Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 51
“ก็ฉันไม่คิดที่จะไปคบกับผู้หญิงสักพัก ก็เลยทำกับนายไงล่ะ ฉันเลยถามนายว่าระหว่างนั้นนายก็ทำกับฉันแค่คนเดียวดีไหม”
“ต่อให้ไม่ได้สัญญา ฉันก็ทำกับนายแค่คนเดียว…”
คิดอยู่เลยว่าพูดเรื่องอะไร ฮาจุนคิดว่ามันไร้สาระและเถียงกลับไป อีกฝ่ายไม่ได้ถามว่าเขามีเซ็กส์กับแชฮุนหรือเปล่า ไม่ได้ถามว่าไม่ได้ไปทำกับใครเลยจริงหรือเปล่า ดันระแวงโดยไม่จำเป็นเสียได้
ถึงจะเข้าใจที่อีกฝ่ายมองว่าตัวเขาอาจจะเป็นคนแบบนั้นก็ได้ แต่คาดไม่ถึงอยู่หน่อยๆ ที่อีกฝ่ายสนใจว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่นหรือเปล่า
“งั้นเหรอ”
“ใช่”
“ไม่สิ ถึงตอนนี้จะเป็นแบบนั้น แต่สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ เพราะฉะนั้น ฉันสัญญา ไม่สิ สาบานว่าระหว่างที่นอนกับนาย ฉันจะไม่ไปคบกับคนอื่น”
จะว่าไป มูคยอมเองก็เป็นคน แค่เห็นสุนัขที่คอยให้ข้าวไปเดินตามคนอื่นก็เศร้าใจแล้ว นี่แหละใจคน
โรค…อาจจะกังวลเรื่องโรคเลยทำแบบนั้นก็ได้
“เข้าใจแล้ว”
ฮาจุนให้คำตอบตามที่มูคยอม ผู้ที่อยากได้การยืนยันต้องการ แต่ถึงจะสัญญาหรือไม่ เขาก็ไม่มีความคิดที่จะไปคบกับผู้ชายคนอื่นอยู่แล้ว เพราะคนที่ดึงเอาความรู้สึกรักใคร่และความต้องการทางเพศของเขาออกมาโดยที่ไม่เลือกว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็มีแค่มูคยอมเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้น การที่พูดออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าที่ผ่านมา มูคยอมเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันผู้หญิงคนอื่นเลยงั้นเหรอ ถึงข่าวลือหรือข่าวเสียๆ หายๆ จะเงียบไปสักพักแล้ว แต่ก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่ามูคยอมจะนอนกับเขาแค่คนเดียว พอคิดว่าช่วงนี้มูคยอมมีแค่เขาคนเดียวแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
หลังจากนั้นก็เงียบไปสักพัก แล้วจู่ๆ ฟุ่บ สิ่งที่ทั้งใหญ่และหนักก็ตกลงมาข้างๆ ฮาจุน ที่นอนจึงสั่นสะเทือน
ตาของฮาจุนเบิกกว้าง จู่ๆ มูคยอมก็เอนตัวลงมานอนข้างๆ และจ้องหน้าฮาจุน พอสบเข้ากับสายตาและดวงตาขี้เล่นที่ดูเหมือนจะหายโมโหแล้ว ก็มองเห็นสีหน้าหงุดหงิดของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
ตกใจกว่ามูคยอมในตอนที่นึกว่าตัวเขาตกลงไปในน้ำหรือเปล่าเนี่ย หัวใจที่สงสัยว่าทำงานผิดปกติไปชั่วขณะหรือเปล่าก็เต้นรัวอย่างรวดเร็ว ตึกตักๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มบางๆ จ้องมองมาที่ฮาจุน ตอนที่สบสายตาได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความกังวลที่ว่าที่อีกฝ่ายยิ้มอยู่อาจจะเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาหรือเปล่า มูคยอมก็ถามขึ้นมา
