Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 113
“นายโมโหมากเลยเหรอ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ นะ ฉันได้เจอหมอนั่นแค่ปีละครั้งสองครั้งเองมั้ง”
มูคยอมจ้องมองใบหน้าของฮาจุนนิ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถบอกฮาจุนได้ ว่าไอ้เวรนั่นมันเรียกนายว่าของเก่าที่โละตัวเองออกไปแล้ว
“อีฮาจุน”
“หือ…”
เพราะยังไม่คุ้นกับการถูกเรียกชื่อเท่าไหร่ ฮาจุนเลยแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา แต่ก็ไม่ใช่สีหน้าที่แสดงออกว่าไม่ชอบใจ เรียกเสร็จมูคยอมก็ดึงเอวของฮาจุนเข้ากอด
“ที่ฉันจะพูด เป็นคำที่นายฟังแล้วอาจจะไม่สบายใจ”
“…จะพูดอะไรกันแน่ ถึงกับต้องเตือนก่อนเลยเหรอ ฉันกลัวนะเนี่ย”
มูคยอมนิ่งเงียบสบสายตาคนในอ้อมกอดสักพัก ก่อนจะพูดต่อ
“นาย… เคยคิดจะกลับมาลงสนามอีกครั้งไหม”
ฮาจุนเบิกตาโตราวกับรู้สึกตกใจ มูคยอมมองสีหน้านั้นอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจพูดต่อ เหมือนกับว่าจะต้องพูดสิ่งที่เกริ่นก่อนหน้าให้จบ
“เรื่องอาการบาดเจ็บของนาย เอาจริงๆ ฉันก็ได้ยินมาบ้างแล้วจากจองคยู แต่จองคยูบอกว่าดูเหมือนว่าเพราะปัญหาในชีวิตอย่างที่ไอ้เวรนั่นพูด นายเลยไม่สามารถที่จะกลับไปเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง จนต้องเปลี่ยนมาเป็นโค้ชแทน”
“…”
“ถ้าลองจริงจังกับมัน ผลอาจจะออกมาดีก็ได้ ตอนนี้นายไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว อายุก็ยังน้อยมากด้วย ถ้ากลับไปตั้งใจเริ่มใหม่ ใครจะรู้นายอาจจะได้กลับไปลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งก็ได้”
เรื่องราวที่คาดไม่ถึงทำเอาฮาจุนนั่งงงและได้แต่กระพริบตา เขารู้ว่ามันไม่ใช่คำพูดที่จะเอ่ยออกมาได้ง่ายๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงสีหน้าและแววตาของมูคยอม กระทั่งแรงแขนที่กำลังโอบกอดตัวเขาไว้ เหตุผลที่มูคยอมพูดออกมา มันไม่ใช่กระทั่งความต้องการหรือความแปรปรวนที่เพิ่งก่อตัวขึ้นวันนี้หรือเมื่อวาน
ฮาจุนมองใบหน้านั้นนิ่ง แล้วค่อยๆ หัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
“ไม่ได้หรอก”
“…ทำไมล่ะ”
“จองคยูพูดออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จริงสักหน่อย แล้วฉันก็ไม่ได้ยอมแพ้ทันทีเลยด้วย ที่ยอมแพ้ก็เพราะหมอบอกว่าทำไม่ได้ ไม่สิ บอกว่ามันลำบากต่างหาก ถึงฉันจะออกกำลังกายแบบทั่วไปได้ แต่หมอก็บอกว่ายากที่ไปจะออกกำลังกายแบบนักกีฬาอาชีพ”
“หมอบอกเหรอว่าเป็นไปไม่ได้เลย เขาบอกว่ามันไม่มีหวังขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ปกติหมอเขาก็ไม่พูดขู่น่ากลัวๆ แบบนั้นหรอกน่า”
หลังจากหัวเราะสั้นๆ ออกมา ฮาจุนก็ถอนหายใจเบาๆ
