Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 90
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์อันดีจากการพูดคุยกันกับฮาจุนเลย แต่ถ้าเทียบกับตอนที่เคยพยายามแกล้งทำตัวไม่ได้เรื่องกับอีกฝ่าย ก็ถือว่าบรรยากาศดีกว่า เขาใช้ชีวิตมาโดยเลือกทำตามที่ตัวเองปรารถนาที่จะทำเสมอ การคิดหลากหลายด้านก่อนลงมือทำอะไรบางอย่าง ไม่เข้ากับนิสัยของเขาเลย อย่างน้อยเรื่องที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแค่การรุกไม่ใช่หรือไงนะ
เพียงแค่ยอมรับในความปรารถนาของตัวเอง คนเราก็จะได้รับแรงผลักดัน เขารับรู้ความจริงข้อนั้นมาตลอด แค่เป็นเพราะความสับสนในแบบที่เพิ่งเคยจะรู้สึกเป็นครั้งแรกหรือเปล่านะ เขาถึงทำเรื่องไม่มีประโยชน์มานานมากเกินไป
มูคยอมส่องกระจกเพื่อเช็กรูปลักษณ์ของตัวเองอีกหนึ่งครั้งก่อนออกไปข้างนอก แต่แล้วจองคยูก็เดินเข้ามาหาพลางลดเสียงลง
“วันนั้นนายกับฮาจุนเป็นยังไงบ้าง เคลียร์กันได้ดีไหม”
“นายไม่ได้ตัดสินใจแล้วหรอกเหรอว่าจะไม่ยุ่มย่ามเรื่องคนอื่น”
“โธ่เพื่อน กรณีนี้มันไม่เหมือนกันสิ ถ้าไม่สงสัยก็ไม่ใช่คนแล้ว”
มูคยอมมองจองคยูพูดแบบนั้นด้วยสายตาคมกริบ พร้อมทั้งพูดปรามอีกฝ่ายอย่างชัดเจนทุกตัวอักษร
“เลิกยุ่งซะ”
มูคยอมออกไปจากห้องล็อกเกอร์โดยหันหลังให้ไอ้เพื่อนไร้มารยาทที่บ่นอย่างนู้นอย่างนี้ตามหลังมา ไม่รู้ความรู้สึกคนอื่นเขาแล้วยังจะมาถามซักไซ้ ต้องมีเรื่องอะไรที่พอจะพูดได้ก่อนถึงจะเล่าให้ฟังแต่โดยดีไม่ใช่หรือไง
ถึงอย่างนั้น พอลองคิดดูแล้ว สถานการณ์บางด้านก็พลิกผันเนื่องมากจากความดีความชอบของจองคยู คราวหลังถ้าซื้อของขวัญให้ลูกสาวไอ้เพื่อนคนนั้นสักชิ้น เดี๋ยวก็คงจะยิ้มร่าในทันที
สนามหญ้าสีเขียวภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ฮาจุนออกมาอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์สว่างแสบตาแล้ว สีหน้าของอีกฝ่ายดูเป็นผู้ใหญ่ ภาพลักษณ์ที่เคยร้องไห้ฮักๆ ในอ้อมแขนของเขาหายไปอย่างไร้วี่แวว มีเพียงความรู้สึกชื่นชมที่แผ่ซ่านออกมาให้กับภาพด้านข้างของคนที่ยืนเปิดสมุดโน้ตอยู่
คิดอยู่หลายครั้งว่าเป็นใบหน้าที่งดงามจนน่าเสียดายที่ติดแหง็กอยู่แต่ในสนามฝึก และวันนี้ก็เป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยน แน่นอนว่าถึงมูคยอมจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะพาอีกฝ่ายไปยังที่ที่มีคนพลุกพล่าน
“โค้ชครับ!”