“ไหนๆ ยุนแชฮุนก็ไม่เข้ามาแล้ว นอนที่นี่แล้วค่อยไปดีไหม”
ฮาจุนจ้องมูคยอมโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา เมื่อได้ฟังคำถามที่ถามราวกับกระซิบ แววตาเจือรอยยิ้มหรี่ลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย และใบหน้าเอนมาฝั่งหนึ่งเล็กน้อยราวกับนอนตะแคงโดยที่ไม่ได้หนุนหมอนทำให้ความอยากที่จะดึงมากอดและพรมจูบให้สมใจอยากมาจนถึงขีดสุด
‘จะเอายังไง’
แต่ฮาจุนจำสีหน้าอันมีเสน่ห์นี้ที่ดูเหมือนจะถามออกมาแบบนั้นได้ขึ้นใจ
หลังจากที่เริ่มจูบก่อนแล้วก็เอียงหัวไปข้างหนึ่งเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มบางๆ เหมือนกับตอนนี้ ราวกับถามว่าต่อจากนี้จะทำยังไงต่อ
อีกฝ่ายบอกว่าที่ทำแบบนั้นก็เพื่อลองใจ จงใจจะดูว่าเขาจะมีท่าทียังไง
“จะทิ้งห้องนายไว้แล้วมานอนที่นี่ทำไม พี่เขาเล่นๆ อยู่แล้วอาจจะเข้ามาก็ได้ ไม่ได้”
วันที่อีกฝ่ายมาหาเขาตอนรุ่งสางเพื่อเอาตุ๊กตาแมวมาให้เพิ่งจะผ่านมาไม่นาน วันนั้นที่หัวใจเต้นแรงราวกับอยู่ในเวทมนตร์ทั้งคืน กว่าเขาจะข่มตาหลับได้ก็เป็นเช้าวันใหม่เสียแล้ว วันต่อมาเขามอบตุ๊กตาตัวนั้นที่วางเอาไว้บนเตียง เพราะไม่กล้าให้เจ้าของตัวจริงที่ควรจะได้รับอย่างมินคยองทันที พร้อมกับคำขอโทษที่ไม่ได้ให้ในทันที
ถึงมินคยองจะถามว่าจะให้ทำไม และปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องให้ก็ได้หลายต่อหลายครั้ง แต่ฮาจุนเป็น เพราะทุกครั้งที่เห็นตุ๊กตาตัวนั้น เขาทั้งเขินและอายแทบตาย
เวลาที่โลภเกิดอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็จะลนแบบนั้นทุกที มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีการเรียนรู้ แม้ว่าจะอยากได้เหยื่อที่วางอยู่ตรงหน้าแค่ไหน ก็ต้องไม่ตกหลุมพรางหลุมเดิมหลายครั้ง
“เข้ามาแล้วยังไง แค่ไม่ได้มีเซ็กส์กันอยู่ก็พอไม่ใช่เหรอ”
“นายนี่มันจริงๆ เลย รู้ไหมว่าเมื่อกี้ฉันตกใจแค่ไหน”
พอเรื่องมันผ่านไปแล้วก็เอามาพูดเล่นกันสนุกปาก เมื่อกี้นึกว่าจะเป็นเรื่องแล้วจริงๆ น้ำตาไหลออกมาเองเลย แต่แล้วมูคยอมก็แค่แค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น
“นายชอบจนสติหลุดลอย แล้วก็เอาแต่โทษฉัน”
“คิมมูคยอม… รีบๆ ไปได้แล้ว”
เขาชักจะโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว พอขึ้นเสียงออกปากไล่ มูคยอมก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร แถมยังหัวเราะคิกคักแล้วลุกขึ้น
“ไม่ต้องห่วง แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าเมาแล้ว ถึงนายจะไม่มีสติก็เลยไม่รู้ก็เถอะ”
ดูจากที่ไม่ถามเป็นครั้งที่สองแล้ว แสดงว่าลองใจจริงๆ มูคยอมที่ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่ประตูราวกับตั้งใจจะออกไป พูดต่อราวกับนึกขึ้นได้