“นายคงคิดว่าก็น่าจะลองทำดูใช่ไหม แต่ว่าอีกไม่นานฉันก็จะ 27 แล้วนะ ลองคิดว่าถ้าต้องกลับไปเตรียมตัวลงสนามอีกครั้ง ผ่านไปแป๊บเดียวก็อายุ 29 และต่อให้อายุ 30 แล้วโชคดีได้ลงสนามเป็นนักเตะ แต่จะมีสักกี่ทีมกันที่จะรับนักเตะอายุเยอะที่ว่างงานตั้งสองสามปีไปเล่นด้วย ต่อให้ฉันกลับไปเล่นอีกครั้ง ทั้งกำลังกายแล้วก็ความสามารถของฉันก็คงจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ดังนั้นเรื่องการเข้าทีมตัวแทนน่ะ เลิกฝันไปได้เลย”
ขณะที่พูดเหมือนกำลังบ่น ฮาจุนก็ย่นคิ้วขึ้นมาน้อยๆ
“ก็คงจะมีคนที่คิดว่าการได้ไปวิ่งอยู่ที่ปลายม้านั่งข้างสนามก็ยังดีกว่าใช่ไหมล่ะ ต่อให้ได้อยู่ในทีมสำรองก็ตาม แต่ว่านะคิมมูคยอม ถึงจะไปทีมในต่างประเทศไม่ได้ แต่ฉันก็โอเคกับการได้อยู่ในทีมที่เกาหลีนะ พูดตามตรงว่าฉันเองก็ชอบมองไปที่สูงๆ เพราะแบบนี้จนถึงตอนนี้ฉันเลยไม่มั่นใจพอที่จะเริ่มต้นจากศูนย์เลยไง มองในมุมนายมันอาจจะเป็นความรักศักดิ์ศรีที่ดูน่าขำก็ได้”
“…”
“พอได้มาทำจริงๆ ฉันว่าการเป็นโค้ชเหมาะกับตัวฉันมากกว่าการเป็นนักเตะอีก แล้วฉันก็ภูมิใจที่ได้ทำด้วย แถมช่วงนี้ก็ยังสนุกมาก เพื่อที่จะมาเป็นโค้ช ฉันก็ต้องผ่านช่วงชีวิตการเป็นนักเตะมาก่อนด้วยไม่ใช่เหรอ”
ในครั้งนี้ฮาจุนก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นการหัวเราะอย่างแท้จริง มูคยอมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองใบหน้านั้น
ดูเหมือนว่าตอนนี้ฮาจุนจะไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าฮาจุนพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาเองก็ควรที่จะโล่งใจได้แล้วสิ
“เข้าใจแล้ว…”
มูคยอมพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“ยังไงก็เถอะ หมอบอกแล้วนี่นะว่ามันยาก”
มูคยอมโน้มตัวไปด้านหน้าวางศอกลงบนเข่าของตัวเอง แล้วยกมือขึ้นเท้าคาง ท่าทางนั้นเหมือนกับเด็กที่กำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง
ในตอนนั้นเองรอยยิ้มที่วาดขึ้นบนริมฝีปากของมูคยอมก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างคิ้วลดแคบ ตามมาด้วยหางคิ้วที่ตกลง ฮาจุนที่จ้องมองท่าทางนั้นอยู่ เกิดอาการงงจนต้องถามออกมา
“คิมมูคยอม เป็นอะไร”
ดวงตาที่มักจะดูดุร้ายอยู่เสมอ อยู่ๆ ตอนนี้กลับมีหยดน้ำตาร่วงหล่นลงมา และคนที่กำลังตกใจกับการร้องไห้ที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ก็คือฮาจุน
ปากก็ถามว่า ‘ว่าร้องไห้ทำไม’ แต่ตัวก็ก้มลงไปดูมูคยอมอย่างไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ดูเหมือนว่าน้ำตาของมูคยอมไม่น่าจะหยุดไหลง่ายๆ ผ่านไปสักพักมูคยอมก็ยกหลังมือขึ้นเช็ดดวงตาที่มีหยาดน้ำตาไหลออกมา และเอาแต่จ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