มูคยอมกำลังวิญญาณล่องลอยออกจากร่างไปกับภาพลักษณ์ราวยูนิคอร์นสีขาวผ่องเหนือทุ่งหญ้าสีเขียวขจี โดยที่หยุดเดินและอ้าปากค้างเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว แต่จู่ๆ กลับมีไอ้เด็กคนหนึ่งที่ดูอย่างกับลิงอุรังอุตัง วิ่งทั่กๆๆ เข้ามาแทรกแล้วกอดหมับเข้าทางด้านหลังของฮาจุน ฮาจุนผู้ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านโน้ต สะดุ้งโหยงพลางหันหลังไป
ก่อนที่ฮาจุนจะทันได้ตอบว่าอะไร มูคยอมก็ก้าวฉับๆ เข้าไปจับแขนของลิงอุรังอุตังอย่างรวดเร็วเพื่อดึงตัวของไอ้เด็กนั่นให้แยกออก อุรังอุตังกับฮาจุนทำอะไรไม่ถูกแล้วมองมูคยอมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ถ้าโฉบใส่คนที่กำลังมีสมาธิจากข้างหลังแบบนั้นก็อาจบาดเจ็บได้”
เมื่อมูคยอมกล่าวตำหนิเสียงต่ำ อุรังอุตังก็ทำสีหน้าเคอะเขินแล้วก้มหัวลง
“ขอโทษครับ โค้ช ผมหยอกเล่นเฉยๆ… ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นครับ”
“ไม่หรอก ไม่เป็นไร คิมมูคยอมก็โอเวอร์เกิน ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
ฮาจุนพูดปลอบก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็คงยังใส่ใจกับท่าทีน่ากลัวของมูคยอมอยู่ นักกีฬาคนนั้นจึงหลบออกไปทันที ข้างกายฮาจุนเหลือเพียงมูคยอมคนเดียว
มูคยอมนิ่วหน้าเล็กน้อยแล้วกวาดตามองสนามฝึกปราดหนึ่ง ทั้งตรงนี้ทั้งตรงโน้นต่างก็โกลาหลไปด้วยพวกผู้ชายเหลี่ยมจัด พวกที่เหมือนกับแบคทีเรีย ขนาดเขาเองยังบังคับไม่ให้ตัวเองแตะต้องอีกฝ่ายตามอำเภอใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นแตะเนื้อต้องตัวฮาจุนได้ นี่เป็นสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เป็นภัยอย่างมากสำหรับฮาจุน
“คิมมูคยอม…”
มูคยอมกำลังส่ายหน้าไปมา แต่แล้วก็หันไปด้านข้างเพราะเสียงเรียกของฮาจุน อีกฝ่ายพูดขึ้นทั้งที่กำลังมองสมุดโน้ตด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ตอนนี้นายกำลังทำอะไรอยู่”
“ฉันพูดอะไรผิดหรือไง ถ้าหยอกเล่นแบบนั้นพลาดไปก็จะบาดเจ็บจริงๆ นะ”
“อย่าขัดขวางการทำงาน แล้วก็อย่าจินตนาการอะไรแปลกๆ แล้วมาต่อว่านักกีฬาคนอื่นแบบผิดๆ ด้วย”
มูคยอมเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบกลับ
“ฉันไม่ได้จินตนาการอะไรแปลกๆ”
เขาไม่ได้จินตนาการแบบอื่นจริงๆ แต่จะมองดูท่าทีของคนอื่นเข้ามากอดรัดเอาตัวถูไถตามใจชอบอยู่นิ่งๆ ได้ยังไงกัน ทว่าหากอธิบายแบบนั้น ฮาจุนก็คงจะไม่เห็นด้วยกับเขา เพราะอย่างนั้นมูคยอมจึงยืนอยู่ข้างฮาจุนเงียบๆ แล้วเรียกอีกฝ่าย
“อีฮาจุน”
“ทำไม”
“มองฉันหน่อย”
ฮาจุนเงยหน้าขึ้นมองมูคยอมด้วยสายตาสื่อคำถามว่ามีอะไร มูคยอมกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง แต่ฮาจุนกลับถามซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทำไม”
‘ทำไมอย่างนั้นเหรอ ฉันเปลี่ยนทรงผมไงเล่า’
มูคยอมทักท้วงทางสายตา แต่ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่รู้จริงๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปหากลุ่มโค้ชที่เรียกตนเองพอดี
‘ท่าทีเหมือนลูกวัวมึนตึงแบบนั้น…’
ในตอนนี้ กระทั่งความคิดภายในใจก็ไม่ถูกระบายออกมาอย่างหยาบกระด้างเหมือนเคย แต่มูคยอมกลับบ่นงึมงำอยู่ในใจอย่างถึงที่สุด อีฮาจุนคือคนที่วิเคราะห์การเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของเขา เพราะอย่างนั้นก็ต้องรู้อย่างแน่นอน แต่ดูท่าทีเมินเฉยและแกล้งทำเป็นไม่รู้นั่นสิ ไม่ว่ายังไง การดึงดูดโดยรูปลักษณ์ภายนอกคงจบสิ้นลงโดยไม่ได้ผลอะไรมากนัก
“เอ้าๆ ทุกคนเข้าแถว!”