“ฉันจะเอาเสื้อไป นายนอนเลย อย่ามาเหงื่อแตกพลั่กๆ เพราะซักผ้าอยู่ในห้องน้ำเหมือนยาจกอีกเลยน่า”
“วางไว้เถอะ พรุ่งนี้ฉันซักเอง”
“ทำไมต้องทำเรื่องแบบนี้เองด้วยล่ะ ถ้าเอาไปฝากไว้ตอนเช้า เขารีดให้เสร็จก่อนออกเดินทางอีก”
ฮาจุนไม่ห้ามมูคยอมอีก เขาไม่อยากจะเถียงต่อ และที่จริงตอนนี้เขาก็เหนื่อยมากจนไม่อยากจะขยับตัวด้วย มูคยอมเดินเข้าไปในห้องน้ำสักพักแล้วเดินออกมา จากนั้นก็เปิดประตูพร้อมกับกล่าวลา
“เจอกันพรุ่งนี้”
“เหมือนกัน”
แกร๊ก ปิ๊บ ประตูปิดลงพร้อมกับเสียงกลไก และห้องก็เงียบสงบโดยสมบูรณ์
ภาษาในสนามที่ใช้ในการแข่งขัน จะไม่ถูกนำมาใช้นอกสนามเมื่อการแข่งขันจบลง คำพูดที่มูคยอมพูดบนเตียงก็เป็นแบบนั้น
คิมมูคยอมที่รับส่งคำพูดหวานหูทุกค่ำคืนกับผู้คนมากมายราวกับรับส่งบอล คำพูดนั้นเป็นแค่คำที่ใช้ในบรรยากาศในตอนนั้นๆ หรือไม่ก็เป็นแค่การทดสอบอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีความหมายอะไร ฮาจุนรู้เรื่องราวของคนที่ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้น แต่ก็ทำใจยอมรับไม่ได้ และยังคงเกาะติดเขาแม้จะจบเรื่องบนเตียงไปแล้วก็ตาม
และรู้ด้วยว่ามูคยอมเย็นชาแค่ไหนในตอนจบของเรื่องราวนั้น เพราะเรื่องราวของนักรักที่ใจสลายเมื่อต้องการความรักจากมูคยอม เป็นข้อมูลของข่าวคาวๆ ที่พวกนักข่าวซุบซิบชื่นชอบเป็นอย่างมาก
ฮาจุนกะพริบตาสองสามครั้ง จากนั้นก็ปิดไฟโดยที่นอนอยู่บนเตียงและหลับตาลง จากนั้นคลื่นสีดำที่เหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ก็ถาโถมใส่เขาในทันที
***
เมื่อฮาจุนรู้สึกได้ถึงแสงแดดยามเช้าจึงลืมตาขึ้นมา แชฮุนเองก็กลับมาแล้ว ดูจากการที่นอนคว่ำแผ่ราบลงบนเตียงโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดแล้ว คงจะเข้ามาโดยที่เมาจนไม่ได้สติ ดีแล้วที่ให้มูคยอมกลับห้องไป
เขาหลับโดยที่ไม่ได้ยินเสียงคนเข้ามาเลย คงจะเหนื่อยมากจริงๆ ฮาจุนค่อยๆ ขยับตัวเพื่อไม่ให้แชฮุนตื่น และเข้าไปในห้องน้ำ เพราะหลับไปโดยที่ไม่ได้เป่าผมให้แห้ง ผมตรงด้านหลังจึงกระดกเล็กน้อย หลังจากที่หวีผมลวกๆ และเปลี่ยนชุดแล้วก็ออกมาจากห้อง อาจจะเป็นเพราะเมื่อวานทำเรื่องน่าตื่นเต้นกับมูคยอม ถึงได้หิวทันทีที่ตื่น
ตอนที่มาถึงห้องอาหารเพื่อกินอาหารเช้า สิ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างแรกคือภาพที่ผู้ชายสองคนมีส่วนสูงเกิน 190 เซนติเมตรซึ่งสูงที่สุดในทีมกำลังนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง พอชายร่างสูงสองคนมาอยู่ด้วยกัน ถึงจะพยายามไม่มอง แต่ก็ยังสะดุดตาอยู่ดี ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็แอบเหลือบมองพวกเขา แต่อาจจะเป็นเพราะที่นี่เป็นห้องอาหาร หรือเป็นเพราะบรรยากาศของทั้งสองที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแม้จะนั่งอยู่เฉยๆ จึงไม่มีใครเข้าไปขอลายเซ็นหรือขอถ่ายรูปเลย