“ทำไมถึงจำไม่ได้ล่ะ…”
“จำเหรอ เรื่องอะไร”
“ฉันเคยได้ยินว่าตัวเองเคยลงเตะกับนายด้วย ทำไมฉันถึงจำไม่ได้ล่ะ คนอื่นเอาแต่บอกว่าฝีมือแอสซิสต์ที่ช่วยให้คนอื่นทำประตูได้ของนายมันเหลือเชื่อมาก แล้วฉันก็ใช้เท้าตัวเองรับบอลจากนายไปแล้วด้วย ทำไมถึงจำไม่ได้ล่ะ”
“…”
“ทำไมตอนนั้นฉันถึงได้ไม่คิดอะไร แล้วเอาแต่ทำตัวขี้รำคาญแบบนั้น แถมพอเล่นจบก็ยังไม่กลับไปย้อนดูอีกด้วย… ต่อให้ไม่ใช่เวิลด์คัพที่ผ่านมา ปกตินายเองก็น่าจะมาเล่นทีมตัวแทนเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนต้องเม้มปากลง
มูคยอมที่ได้เป็นตัวจริงอยู่เสมอ กับเขาที่มักจะเป็นตัวสำรองอยู่ตลอด ในความเป็นจริงก็ไม่ได้มีหลายนัดนักที่เราจะได้ลงเตะในสนามเดียวกัน การได้ลงเตะด้วยกันที่ฮาจุนประทับใจที่สุดคือการแข่งขันเวิลด์คัพที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นจากที่มูคยอมพูดมา การที่มูคยอมซึ่งเคยได้กินข้าวหม้อเดียวกันกับเขาถึงสองสามครั้งกลับจำกันไม่ได้ มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น
เพราะว่าเขาตั้งใจที่จะหลบหน้ามูคยอมยังไงล่ะ
เพราะฮาจุนกลัวจะถูกจับได้ว่ากำลังมองมูคยอมด้วยสายตาที่ต่างออกไป ดังนั้นถ้าไม่ใช่ในเวลาที่จำเป็นจริงๆ เขาเลยพยายามไม่ไปยืนประจันหน้ากับมูคยอม แม้บางครั้งจองคยูจะบอกว่ามูคยอมเป็นคนที่นิสัยโอเคกว่าที่เห็น อย่าคิดว่าเป็นคนที่เข้าหายาก ไหนๆ ก็รุ่นเดียวกันก็อยากชวนให้มาสนิทกันไว้ แต่ฮาจุนก็ทำได้แค่ยิ้มแล้วตอบอ้อมแอ้มกลับไป พูดหลายครั้งเข้า จองคยูก็คิดว่าฮาจุนคงจะรู้สึกอึดอัดกับมูคยอมไปแล้วก็ได้ เลยไม่ได้มาตื้ออะไรอีก
ช่วงเวลาในการเรียกตัวของทีมตัวแทนนั้นไม่นานนัก มูคยอมเองก็เป็นพวกที่ไม่ค่อยจะสนใจสิ่งที่อยู่นอกวงโคจรของตัวเองสักเท่าไหร่ บวกกับเขาที่จงใจเดินหลบไปมาไม่ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในวงโคจรของมูคยอม ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแน่นอนที่มูคยอมจะจำเขาได้แค่เลือนรางเท่านั้น
“ฉันไม่ใช่พวกที่ชอบขุดคุ้ยอดีตหรอกนะ ทำไปก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย เรื่องที่ในตอนนั้นฉันเคยทำให้นายไม่ได้ ตอนนี้ฉันก็ทำมันได้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นไม่ว่าสิ่งที่นายต้องการจะเป็นอะไร ฉันก็จะยอมทำหมดเลย”
“…”
“แต่…กับเรื่องนั้น เราทำอะไรกับมันไม่ได้แล้วนี่”
ดวงตาของมูคยอมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ปลายขนตา เหม่อมองไปกลางอากาศ
“เอาจริงๆ ฉันก็น่าจะจำได้อยู่นะที่นายเคยแข่งกับคนแบบไอ้เวรเมื่อกี้… ฉันอยากย้อนกลับไปตอนนั้น แล้วซัดหน้ามันสักที แต่นี่ฉันกลับไม่รู้อะไรเลยจริงๆ แม่ง…”
