Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 172
ฮาจุนจับผ้าห่มคลุมไหล่มูคยอมให้อย่างมิดชิด แล้วนำแก้วชาอุ่นๆ มาวางไว้ให้ตรงหน้า พลางเอ่ยเตือนมูคยอมอย่างระมัดระวัง
“ถ้ารู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ ให้กลับไปนอนที่เตียงทันทีเลยนะ ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาดเข้าใจไหม”
“อย่ากังวลไปเลยน่า ฉันโอเค”
มูคยอมเริ่มวางชามลงบนชั้นวางและหยิบมีดกับมันฝรั่งขึ้นมา สิ่งที่ฮาจุนต้องพยายามอยู่ช่วงหนึ่งจนเลือดตกยางออกอย่างน่าสงสาร มูคยอมกลับสามารถปอกเปลือกมันฝรั่งออกมาเป็นเส้นยาวได้โดยไม่ขาดช่วง และผ่านไปชั่วพริบตามันฝรั่งก็เริ่มเผยโฉมหน้าที่ขาวใสให้ได้เห็นทีละลูก ฮาจุนไม่สามารถกระพริบตาได้อย่างเป็นปกติ และจ้องเขม็งไปที่มูคยอมเหมือนกำลังมองการร่ายเวทมนตร์อยู่
และระหว่างนั้นเองของทุกอย่างก็ถูกเตรียมจนเสร็จเรียบร้อย มูคยอมยื่นชามคืนให้กับฮาจุนที่ยืนเหม่ออยู่
“นี่”
“ขอบใจนะ”
ฮาจุนโค้งตัวขอบคุณมูคยอมโดยไม่รู้ตัวเหมือนเมื่อตอนที่ตัวเองยังเล่นกีฬาอยู่ และรีบคว้าเอาชามนั้นมาวางที่เคาน์เตอร์ทำอาหาร ฮาจุนหั่นและปอกหอมใหญ่เอง เนื่องจากมันไม่ใช่อะไรที่ทำยาก หากไม่นับเรื่องที่ทำให้แสบตา และตรวจเช็กเครื่องปรุงที่ต้องใช้เป็นที่เรียบร้อย
‘※ ละลายเนยบนกระทะที่ร้อนเล็กน้อย และใส่หอมใหญ่กับมันฝรั่งลงไปผัดในกระทะ’
ตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรที่ยากๆ แล้ว แม้ว่าฝีมือการทำอาหารของเขาจะแย่แค่ไหน แต่การเอาวัตถุดิบมาผัดรวมกันก็เป็นเรื่องที่ง่ายเลยทีเดียว
ฮาจุนวางกระทะลงบนเตาไฟฟ้า แล้วหันไปเปิดตู้เย็น เขาหยิบเนยออกมาเปิดฝา และระหว่างที่กำลังหามีดตัดเนยอยู่นั้น มูคยอมก็เรียกฮาจุนขึ้นมาจากข้างๆ
“ยังไงก็ไม่ได้จะย่างเนื้ออยู่แล้ว ฉันว่าเราลดไฟให้เบาลงหน่อยดีกว่าไหม ถ้าวางทิ้งไว้อย่างนั้น กระทะจะต้องร้อนเกินไปแน่ๆ”
“อ่อ อื้อ เข้าใจแล้ว”
ฮาจุนรีบลดไฟ แล้วโยนเนยที่ตัดออกมาหนึ่งก้อนลงกระทะ ไม่รู้เพราะกระทะร้อนเกินไปอย่างที่มูคยอมบอกหรือเปล่า เนยถึงได้ละลายอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ทำไมการได้เห็นเนยที่เปลี่ยนรูปร่างจนเหลวเหมือนน้ำอย่างรวดเร็ว
ถึงทำให้จิตใจของเขาร้อนรนขึ้น ฮาจุนรีบเทมันฝรั่งและหอมใหญ่ที่ถูกหั่นเอาไว้ใส่ลงกระทะ ซู่ เสียงที่คล้ายกับเสียงฝนดังขึ้นก้องหู เสียงนั้นดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกันกับเสียงพูดของมูคยอม
“น้ำมันไม่กระเด็นเหรอ!”
“นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก”
อาจจะเป็นเพราะน้ำที่อยู่ในมันฝรั่งและหอมใหญ่น้ำมันถึงได้กระเด็นมาโดนปลายแขนของเขา ฮาจุนเช็ดน้ำมันที่กระเด็นมาโดนแบบลวกๆ ขณะตอบมูคยอม อยู่ๆ มูคยอมก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทำให้ฮาจุนขมวดคิ้วและชี้นิ้วสั่งออกมา
“ฉันบอกว่าให้นั่งรอเฉยๆ ไง”
“…ก็ได้”
มูคยอมตอบเหมือนถอนหายใจ และนั่งกลับลงไปที่เดิม
ตอนนี้ก็เหลือแค่ขั้นตอนง่ายๆ แล้ว แค่ผัดหอมใหญ่กับมันฝรั่งให้สุกดีก็เป็นอันใช้ได้ ฮาจุนตั้งอกตั้งใจผัดวัตถุดิบในกระทะเป็นอย่างดี หอมใหญ่เริ่มสุกจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและใสแล้ว เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้แล้วสินะ
‘※ นำมันฝรั่งกับหอมใหญ่ที่ผัดเสร็จ ใส่ลงในเครื่องปั่นหรือเครื่องผสมอาหาร ปั่นให้ละเอียดดี จากนั้นใส่ครีมสดหรือนมลงไป แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน สามารถโรยหน้าด้วยชีส ขนมปังกรอบ เบคอน หรือถั่วลันเตาได้ หากใช้ชีสกรุณาลดความเค็มในการปรุงซุปลงเล็กน้อย’
ฮาจุนรื้อชั้นวางของจนเละเทะไปหมดเพราะหาเครื่องปั่น และแน่นอนว่าในครั้งนี้เสียงของมูคยอมดังมาจากทางด้านหลังอีกครั้ง
“เครื่องปั่นอยู่ตรงชั้นที่ 2 ฝั่งซ้าย”
ดูเหมือนว่ามูคยอมจะรู้หมดเลยว่าต้องใช้อะไรตอนไหน โดยไม่ต้องดูสูตรเลยด้วยซ้ำ ฮาจุนยิ้มออกมาด้วยความอาย ก่อนจะเปิดชั้นวางของออก
เขานำมันฝรั่งและหอมใหญ่ที่ผัดเอาไว้มาบด และเทส่วนผสมที่ข้นเหนียวใส่ลงในหม้อ ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะใส่ครีมสดหรือนมดี ฮาจุนก็ตัดสินใจใส่มันลงไปทั้งคู่อย่างละนิด
ตอนนี้แค่เคี่ยวซุปด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เฮ้อ ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเริ่มปรุงรสซุปด้วยเกลือและพริกไทย เมื่อตั้งหม้อลงบนเตาเสร็จ ฮาจุนก็หมุนตัวกลับด้วยความพึงพอใจ
“ตอนนี้แค่เคี่ยวให้เดือดก็เสร็จแล้ว”
“เก่งมากเลย ไหนโค้ชมานั่งนี่ซิ มาพักหน่อยเร็ว”
“ฉันไม่ใช่คนป่วยสักหน่อย ทำไมต้องนั่งพักด้วยล่ะ แล้วฉันก็ต้องทำสลัดอีกอย่างนะ”
“สลัดเหรอ… ถ้าแค่นั้นก็โอเคอยู่”
