเสียงตุ้บเมื่อมีบางอย่างที่กระทบกับหน้าต่างรถเบาๆ เมื่อเหลือบมองไปด้านข้างก็เห็นว่าตอนนี้หัวของฮาจุนกำลังพิงไปกับกระจกรถแล้ว
ระหว่างที่กำลังมองไปยังท้ายรถคันอื่นที่กำลังขับต่อกัน มูคยอมก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาหลายครั้งที่ฮาจุนขึ้นรถของเขา หมอนี่ไม่เคยง่วงเหงาหาวนอนแบบที่กำลังเอาหัวพิงกระจกเหมือนในตอนนี้มาก่อน
จะบอกว่าเป็นคนประเภทที่ไม่ง่วงหรือนอนบนรถไม่ได้หรือเปล่า แต่ฮาจุนก็ไม่เคยเป็นแบบนั้นตอนขึ้นรถบัสของสโมสร แน่นอนว่ามันเป็นมารยาทที่จะไม่หลับเมื่อต้องนั่งอยู่ข้างคนขับ แต่นี่ก็ไม่ใช่การขับรถทางไกล จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องเข้มงวดขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นการที่จะไปบอกคนที่ตั้งใจจะตื่นว่าขอให้หลับก็ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องน่าขำ มูคยอมจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรแล้วเบนความสนใจไปที่การขับรถ
***
เมื่อมาถึงบ้าน มูคยอมก็เดินตามหลังฮาจุนที่ถอดรองเท้าและขึ้นบ้านไปก่อน บ้านที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน อาจเพราะมีคนสองคนเข้ามา เขาถึงได้สัมผัสถึงความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมานิดๆ
แผ่นหลังเพรียวบางที่ดึงดูดสายตาของมูคยอมจากในรถตั้งแต่ก่อนที่ฮาจุนจะไปนำเสนอ เมื่อมาอยู่กันเพียงลำพังสองคน ในตอนนี้มันกำลังยั่วยวนมูคยอมเหมือนกับกวางที่รอเวลาถูกจับกิน เพราะที่ผ่านมาเขาเห็นฮาจุนแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อยืดหรือชุดกีฬามาโดยตลอด ในวันนี้มันจึงให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ ช่างเป็นใบหน้าและเรือนร่างที่น่าเสียดายหากปล่อยให้ใส่เพียงชุดกีฬาไปเกลือกกลิ้งอยู่บนสนามหญ้าทุกวัน
ตั้งแต่เราเริ่มความสัมพันธ์นี้กันมา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่มูคยอมต้องหักห้ามใจ ความยั่วยวนนับไม่ถ้วนแสดงตัวออกมามากมายราวกับว่ารออยู่ ระหว่างที่เขาไปทัวร์ต่างประเทศ แต่ ‘ช่วงเวลาสักพักหนึ่ง‘ ที่กำหนดด้วยตัวเองนั้น มันยังไม่จบลง เขาจึงยังไม่อยากจะตอบสนองกลับไป
ระหว่างที่ออกทัวร์ แน่นอนว่ามูคยอมรอคอยสองสามวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ ด้วยแววตาที่ร้อนแรงของเขาในตอนนี้ทำให้ฮาจุนดูเหมือนเหยื่อที่ถูกเตรียมไว้ให้เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
เมื่อมาถึงกลางห้องนั่งเล่นมูคยอมก็ดึงฮาจุนเข้าอ้อมกอดจากด้านหลัง แล้วฝังหน้าลงไปบนต้นคอของคนในวงแขน กลิ่นที่ได้สูดดมหลังผ่านไปเกือบ 15 วัน เหมือนฝนห่าใหญ่ที่ช่วยดับกระหายในตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะห่างหายไปนานหรือเปล่า ในวันนี้เขาถึงรู้สึกรุนแรงกว่าทุกที มูคยอมใช้ฟันขบกัดผิวบริเวณต้นคอที่ผิวลื่นมือและยืดหยุ่นเหมือนกำลังดูดเลือด
“ฮื้อ…”
เสียงหวานหูเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบาโดยไม่ต้องรีรอ
ความอดทนที่สุมกองไว้แตกเป็นเสี่ยงเหมือนชั้นดินที่สั่นไหว ความปรารถนาที่นิ่งสงบอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดเผยตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยสัมผัสจากมือ ริมฝีปาก และลมหายใจ มูคยอมบดขยี้มือลงบนเสื้อเชิ้ตใต้เสื้อชั้นนอกที่คลุมเอาไว้อย่างเรียบร้อย ขณะที่ส่งอีกมือลงไปใต้เนื้อผ้าอย่างหยาบคาย ร่างกายที่ถูกกักเกี่ยวอยู่ในอ้อมแขนกำลังสั่นไหว ฮาจุนยื่นมือออกไปด้านหลัง ยึดจับไปที่ต้นขาของมูคยอม
“อ๊ะ อ๊า”