แต่แล้วน้ำตาก็กลับมาไหลพรากจากดวงตาของมูคยอมอีกครั้ง ราวกับว่าเขากำลังรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ฮาจุนจ้องมองมูคยอมในท่าทีนั้นด้วยปากที่อ้าออกเล็กน้อย ทั้งมีสีหน้าตกใจ เขาเรียกสติกลับมา แล้วรีบพูดขึ้น พร้อมกับกอดหัวของมูคยอมไว้ในอ้อมกอด
“อย่าร้องสิ”
“…ขอโทษนะ… ที่ฉันลืมไปหมดเลย”
“ไม่สิ ที่จำไม่ได้มันใช่ความผิดนายที่ไหนกัน”
ขณะที่ปลอบมูคยอม ฮาจุนก็กัดปากตัวเองและก้มหัวลง แม้จะเป็นตอนที่เขาคิดถึงเรื่องนี้เพียงคนเดียว ความรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กก็ก่อตัวใหญ่โตในใจของเขา
…ฮาจุนดีใจ
ทั้งน่าขำ แล้วก็น่าดีใจที่มูคยอมร้องไห้ให้กัน
ในตอนที่มูคยอมโมโหเลือดขึ้นหน้าและไปก่อเรื่องวุ่นวาย เพราะผู้ชายคนนั้นมาพูดหยาบคายหรือแสดงการกระทำที่ไร้มารยาทใส่เขา หลังจากนั้นมูคยอมกลับมาบอกว่าได้ขอโทษคู่กรณีไปแล้ว และสัญญาว่าต่อไปจะทำตัวดีๆ ถึงจะทำขนาดนั้น แต่เหตุผลที่เขาไม่ได้ซึ้งใจมากมาย ก็เพราะว่าจริงๆ แล้วเขาไม่เคยคาดหวังสิ่งเหล่านี้จากมูคยอมมาก่อนเลยไม่ใช่เหรอ
ก่อนหน้านี้ ช่วงที่ได้อยู่เคียงข้างมูคยอม เขาไม่เคยร้องขอความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน หรือแม้กระทั่งการให้เกียรติเลย และถึงแม้เขาจะไม่อยากเจ็บปวดหรือไม่อยากโดนปฏิเสธ แต่ฮาจุนก็ไม่เคยร้องขอความใจดีจากมูคยอมให้กับตัวเองเลยสักครั้ง เขายอมอยู่ในฐานะเซ็กส์พาร์ทเนอร์เพื่อช่วยจัดการอารมณ์ใคร่ไปจนจบฤดูกาลตามที่มูคยอมต้องการ เพราะในใจของเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่านั้นเลย
“หยุดร้องได้แล้ว…”
แต่น้ำตาของมูคยอมในตอนนี้เหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิ ที่กำลังแทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเขา เหมือนจะมีบางอย่างต่างไปจากตอนนั้นหรือเปล่านะ ขณะที่ติดอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เขาก็พยายามปลอบมูคยอมด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง แต่แล้วดวงตาของฮาจุนเองก็เริ่มชื้นน้ำขึ้นมา
เอาจริงๆ เขาก็มีสิ่งที่หวังอยู่ ถึงจะไม่เคยฝันว่าจะได้ครอบครองความรักของมูคยอมมาก่อน แต่เขาอยากได้การยอมรับจากมูคยอม นั่นคือสิ่งที่เขาเฝ้าปรารถนามาอย่างเนิ่นนาน
การแข่งขันที่เขาได้ลงเล่นสนามเดียวกันกับมูคยอมเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย สำหรับมูคยอมเกมนั้นเป็นความทรงจำที่ต้องพบเจอกับความพ่ายแพ้ที่เจ้าตัวอยากจะลืมเลือน และมูคยอมก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาในตอนนั้นเป็นแบบไหน