เมื่อความยากลำบากสิ้นสุดลง อาหารเช้าของทั้งสองคนก็ได้ถูกตระเตรียมเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ฮาจุนกำลังรู้สึกหิวเป็นอย่างมาก เพราะได้กินข้าวช้าไปกว่าเวลาที่เคย เขารีบตักซุปที่ทำเสร็จแล้วใส่ถ้วยอย่างรวดเร็ว ตามด้วยโรยเบคอนที่ถูกหั่นลงไปด้านบน แม้จะใส่น้ำสลัดลงไปเยอะกว่าที่คิดเนื่องจากความผิดพลาด แต่สลัดที่หน้าตาไม่ได้ดูแย่นักก็ได้ถูกตักลงชามเช่นกัน
“ฉันทำนานเลยใช่ไหม ขอโทษด้วยนะ นายก็รีบกินแล้วไปกินยาดีกว่า”
“ขอบคุณที่ถึงจะได้แผล แต่ก็ทำจนเสร็จเลยนะ แต่นึกไม่ถึงเลยที่นายกล้าใช้ไฟด้วย”
“นึกไม่ถึงเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
เพราะไม่อยากที่จะพูดอะไรยาวๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองไม่ถนัดสักเท่าไหร่ ฮาจุนจึงเลือกที่จะถามอ้อมแอ้มออกมา แทนที่จะซักไซ้อะไรต่อ
“ไปกินที่เตียงดีไหม นั่งกินแบบนี้นายจะลำบากหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก”
มูคยอมจุ่มช้อนลงไปในซุปอุ่นๆ พร้อมรอยยิ้มที่ประดับขึ้นมาบนริมฝีปาก
ฮาจุนเองก็ยกช้อนขึ้นมาแล้ว แต่แทนที่จะใช้ช้อนนั้นตักซุปเข้าปาก เขากลับทำเพียงแค่ลอบสังเกตสีหน้าของมูคยอม
ฟู่ หลังจากเป่าซุปร้อนๆ ด้วยลมเบาๆ หนึ่งครั้ง มูคยอมก็ยกช้อนเข้าปาก
เมื่อลูกกระเดือกขยับหนึ่งครั้ง รอยยิ้มบางเบาก็เผยให้เห็นตรงมุมปาก
“อร่อยเลยนี่”
“เฮ้อ โล่งใจไปที ฉันคิดว่าตัวเองใส่เกลือเยอะไปนิด ไม่เค็มเหรอ”
“นายก็ลองชิมสิ เดี๋ยวก็รู้”
ฮาจุนที่หิวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ รีบกลืนซุปคำแรกลงคอ ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ถึงจะมั่นใจแบบสุดๆ ว่าหากมูคยอมเป็นคนทำรสชาติจะต้องอร่อยกว่านี้มากแน่ๆ แต่พอได้ลิ้มรส มันก็ไม่ได้แย่เลย เทียบกับที่เป็นเมนูที่เพิ่งเคยได้ลองทำเป็นครั้งแรก ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว
ถึงรสชาติจะไม่ออกมาแย่ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังติดใจฮาจุนอยู่ ฮาจุนก้มมองถ้วยตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“จากรูปในสูตรซุปมันเป็นสีขาวนะ แล้วทำไมที่ฉันทำสีถึงได้เข้มขนาดนี้ล่ะ… คงไม่ใช่ว่าฉันใส่ส่วนผสมอะไรผิดใช่ไหม”
“ไม่ใช่ว่านายผัดหอมใหญ่นานเกินไปเหรอ ผัดจนสีเปลี่ยนเลยนี่”
“โอ๊ะ!”
ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม โลกช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ แค่เก่งเรื่องฟุตบอลอย่างเดียวก็เหลือล้นแล้ว ยังจะให้มูคยอมทำอาหารเก่งอีกเหรอ
“แต่แบบนี้อร่อยกว่านะ สีเข้มก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“งั้นนายกินเยอะๆ เลยนะ ในหม้อยังเหลืออีกเพียบ”
มูคยอมกลืนซุปลงไปอีกคำ แล้วยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ
“ถึงขั้นตอนการทำจะเห็นแล้วไม่สบายใจนิดหน่อย แต่การได้กินอาหารที่คุณแฟนทำให้ก็เป็นอะไรที่ไม่แย่เลยนะ”
“…ไว้เดี๋ยวเร็วๆ นี้ฉันจะทำให้นายกินอีก คราวหน้าจะให้กินของที่อร่อยกว่านี้เลย”
“อืม… ไม่ ฉันว่าปีละครั้งก็น่าจะพอแล้วนะ”
“แล้วถ้าเป็นวันเกิดล่ะ”
มูคยอมพยักหน้า ฮาจุนเองก็ส่งยิ้มกลับไป แล้วตักซุปขึ้นกินบ้าง
สำหรับซุปมั่นฝรั่งที่ได้ลองทำเป็นครั้งแรก แม้สีจะออกมาเข้มไปสักหน่อย แต่รสชาติก็ออกมาเข้มข้น กลมกล่อม และปรุงออกมาได้อย่างพอดิบพอดี ซุปที่ไม่ได้หนักท้องถูกกลืนลงท้องอย่างต่อเนื่องจนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ฮาจุนคิดว่าตัวเองทำไว้เยอะมาก แต่เมื่อกินไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ได้เห็นก้นหม้อ
ถือว่าโชคดีที่ดูเหมือนว่าความอยากอาหารของมูคยอมจะไม่ได้ลดลงไปมากนัก ฮาจุนรีบเอาจานเปล่าไปใส่ในเครื่องล้างจาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้
มูคยอม แล้วขยับผ้าห่มที่คลุมอยู่บนไหล่
“กลับห้องนอนกันดีกว่า นายนั่งนานเกินไปแล้วตอนนี้”
มูคยอมจับมือของฮาจุนแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง และไม่รู้ว่ามีอะไรน่าหัวเราะนักหนา มูคยอมถึงได้หัวเราะคิกคักอีกครั้ง เมื่อฮาจุนหันกลับไปจ้องราวกับต้องการถามว่า หัวเราะอะไร แขนแกร่งของเจ้าของเสียงหัวเราะก็โอบไหล่ของฮาจุนเอาไว้ และประทับริมฝีปากร้อนผ่าวลงบนแก้มของฮาจุน
“ดูเหมือนวันนี้ร่างกายฉันจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”
“ทำไม เวียนหัวมากเลยเหรอ”
“ฉันคงอุ้มนายไปไม่ไหวแน่ๆ”
คำพูดนั้นทำฮาจุนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย ถึงจะบอกว่ามูคยอมสูงกว่า แต่ทั้งคู่ก็ต่างกันแค่ 10 เซนติเมตรเท่านั้น แล้วทำไมมูคยอมถึงได้อุ้มฮาจุนได้อย่างสบายๆ แบบนั้นล่ะ แน่นอนว่ามูคยอมมีทั้งพละกำลังและแรงที่ดี ไม่เพียงเท่านั้นมูคยอมยังมีเคล็ดลับในการใช้แรงที่มีอยู่ได้อย่างดีอีกด้วย
มูคยอมชอบที่จะอุ้มฮาจุนไปไหนมาไหนตามใจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่ทั้งคู่อาบน้ำด้วยกันเสร็จหลังจากทานมื้อเช้า หรือตอนที่ฮาจุนจะต้องกลับไปที่ห้องอ่านหนังสือเพราะมีงานต้องทำ แม้กระทั่งในตอนที่มีเซ็กส์กัน แต่ต่อให้
มูคยอมจะแข็งแรงสักแค่ไหน ในตอนที่มีไข้แบบนี้ก็ดูจะไม่มีแรงพอที่อุ้มเขาได้
ฮาจุนหันหลังให้มูคยอม แล้วกางแขนทั้งสองข้างออก