มือที่ปัดผ่านทำเอาฮาจุนส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจมากกว่าที่จะรู้สึก มูคยอมดึงตัวอีกคนเรื่อยๆ จนพาเข้ามายืนอยู่ในห้องนอน ขณะที่กำลังคิดว่าจะผลักฮาจุนลงเตียง เขาก็เกิดเปลี่ยนความคิดขึ้นมา ก่อนจะดันร่างของฮาจุนให้กลับมาจ้องหน้ากัน
ฮาจุนที่ใจเต้นตึกตักถูกผลักไปหน้าโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหลัง เมื่อมูคยอมกดลงบนอก สะโพกของอีกคนก็วางแหมะลงบนขอบโต๊ะ
“ชุดที่นายใส่วันนี้ฉันว่ามันเหมาะที่จะอยู่บนโต๊ะมากกว่าบนเตียงนะ ว่าไหม”
บางครั้งฮาจุนมักจะกางสมุดโน้ตหรือวางแท็บเล็ตเอาไว้บนโต๊ะ แล้วทำงานที่ยังค้างอยู่ ทำๆ ไป ก็มานอนคว่ำอยู่บนเตียงและหลับไป ฮาจุนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าโต๊ะที่ซื้อมาจะถูกเอามาใช้แบบนี้
“โค้ชอี วันนี้นายมาช่วยชีวิตฉันด้วยนี่ ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจริงๆ นายจะต้องเป็นผู้มีพระคุณกับฉันแน่ๆ แบบนี้ก็ต้องให้รางวัลหน่อยแล้วสิ”
มือของมูคยอมที่ถอดเสื้อคลุมและโยนทิ้งไปก่อนหน้า เริ่มลูบคลำไปบริเวณยอดอกใต้เสื้อเชิ้ต หากมองด้วยตาคงไม่เห็นชัดอะไร แต่เมื่อใช้มือคลำลงไปก็จะสัมผัสได้ถึงตุ่มไตเล็กๆ ทันทีที่ลากมือผ่าน แล้วคว้าหมับราวต้องการรีดเค้น ฮาจุนก็แอ่นไหล่ขึ้นและพรั่งพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงครางอื้ออึงเบาๆ
มูคยอมปลดกระดุมทีละเม็ดอย่างไม่รีบร้อน แม้ภายในใจจะรีบเร่งแค่ไหน แต่มันจะไปสนุกอะไรหากเขากระชากกระดุมออก หรือกวาดมือสะเปะสะปะไป ไหนๆ ก็ใส่เสื้อผ้าสวยๆ มาแล้ว ค่อยๆ ถอดกันไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร หลังจากได้เห็นมาหลายครั้งจนจำทรวดทรงของอีกคนได้ มูคยอมก็เริ่มวาดภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าที่แข็งแรงและเพรียวบางที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตขาวในหัว ก่อนขยับมือลูบไล้ไปอย่างอิสระ
เมื่อกระดุมเม็ดที่สี่ถูกปลดออก ผิวเนื้อใต้อกก็ปรากฏให้เห็น มือใหญ่ของมูคยอมหยุดปลดกระดุมและแทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างเสื้อที่ถูกเปิดออก นิ้วโป้งบดขยี้ไปที่ยอดอก อีกสี่นิ้วที่เหลือแตะวางอย่างแผ่วเบาไปทั่วผิวรอบๆ ราวกับต้องการให้รู้สึกยุบยิบขึ้นมา
“ฮ อื้อ อื้อ…”
วันนี้ฮาจุนนิ่งเป็นพิเศษ มีแค่เสียงครางเบาๆ เท่านั้นที่ถูกเค้นให้ปล่อยออกมา ขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะกว้างฮาจุนก็ไม่ได้พูดคำที่มักหลุดออกมาอย่าง ‘อย่านะ’ ‘ฉันเสียว’ ‘ช้าหน่อยได้ไหม’ และทำเพียงรับมือกับสัมผัสจากมือที่ปัดป่ายของมูคยอมอย่างนิ่งสงบ ก็น่ารักดีที่ได้เห็นอีกคนพยายามจะไม่หลุดส่งเสียงเหล่านั้นออกมา ทั้งที่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็จะพูดมันออกมาทั้งหมดอยู่ดี แต่การที่ดูว่านอนสอนง่ายแบบในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว
มูคยอมค่อยๆ โน้มตัวและเทน้ำหนักลงไป ฮาจุนที่นั่งอยู่ในทีแรกจึงต้องเอนตัวไปด้านหลังและแผ่ตัวลงนอนลงบนโต๊ะ ทันทีที่มูคยอมใช้มือลากไล้ยาวลงไปตั้งแต่ปลายคางไปจนถึงช่วงอกที่โผล่พ้นสาบเสื้อ เสียงครวญครางก็เล็ดลอดออกมาตามสัมผัสจากมือ
“ฮ้า อ๊า”
แม้จะมีลมหายใจออกมาจากปากที่เปิดออก แต่ใบหน้าที่ซีดเซียวยังคงดูเหม่อลอยราวกับว่าถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมด หลังจากปลดกระดุมเพิ่มอีกสองเม็ด มูคยอมก็ก้มมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้มือข้างหนึ่งคว้าเนกไทที่ตนเป็นคนผูกให้กับมือ แล้วดึงเข้าหาตัว