แม้ทางเลือกของฮาจุนจะเป็นการหลบหน้ามูคยอม แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็เศร้าใจที่ภาพตัวตนของเขาบนสนามแข่งนั้นเลือนรางในสายตาของมูคยอม แต่มาจนถึงตอนนี้ที่ตัวเขาไม่สามารถไปลงแข่งสนามไหน และไม่สามารถเตะฟุตบอลได้อีกแล้ว ฮาจุนจึงได้ยอมถอดใจจากความฝันนั้นไป
แต่ว่าตอนนี้มูคยอมกำลังร้องไห้ มูคยอมกำลังรู้สึกผิดกับอีฮาจุนที่เคยเป็นนักเตะร่วมทีมกันอยู่ช่วงหนึ่ง และเสียใจที่ไม่สามารถจดจำช่วงเวลาที่เคยลงสนามด้วยกันได้ จนเจ้าตัวถึงกับถามออกมาว่าเขาจะสามารถกลับคืนวงการนักเตะ แล้วเรามาเล่นด้วยกันอีกครั้งได้ไหม
ฮาจุนรีบเช็ดดวงที่ตาชื้นน้ำขึ้นมานิดๆ ก่อนจะพยายามถามออกไปด้วยความเบิกบาน
“แล้วนายได้ไปหาลูกแอสซิสต์ของฉันดูหรือยัง”
“อือ มันเหลือเชื่อมากเลยจริงๆ นะ”
มูคยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“น่าเสียดายจัง เราเตะบอลได้เข้าขากันดีพอๆ กับเรื่องเซ็กส์เลย ถ้าได้อีฮาจุนมาเล่นเป็นแบ็กซ้ายให้ ฉันเล่นได้ดีกว่านี้อีกบอกเลย”
ขณะที่พูดเช่นนั้นมูคยอมก็เอาหน้าผากมาแนบกับอวัยวะส่วนเดียวกันของเขา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างซุกซนของฮาจุน
“นี่นายกำลังชมว่าตอนนั้นฉันเล่นได้ดีหรือเปล่าเนี่ย”
“ฉันต้องการจะบอกอย่างนั้นแหละน่า”
ฮาจุนลูบใบหน้าของคนที่ตอบกลับด้วยการพูดหยอกเช่นเดียวกัน ในตอนที่มูคยอมขยับตัวเขาหาเขา ฮาจุนก็ประทับริมฝีปากลงบนเปลือกตาคนในอ้อมอก ราวกับว่าทำเช่นนั้นอยู่บ่อยๆ น้ำตาของมูคยอมแอบหวานนิดๆ และมีรสเค็ม เหมือนกับคนอื่นๆ
ฮาจุนได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของเขา มันคือเงามืดที่ก่อตัวแข็งยะเยือกแม้ในวันที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ทั้งยังไม่ละลายลงไปง่ายๆ แม้ช่วงนี้เขาจะได้รับคำพูดหวานหูจากมูคยอมแทบทุกวัน ทว่าน้ำตาของมูคยอมกลับไหลรินไปถึงที่แห่งนั่น และแล้วสภาพอากาศที่กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นฤดูหนาว เคล้าเสียงแตกสลายที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก็ได้พาฤดูใบไม้ผลิให้มาเยี่ยมเยือนกันตรงหน้า
เมื่อฮาจุนเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงบนอวัยวะเดียวกันก่อน มือใหญ่ของมูคยอมที่ใช้เช็ดน้ำตาในตอนแรก ก็ได้วาดมาโอบเอวของเขาเหมือนในยามปกติ ก่อนที่ฮาจุนจะเรียกมูคยอมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“คิมมูคยอม”
“ว่าไง”
“เอาจริงๆ ตอนนี้ฉันชอบนะ เวลานายเรียกฉันว่าโค้ชอี”
มูคยอมแค่นยิ้มออกมา
“อย่างนั้นเหรอครับ คุณโค้ชอี”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยอกเย้าเสียเต็มประดา ฮาจุนก็เอนหัวเข้ากับมือของมูคยอมที่ลูบหลังคอกันอยู่ พลางจ้องมองไปที่นอกหน้าต่าง แล้วจึงปิดเปลือกตาลง
อยากให้ดอกไม้บานเร็วๆ แล้วสิ
* * *