นักกีฬามายืนรวมกันตามคำสั่งของผู้จัดการทีม เขาแจ้งเรื่องที่ต้องประกาศให้ทราบ
“ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำหรับการแข่งนัด A เราเลยไม่มีแข่ง แต่ถึงยังไง นักกีฬานอกเหนือจากกลุ่มที่ถูกเรียกตัวก็จะฝึกซ้อมเช่นเดียวกับปกติ ส่วนพวกที่ถูกเรียก ตั้งแต่บ่ายวันนี้จะเริ่มฝึกล่วงเวลา ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกันด้วยละ”
ยังไม่ทันตั้งตัวก็ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับเวิลด์คัพปีหน้าอย่างจริงจัง นอกเหนือจากประเทศเจ้าภาพ มีเพียงทีมที่ผ่านการแข่งคัดเลือกรอบสุดท้ายแบบแบ่งโซนตามแต่ละทวีปขึ้นมาเท่านั้น ที่จะเข้าไปสู่การแข่งขันเวิลด์คัพรอบชิงชนะเลิศ คู่แข่งที่จะเจอเป็นทีมแรกสุดคือเลบานอนซึ่งไม่ได้ต่อกรยากสักเท่าไรนัก นับจากการแข่งขับรอบคัดเลือกโซนเอเชีย จนถึงการเข้าไปสู่เวิลด์คัพรอบชิงชนะเลิศ ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่จะพอจะประสบกับความยากลำบากอะไรมากมาย เพราะอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะได้ยินประกาศจากผู้จัดการทีม พวกนักกีฬาก็ยังนิ่งเฉยได้เหมือนในเวลาปกติ
“โค้ชอี มาทางนี้สักเดี๋ยวสิ!”