“วันนี้ฉันจะแบกนายไปเอง”
“เล่นไปเล่นมาแล้วเกิดเจ้าลูกวัวปวดหลังมา คนเจ็บนี่เป็นฉันนะ”
“ไม่หรอก ฉันแบกนายได้จริงๆ นะ”
ฮาจุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ดูเหมือนมูคยอมจะตีความว่าเป็นคำพูดที่หยอกกันเล่น มูคยอมเลือกที่จะเดินเอาแขนพาดไหล่ของฮาจุนเอาไว้และยิ้มออกมา
ฉันแบกนายได้จริงๆ นะ ฮาจุนบ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่สามารถไปบีบบังคับให้คนป่วยทำอะไรที่ปกติไม่เคยทำได้ คงจะดีกว่าหากเขาขอแบกมูคยอมขึ้นหลังในตอนที่อีกคนหายดีแล้ว
แม้ว่าในตอนที่นั่งกินมื้อเช้ามูคยอมจะยังดูปกติดี แต่ทันทีที่เหยียบเข้ามาในห้องนอน มูคยอมก็ทรุดนอนลงบนเตียงทันที ราวกับว่าความอ่อนล้าได้ถาโถมเข้ามา มองออกได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้ร่างกายของมูคยอมไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี เปลือกตาของคนป่วยค่อยๆ หรี่ลง และตามมาด้วยลมหายใจยาวเหยียดที่ถูกผ่อนออกมา
ฮาจุนรีบไปเอายายาเม็ด 2 เม็ดกับยาน้ำอีก 1 แก้วมา ทันทีที่เปิดถุงยา
มูคยอมก็อ้าปากออกโดยไม่พูดอะไร ฮาจุนผุดยิ้ม จากนั้นจึงค่อยๆ ใส่ยาเข้าไปในปากที่อ้ารออยู่ทีละเม็ด เขายกแก้วใบบางที่ถูกใส่น้ำจนเต็มขึ้นชิดริมฝีปากของ
มูคยอมและเอียงแก้วให้ราวกับว่าทำเช่นนี้บ่อยๆ ลูกกระเดือกทรงสวยก็ขยับขึ้นลงทุกครั้งที่มูคยอมกลืนน้ำ
เมื่อกินยาหมด ฮาจุนก็นั่งลงข้างๆ แล้วลูปหน้าผากของคนป่วย
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าให้เอาข้าวมากินในห้องนอนดีกว่า”
“จะกินที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ยังไงซะ การกินตอนป่วยก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว”
“นายไม่ได้ฝืนกินเข้าไปใช่ไหม จริงๆ ถ้ารู้สึกไม่อยากอาหารกินนิดเดียวก็ได้นะ”
“อาหารฝีมือของโค้ชรสชาติก็ไม่ใช่เล่นๆ สักหน่อย ไม่รู้เพราะใส่ความรักลงไปด้วยหรือเปล่า นายใส่ลงไปเยอะแบบนี้แล้วฉันจะทำยังไงเนี่ย”
ฮาจุนยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย แม้ครั้งแรกเขาจะทำออกมาสำเร็จโดยรสชาติอยู่ในระดับที่กินได้ แต่ถ้าเทียบกับอาหารที่มูคยอมทำแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นซุปหรือสลัดในวันนี้ก็ไม่สามารถที่จะเรียกว่าอาหารได้เลย
เพราะมูคยอมเป็นคนที่มีนิสัยใจร้อน ในตอนที่ต้องมาคอยยืนดูข้างๆ คนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรแบบเขา ก็เป็นไปได้ที่จะรู้สึกอยากพูดแทรกหรือบ่นออกมา
ทว่ามูคยอมกลับไม่ได้พยายามที่จะโออ้วดหรือสอนเขา เดาว่าเจ้าตัวคงจะต้องอดกลั้นคำที่ตั้งใจจะพูดออกมาอยู่หลายครั้งแน่ๆ
“ขอบใจที่รอกันนะ คิมมูคยอม”
“รออะไรเหรอ”
“ก็ที่นายรอกันเมื่อคืน แล้วก็ที่รอฉันทำมื้อเช้าวันนี้ด้วย”
แทนที่จะแสดงอาการดีใจ มูคยอมกลับถอนหายใจ ฟู่ ออกมาให้กับคำพูดนั้น
“ปกติฉันต้องทำตัวน่าขอบคุณน้อยแค่ไหนกัน ถึงได้รับคำชมกับเรื่องแค่นี้เนี่ย”