หลังจากไปใช้เวลาหนึ่งคืนอยู่ที่ ‘บ้านพัก’ วันต่อมาหลังจากที่เสร็จการฝึกซ้อมฮาจุนก็กลับไปที่คอนโด เพราะมูคยอมเสียดายกระทั้งเวลาช่วงสั้นๆ ที่จะต้องห่างกันจนทนไม่ไหว ฮาจุนเลยต้องไปปลอบก่อนจะแยกออกมาได้ และตอนนี้เขาก็ได้กลับมาเหยียบบ้านที่เขาจะต้องอยู่ต่อไปอีกสักพักหนึ่ง
แม่ที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่บนโต๊ะกินข้าวเอ่ยต้อนรับฮาจุน
“ฮาจุนมาแล้วเหรอลูก”
“อื้อ แม่กินข้าวเย็นหรือยัง”
“อือ กินรองท้องไปบ้างแล้ว”
เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากลับจากโรงเรียนของเจ้าเด็กแฝด บ้านเลยยังคงเงียบเหงา ฮาจุนเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ก่อนจะเอนตัวนอนลงบนเตียงแล้วกระพริบตา
เขาลุกขึ้นหยิบเอาแฟ้มที่ตัวเองตัดเก็บข่าวสารต่างๆ ของมูคยอมขึ้นมา แต่แทนที่จะกางออกมาดู ฮาจุนกลับเแง้มปกบางข้างหน้าที่ปิดอยู่ออกน้อยๆ ราวกับแอบซ่อนอะไรไว้ในนั้น
ขณะที่ยืนมองลงไปยังแฟ้มนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ฮาจุนสะดุ้งเฮือกขึ้นมา และเมื่อหันกลับไป ก็พบว่าแม่ของตัวเองกำลังเดินเข้ามาพร้อมจานผลไม้ในมือ
“ช่วงนี้แอปเปิ้ลแดงดูน่ากินดี แม่เลยซื้อมาน่ะ กินสักหน่อยสิ”
“อื้อ ขอบคุณครับ”
“นั่นอะไรเหรอ”
คนเป็นแม่ชะโงกหน้าออกไปดู และได้เห็นกับเอกสารที่อยู่ในมือของฮาจุน ฮาจุนยิ้มออกมาและปิดแฟ้มลง
“สัญญาน่ะแม่ อันที่ผมเคยจะเซ็นเมื่อตอนเกือบจะได้ไปฝรั่งเศสไง”
“โอ้โห ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอ แม่ไม่เห็นนานแล้วนะ ก็นึกว่าทิ้งไปแล้วซะอีก”
“อื้อ… แค่อยู่ๆ ผมเกิดนึกถึงมันขึ้นมาน่ะ”
ฮาจุนหันไปพูดติดตลกกับแม่ตัวเอง
“กลัวจะเอาไปวางโชว์คนอื่นเขาที่ไหนอะสิ แต่เอาจริงๆ มันก็เป็นหลักฐานชั้นดีเลยนี่หน่า ว่าครั้งหนึ่งผมเคยเกือบได้เข้าไปเล่นในยุโรป”
“ตามใจเถอะ ลูกคนนี้นี่! เอาไปใส่กรอบแขวนในห้องนั่งเล่นด้วยเลยไหม”
“โธ่ แม่ ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นไหม…”
พอได้รับการหยอกล้อกลับมาฮาจุนก็หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะ หลังจากที่แม่เดินออกไปจากห้อง ฮาจุนก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ และเหม่อมองไปบนโต๊ะที่รกรุงรังและไม่เป็นระเบียบ ฮาจุนดึงแฟ้มหนึ่งในนั้นขึ้นมาเพื่อดึงออกจากที่ยึด
ภาพที่เขาเห็นคือภาพของมูคยอมที่กำลังถือถ้วยชนะเลิศสำหรับรายการแชมเปี้ยนลีกพร้อมรอยยิ้มร่วมกับเพื่อนๆ ในทีมกรีดฟอร์ด ฮาจุนเองก็ยิ้มน้อยๆ ออกมาอัตโนมัติ ใช่ตอนที่อายุ 21 ไหม ไม่สิ หรือ 22 นะ