มูคยอมคงไม่ต้องพูดถึง แต่จองคยูที่นั่งอยู่ด้วยกันก็เป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดี ถึงจะบ่นหยอกๆ ว่าถ้าไปยืนแทรกระหว่างพวกนายคงได้กลายเป็นหมาพอดี แต่ฮาจุนไม่คิดแบบนั้นเลย การที่สามารถเล่นมุกแบบนั้นได้เป็นข้อดีของจองคยู จึงได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมด้วย
เขาตักอาหารใส่จานในปริมาณที่พอเหมาะ จองคยูเห็นฮาจุนเข้าพอดีจึงโบกมือเรียก
“ฮาจุน มาแล้วเหรอ”
ฮาจุนโบกที่คีบอาหารเพื่อทักทายกลับ มูคยอมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ฝั่งตรงข้ามจองคยู เงยหน้าขึ้นมามองไปที่ฮาจุนเมื่อได้ยินสิ่งที่จองคยูพูด ริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คิมมูคยอมยิ้มแบบนั้นบ่อยๆ เวลาที่มองเขา
ฮาจุนร้อนรุ่มและอึดอัดใจขึ้นมา จึงได้แต่ส่งสายตาทักทายและกลับมาตักอาหารใส่จานอีกครั้ง ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง เบคอน สลัด หมูทอดซอสเปรี้ยวหวานตั้งแต่เช้า และผัดผัก
จะไปนั่งที่อื่นก็แปลกๆ จึงเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน พอมาคิดดูแล้ว เวลากินมื้อกลางวันที่โรงอาหารของสโมสรก็จะกินด้วยกันหลายคนตลอด ถึงจะเป็นโต๊ะที่มูคยอมนั่งอยู่ แต่แค่นั่งอยู่ด้วยกันก็จบ แต่ตอนนี้ถ้าไม่นั่งข้างจองคยูก็นั่งข้างมูคยอม ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสองที่นี้
เขาลังเลว่าจะนั่งตรงไหนดี ข้างคิมมูคยอม หรือข้างจองคยู แต่นั่งข้างจองคยูจะอึดอัดน้อยกว่าหรือเปล่านะ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจะนั่งกับจองคยูเลยก้าวเท้าออกไป แต่จู่ๆ มูคยอมก็เลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ ไปข้างหลัง
“โค้ชอี นั่งสิ”
“โห ทำไมมีมารยาทเนี่ย”
ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้สนใจคำพูดหยอกล้อของจองคยูที่ไม่ได้คิดอะไรเสียได้ ฮาจุนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่มูคยอมเลื่อนออกมาให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร และถามออกมาพร้อมกับหั่นไข่แดงกึ่งสุกกึ่งดิบด้วยส้อม
“พวกนายล่ะ กินมื้อเช้ากันแล้วเหรอ”
“เปล่า นั่งกันสักพักให้ตื่นให้เต็มที่ก่อน ตอนนี้ต้องกินแล้วละ”
ฮาจุนพยักหน้ารับสิ่งที่จองคยูพูด และเอาอาหารที่ตักมาใส่เข้าปากไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเครื่องเคียงตามท้องตลาด หรือเพราะเป็นมื้อเช้าที่อร่อยใช้ได้ จึงได้ตักเข้าปากไม่หยุด
“โค้ชของเรากินเก่งนะเนี่ย”
ฮาจุนวางหมูทอดซอสเปรี้ยวหวานที่ตั้งใจจะเอาใส่ปากลง เมื่อได้ยินเสียงที่ลอยเข้าหูมากระทันหัน มูคยอมนั่งเท้าคางและหันหน้ามามองระหว่างที่เขาตั้งใจกินอยู่พักหนึ่งจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง
ฮาจุนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง เขาดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึกและตำหนิอีกฝ่าย
“ทำไมมามองคนเขากินล่ะ นายก็ไปตักอาหารมากินสิ”
“รับทราบครับ โค้ช”
หลังจากที่มูคยอมตอบกลับมาแบบนั้น พวกตัวใหญ่ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นไปตักอาหารพร้อมกัน ทันทีที่พวกเขาดันเก้าอี้และลุกขึ้น ฮาจุนก็รู้ได้เลยว่าทุกคนในห้องอาหารจ้องมองมาแต่ทางนี้เท่านั้น การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งเป็นที่สะดุดตามากเหลือเกิน
เขากินอาหารเสร็จและกลับมาที่ห้องเพื่อเก็บกระเป๋า แชฮุนที่เมื่อวานดื่มเหล้าหนักมาก คงจะปวดหัวถึงได้นอนโอดโอยอยู่บนเตียงโดยที่ไม่ไปกินอาหารเช้า ฮาจุนจึงเก็บกระเป๋าให้เขาด้วย และลุกขึ้นพร้อมกับถือกระเป๋าสองใบ เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เขาถามแชฮุนที่ลุกขึ้นได้อย่างยากลำบากด้วยความเป็นห่วง
“พี่ ไหวไหมครับ”
“โอ๊ย จะตายแล้วละ เพราะตั้งตารอมานานก็เลยดื่มไปเยอะ ไหวแหละ ไปกันเถอะ ตอนนี้ต้องไปขึ้นรถบัสแล้ว”
ถึงตอนมาจะแยกกันมา แต่ก็ตัดสินใจกลับโซลพร้อมกัน แชฮุนลุกขึ้นพร้อมกับเสียงโอดโอยและเดินไปอยู่ข้างๆ ฮาจุน
“ผมไปซื้อยาแก้แฮงค์ให้ไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอก ถ้าจะหาร้านยาก็คงต้องออกไปข้างนอกอีก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ”
“แค่นายพูดออกมาก็ขอบใจมากแล้ว ก็มีแค่ฮาจุนของเรานี่แหละ ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็นึกถึงพี่อยู่ตลอด”
แชฮุนยิ้มและกับพาดแขนไว้ที่ไหล่ของฮาจุนเพื่อพยุงตัว ฮาจุนเองก็ยิ้มพร้อมกับตบไหล่แชฮุน และเดินมาถึงหน้าลิฟต์
“อ้าว ฮาจุน พี่”
จองคยูและมูคยอมก็อยู่ตรงหน้าลิฟต์เช่นกัน พวกเขาสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ เหมือนกับว่าจะไปขึ้นรถบัสเหมือนกัน
“พี่ ไหวไหมครับ ดูเพลียๆ นะ”
“พูดตามตรงก็ไม่ไหว เหมือนหัวจะระเบิด”
“จะนั่งรถบัสได้ไหมเนี่ย”
ระหว่างที่จองคยูและแชฮุนพูดคุยกัน มูคยอมก็มองสลับระหว่างฮาจุนและแชฮุนหนึ่งครั้ง แล้วหว่างคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน ตอนนี้ไม่ว่าใครก็รู้กันหมดว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าแชฮุน ฮาจุนทำหน้าเครียดเพราะกลัวว่าเขาจะพูดอะไรแปลกๆ ออกมาอีก และมองเขาพร้อมกับหวังว่าเขาจะช่วยสงบปากสงบคำ
“เอามา”
แต่แล้วมูคยอมก็แค่ดึงกระเป๋าหนึ่งใบที่อยู่ในมือฮาจุนไปโดยที่ไม่ได้พูดเรื่องอื่น