“เรามาทำกระดานแปะสติ๊กเกอร์กันไหม ถ้าทำอะไรที่น่าชม เราก็จะได้สติ๊กเกอร์ 1 ดวง พอสติ๊กเกอร์ครบ 10 ดวงเมื่อไหร่ ก็จะสามารถขอสิ่งที่ต้องการได้”
“ฟังดูเข้าท่าเลย ฉันชอบนะ โค้ชอีนี่เป็นนักเตะได้เพราะมีความสามารถจริงๆ”
หลังจากที่ตอบกลับไปเช่นนั้น มูคยอมก็หรี่ตาลงและตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะจับมือของฮาจุนขึ้นมา
“ส่วนเพื่อนคนที่หน้าเหมือนเกี๊ยวนั่น”
“อย่าเรียกคนอื่น…”
“ไว้วันไหนชวนเขามาที่บ้านสิ ชวนมากินข้าวด้วยกัน”
ข้อเสนอที่อยู่ๆ ก็ถูกยื่นมาให้แบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอาฮาจุนเบิกตากว้าง เขากระพริบตาอีกสองสามครั้งราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ
“ให้พามาที่บ้านเหรอ ทำไมล่ะ นายไม่ชอบอู่เฉินนี่”
“ต่อให้ไม่ชอบแต่เขาก็เป็นเพื่อนนาย และถึงจะไม่ได้เกลียดเท่ายุนแชฮุน แต่เขาก็คือคนที่นายสนิทที่สุดในลอนดอนเลยใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่สักหน่อย คนที่ฉันสนิทด้วยที่สุดคือคิมมูคยอมต่างหาก”
คำพูดนั้นทำเอามูคยอมหัวเราะออกเสียง จากนั้นความพึงพอใจในน้ำเสียงจึงถูกเผยออกมาให้ได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้น คุณเพื่อนสนิทครับ ไปชวนคนสนิทลำดับที่ 2 มานะ แล้วเราก็มากินเลี้ยงต้อนรับแขกกันหน่อยเป็นไง คนรู้จักของฉันหรือพวกคนในทีมก็มาเยี่ยมฉันเป็นบางครั้งเหมือนกัน แล้วนี่ก็ไม่ใช่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่คนเดียวด้วย เป็นบ้านที่คิมมูคยอมและอีฮาจุนอยู่ด้วยกัน ดังนั้นแขกของอีฮาจุนเองก็ควรมาที่นี่ได้ด้วยเหมือนกัน”
“แต่ฉันไม่ได้จ่ายเงินค่าเช่าบ้านนะ…”
“ฉันจะทำเรื่องน่าชื่นชมให้สมกับที่ไม่ได้ทำมานาน ดังนั้นนายต้องให้สติ๊กเกอร์ฉัน แล้วก็อย่ามาทำให้เสียเรื่องด้วย”
ในขณะที่มูคยอมพูดเช่นนั้น ฮาจุนก็กำลังยิ้มอยู่ จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวนอนลงข้างๆ มูคยอมที่นอนตะแคงอยู่บนเตียง และดึงตัวคนป่วยเข้ามาในอ้อมกอด
“ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ เพราะเมื่อวานฉันโมโหใส่เหรอ”
“เพราะฉันเพิ่งรู้ต่างหากว่าฉันแค่คนเดียว ไม่สามารถที่จะเลี้ยงเจ้าลูกวัวที่แข็งแรงและแสนน่ารักตัวนี้ได้”
“แล้วทำไมอยู่ๆ มาพูดถึงลูกวัวได้…”
“ไม่ว่าจะเป็นลูกวัว ลูกม้า หรือกระต่าย ต่างก็เป็นสัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูง พอลองมาคิดดูดีๆ อีฮาจุนที่ฉันรักน่ะ คือผลงานที่เกิดจากความร่วมมือของคนหลายคนเลยนะ ดังนั้นตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะคิดว่าฉันคนเดียวจะสามารถรักษานายเอาไว้ได้ รู้ไหมว่าอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของคิมมูคยอม การมีรูปร่างที่ดีและพรสวรรค์ของอัจฉริยะติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือกระทั่งการมีหน้าตาที่ดูดีมีออร่าคนดังที่ดึงดูดผู้คนได้ มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากก็จริง แต่ฉันก็ต้องรู้จักวิเคราะห์ใจความสำคัญของแต่ละสิ่งให้ดีด้วย ฉันจะต้องจำแนกออกมาให้ชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันทำได้ดี อะไรคือสิ่งที่ฉันสามารถทำได้และไม่สามารถทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ต้องยอมรับมัน แล้วหมั่นฝึกฝน เพื่อให้ตัวเองสามารถพัฒนาขึ้นได้”
“…”
“นายเคยบอกใช้ไหมว่าให้ฉันใช้ชีวิตไปตามแบบที่ตัวเองเป็น ฉันก็จะบอกให้อีฮาจุนใช้ชีวิตไปตามแบบที่ตัวเองเป็นเหมือนกัน”
มูคยอมพูดเช่นนั้นและเงียบลงไปในช่วงเวลาสั้นๆ จากนั้นจึงพูดต่อขึ้นมาราวกับว่ากำลังเค้นเสียง
“แต่ไม่ได้ให้อยู่กันตามลำพังสองคนนะ… นายต้องพาเขามาตอนที่ฉันอยู่ด้วย อยู่เล่นในบ้านด้วยกันสามคน แบบนี้ถึงจะได้ อ้อ แล้วก็ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน อันนี้ห้ามเด็ดขาดเลย”
“มูคยอม”
“ว่าไง”
จริงๆ นายไม่ต้องลงทุนถึงขนาดให้ฉันชวนเขามาบ้านก็ได้นะ ถึงจะสนิทกัน แต่ฉันกับอู่เฉินก็แค่เจอกันบ้างนานๆ ทีเท่านั้น แถมปกติแล้วฉันก็ไม่ค่อยชอบพาคนอื่นมาบ้านด้วย”
“งั้นเหรอ”
“อื้อ ฉันชอบที่จะได้พักผ่อนใจสบายๆ อยู่กับนายสองคนที่บ้านมากกว่า”
มือของฮาจุนยกขึ้นลูบหน้าผากของมูคยอมอีกครั้ง อุณหภูมิที่หน้าผากลดลงไปจนไม่ร้อนแล้วเมื่อเทียบกับเมื่อเช้า แต่ก็ยังมีไข้อ่อนๆ อยู่ ดูท่าวันนี้มูคยอมน่าจะต้องพักต่ออีกสักหน่อย
“แต่ขอบใจนะที่นึกถึงใจฉัน จะเอายังไงไว้ค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้นายนอนพักก่อนดีกว่า”
“ขอบใจเหรอ”
“อื้อ”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาทำอะไรที่ไม่ได้ทำกันเมื่อวานไหม”
ดวงตากลมโตของฮาจุนที่ซุกซ่อนไปด้วยความสงสัยมองไปที่มูคยอม
“เราไม่ได้ทำอะไรด้วยเหรอเมื่อวาน”
“นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ เมื่อวานเป็นวันที่มีแข่งนะ แล้วฉันก็ทำประตูสุดยอดเยี่ยมไปด้วย”
“…แล้วยังไงต่อ”
“ทำไมต้องทำเป็นไขสือด้วยล่ะ เวลาแข่งจบเราก็ทำกันตลอดนี่ เมื่อวานนายบอกให้รอ ฉันก็อดทนรออยู่คนเดียว บอกเลยว่าวันนี้ฉันไม่ปล่อยนายไปแน่ๆ”
ฮาจุนทำตาโตยิ่งกว่าเดิม พลางคิดตาม ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วขึ้น
“คิมมูคยอม! ตอนนี้นายป่วยอยู่ ไม่ได้ยินที่หมอพูดเหรอ นายต้องพักผ่อนจนถึงพรุ่งนี้เลยนะ”
“ฉันก็ต้องรู้สภาพร่างกายตัวเองดีกว่าหมออยู่แล้วสิ”
“อย่าพูดจาเหลวไหลไปหน่อยเลย อะไรกัน… นี่ใช่คำพูดของคุณตาที่ดื้อเพราะกลัวการไปโรงพยาบาลหรือเปล่าเนี่ย”
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เริ่มมาเยือน ฮาจุนก็พยายามจะยันตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มูคยอมกลับใช้ความเร็วที่มากกว่าในการใช้แขนรัดเอวและอกของฮาจุนไว้ มูคยอมหมุนตัวหนึ่งรอบ ขึ้นทับร่างของฮาจุนเหมือนกำลังเล่นมวยปล้ำในชั่วพริบตา