ก่อนเริ่มการแข่งนี้ มูคยอมที่ได้ย้ายเข้าไปสังกัดในกรีนฟอร์ดเป็นที่เรียบร้อยต่างก็เป็นที่ต้องการ สถานีโทรทัศน์ในประเทศเกาหลีเดินทางไปหามูคยอมที่ได้รับชัยชนะมาตลอดถึงที่ลอนดอน เพื่อเก็บข้อมูลไปเขียนข่าวในเวลาและสถานที่จริง ก่อนหน้านั้นมูคยอมเคยพาทีมไปสู่ชัยชนะแล้วครั้งหนึ่ง จนได้เป็นดาวเด่นระดับโลกสมคำร่ำลือ และนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์ก็ได้ยื่นไมค์ถามมูคยอมก่อนที่จะลงแข่งในรอบชิงชนะเลิศ
‘นักเตะคิมมูคยอม คิดเห็นยังไงกับผลการแข่งวันนี้บ้างครับ คิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะได้ไหมครับ’
แม้จะเป็นคำถามที่หุนหันพลันแล่นและไร้มารยาท ที่อยู่ๆ มาถามนักเตะที่กำลังจะลงสนามในอีกไม่ช้า แต่มูคยอมก็ทำเพียงมองตรงไปดานหน้าและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
‘ครับ ผมเอาชนะได้ครับ’
‘ตอนนี้คนในเกาหลีเองก็น่าจะดูการแข่งขันกันอยู่เยอะเลย ช่วยพูดอะไรหน่อยได้ไหมครับ’
ได้ยินเช่นนั้นมูคยอมก็หันไปมองที่กล้อง และยกมุมปากขึ้นยิ้มในทันที ทั้งยังส่งวิงค์ให้อีกหนึ่งครั้ง ฮาจุนยังจำได้ดี ถึงเสียงของนักข่าวที่หัวเราะออกมาแล้วบอกว่า ‘ดูจะมั่นใจน่าดูเลย’ และเขายังจำได้กระทั่งช่วงเวลาที่ได้เห็นฉากนี้จากโทรทัศน์ ขณะที่นั่งชันเข่าและจิกหมอนที่วางอยู่จนจะขาด
ตอนนั้นฮาจุนเองก็ยังคงวิ่งอยู่บนสนามหญ้าทุกวัน ในตอนแรกเขาก็เคยฝันว่าจะได้ไปเวิลด์คัพกับมูคยอม และเขาก็มีความปรารถนาอันแรงกล้าแบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่งเลย พอลองมองย้อนกลับไป ดูเหมือนนั่นจะเป็นช่วงที่เขาได้กกกอดความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเอาไว้แล้ว
ฉันทำได้ เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่ท่องวนคำพูดที่มูคยอมชอบพูดติดปากในหัว ฮาจุนก็มักจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองก็สามารถทำทุกอย่างได้ ความรู้สึกสนุกไปกับการรอคอยวันพรุ่งนี้ที่เขาเคยลืมไปในตอนที่ยังเด็กมากๆ ความรู้สึกนั้นค่อยๆ ย้อนกลับมาหากัน ในยามที่ฮาจุนเตะลูกฟุตบอลไปด้วย
ฮาจุนไม่สามารถลบล้างความรู้สึกที่ถูกกักขังอยู่ใต้เงามืดมาเป็นเวลานาน ขณะวิ่งอยู่บนสนามหน้าที่มีแสงส่องลงมาได้ สุดท้ายต่อให้การบรรยายออกมาเป็นคำพูดสวยหรูน่จะเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อมองย้อนกลับไป การที่แสงอาทิตย์ได้โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาก่อนนั้น เหตุผลก็คือคนที่กำลังยิ้มอยู่ในภาพนี้ยังไงละ ฮาจุนพลิกแฟ้มไปมาสองสามหน้า แล้วจึงปิดมันลง ก่อนจะเก็บใส่ตู้หนังสืออย่างสวยงาม
ระหว่างที่ได้อาบแสงที่ส่องมาจากมูคยอมและวิ่งไป หากเขาไม่มีจุดมุ่งหมายเป็นมูคยอม ใครจะรู้ว่านั่นอาจจะกลายทางเดินก่อนที่เขาจะไปหาคำว่ายอมแพ้ก็ได้ ดูเหมือนว่าวันนี้ฮาจุนจะสามารถบอกลาช่วงเวลาในสมัยที่เป็นนักเตะได้แล้วจริงๆ สินะ