“ไม่ใช่คนขนของสักหน่อย จะถือสัมภาระของคนอื่นทำไม”
“คิมมูคยอม วันนี้มารยาทดีตลอดเลย”
“หุบปาก”
ฮาจุนสวนคำพูดหยอกเย้าของจองคยูอย่างไร้รอยยิ้ม จองคยูไม่ได้สืบความยาวสาวความยืด คราวนี้เขายื่นมือไปทางฮาจุนแทน
“ฮาจุน ส่งใบนั้นมาทางนี้ด้วยสิ ฉันถือให้เอง นายดูแลพี่เขาให้ดีๆ”
“ไม่ต้องหรอก นี่ของฉันเอง”
มูคยอมไม่ได้มารยาทดีมีน้ำใจอย่างที่จองคยูพูดหรอก พอเห็นเขาปรายตามองราวกับไม่พอใจ แชฮุนที่พิงไหล่ฮาจุนที่ยังไม่สร่างเมาดีเพื่อพยุงตัวก็พอจะรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แต่ในคำบ่นของมูคยอมก็มีคำที่ชวนให้เข้าใจผิดอยู่
ถ้าพูดแบบนั้น นายเองก็เป็นคนขนของไม่ใช่หรือไง…แถมยังเป็นคนขนของให้ยุนแชฮุนที่ตัวเองเกลียดเข้าไส้อีก แต่ถ้าพูดออกไปตามที่คิดก็จะไม่มีใครมีความสุขเลย ฮาจุนได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ และเข้าไปในลิฟต์
พวกนักกีฬาและสต๊าฟมารวมตัวกันอยู่แถวๆ รถบัสแล้ว หลังจากบอกให้แชฮุนที่บอกว่าจะช่วยให้รีบขึ้นไปพักบนรถ ฮาจุนก็ช่วยโค้ชคนอื่นๆ ขนสัมภาระส่วนรวมเข้าไปในช่องวางสัมภาระของรถบัส จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถและหาที่ว่าง แต่ที่ที่สะดุดตามีอยู่สองที่ ข้างแชฮุนและข้างมูคยอม เขาลังเลอย่างมากไปชั่วขณะ แต่แล้วก็สบตาเข้ากับมูคยอม อีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนตอนที่เลื่อนเก้าอี้ให้ที่ห้องอาหารและกวักมือเรียกเขาสั้นๆ
…พี่เขาคงจะไม่น้อยใจหรอกใช่ไหม
ฮาจุนเดินผ่านแชฮุนที่หลับตาเอนหัวไปทางหน้าต่าง และนั่งลงข้างๆ มูคยอม
เมื่อคนอื่นๆ ขึ้นมานั่งทีละคนสองคนจนเต็มแล้ว รถบัสที่สตาร์ทเครื่องยนต์ไว้ก็เริ่มออกเดินทางจากรีสอร์ต ทะเลที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ลงไปเล่นเลยสักครั้งตอนที่ฟ้าสว่าง กำลังส่องประกายระยิบระยับสะท้อนแสงแดด มูคยอมที่มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ลดเสียงลงและกระซิบที่หูของเขา
“จำที่สัญญากันไว้ได้ใช่ไหม”
“…สัญญา?”
“ก็ตกลงกันว่าจะทำทันทีที่กลับไปถึงโซลไง”
ฮาจุนทำตาโต
“เมื่อวานก็ทำไปแล้วไง”
“เห็นหรือเปล่าที่นายปล่อยมาครั้งเดียวก็จบเลยน่ะ ที่เหลือกลับไปแล้วค่อยทำต่อ”
ฮาจุนทำหน้าง้ำงอเพราะความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมา แต่จะมาทะเลาะเรื่องนั้นกันตรงนี้ไม่ได้ จึงหันหน้าหนีอีกฝ่าย เขานั่งอยู่ฝั่งทางเดิน แค่ลงไปเป็นคนแรกทันทีที่ไปถึงแล้วก็รีบเผ่นไปเสียก็พอ
ยังไงก็ตาม ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ความตึงเครียดที่มีโดยไม่รู้ตัวก็สลายไป หลังจากการฝึกนอกฤดูกาลนี้ ซิตี้โซลจะเข้าสู่ช่วงพักช่วงสั้นๆ จนกระทั่งเริ่มครึ่งหลังของฤดูกาล ไม่มีทั้งการแข่งขันและกำหนดการฝึกซ้อมไปสักระยะด้วย