ในขณะที่พวกนักกีฬากำลังวิ่ง ผู้จัดการทีมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ม้านั่งก็เรียกฮาจุน
“มีอะไรเหรอครับ”
เมื่อวิ่งเข้าไปหาแล้วเอ่ยปากถาม ผู้จัดการทีมก็พูดขึ้นโดยลดเสียงเบาลงนิดหน่อย
“โค้ชอี ลองเข้าร่วมเป็นสตาฟในการแข่งนัด A คราวนี้ดูไหม”
“ครับ? ผมเหรอครับ”
สโมสรจัดตั้งกลุ่มโค้ชสำหรับทีมชาติเสร็จลงไปแล้วเมื่อตอนต้นปี และแน่นอนว่าฮาจุนซึ่งเป็นโค้ชมือใหม่ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มผู้ถูกคัดเลือก ฮาจุนได้แต่กะพริบตาปริบๆ ให้กับข้อเสนอที่ไม่เคยคิดมาก่อน พร้อมทั้งทำสีหน้างงงัน
“น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับโค้ชอีไม่ใช่เหรอ บอกว่าตอนแรกเป็นชั่วคราวก็จริง แต่ดูจากการทำงานของโค้ชแล้วปีหน้าก็อาจจะรวมเข้ากลุ่มอย่างเป็นทางการก็ได้”
“ผมต้องขอบคุณมากจริงๆ ครับ แต่ทำไมถึงยื่นข้อเสนอแบบนั้นกับผม…”
ฮาจุนทำตาโต ผู้จัดการทีมมองเขาพร้อมกับทำสีหน้าประหม่า
“ฉันก็ไม่ได้ตัดสินใจเองหรอก เรื่องนี้รู้กันไว้สองคนนะ จริงๆ แล้วเหมือนว่าทางเอเจนซี่ของคิมมูคยอมจะขอมาแบบนั้นน่ะ บริษัทนั้นมีอิทธิพลกับทางสโมสรมากเลยใช่ไหมล่ะ”
“…”
“คิมมูคยอมบอกว่าถ้าโค้ชอีไม่ไปด้วย เขาก็ไม่อยากไปน่ะสิ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสนิทกันมากจริงๆ”
ผู้จัดการทีมหัวเราะโฮ่ๆ และดูปลาบปลื้มใจอย่างแท้จริง ฮาจุนหัวเราะแห้งๆ ตามเขาแล้วเบนสายตาไปมองมูคยอมซึ่งกำลังวิ่งอยู่ด้วยจิตใจอันว้าวุ่น
วันนี้มูคยอมกลับมาวิ่งฉิวอีกครั้ง ราวกับว่าสภาพร่างกายในตอนนี้ฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งที่เคยบอกว่าถ้าไม่ได้มีเซ็กส์กับเขาแล้วรู้สึกเหมือนจะตาย อีกทั้งยังป่วยออดๆ แอดๆ แต่ถึงไม่มีเซ็กส์กันก็เคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงดี บทสนทนาเมื่อวานก็ดูเหมือนไม่ได้จบลงด้วยบทสรุปที่ดีเลยสักนิด แต่เจ้าตัวกลับดูมีพลังแถมยังแต่งหล่ออย่างเต็มที่ ดูท่าว่าเรี่ยวแรงตอนนี้คงกลับมาเต็มร้อยแล้ว
ถ้าเวลาผ่านไปจะรู้ว่าความกังวลที่ไม่จำเป็นที่สุดในโลก ก็คือความกังวลเกี่ยวกับคิมมูคยอม ฮาจุนนั่งลงบนม้านั่งแทนที่จะกลับไปในสนามอีกครั้ง จากนั้นก็ทอดสายตามองพวกนักกีฬาไกลๆ
พอถึงปีหน้า การแข่งเวิลด์คัพก็จะกลับมาอีกครั้ง
เวิลด์คัพครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนของอีฮาจุนกลายเป็น ‘เรื่องที่ผ่านไปแล้ว’ อย่างสิ้นเชิง
มันเป็นเวิลด์คัพที่ประชากรเกาหลีทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและคาดหวังกันเป็นพิเศษยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ว่ามีคิมมูคยอมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องผ่านเข้ารอบสิบหกทีมสุดท้ายอยู่แล้วใช่ไหม ทว่าหลังเวิลด์คัพเริ่มต้นขึ้นจริงๆ มันกลับจบสิ้นลงอย่างน่าสมเพชจนไม่สามารถเปรียบเทียบกับบทสนทนาใดๆ ก่อนหน้านี้ได้เลย
เป็นเพราะการพ่ายแพ้ในรอบคัดเลือกสิบหกทีม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกครั้งก็จริง แต่เท่าที่ฮาจุนรู้ ความเห็นของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับทีมชาติในช่วงการแข่งขันเวิลด์คัพและบรรยากาศภายในทีมไม่เคยเลวร้ายอย่างหนักถึงขนาดนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในระยะเวลาที่เวิลด์คัพถูกจัดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
ถึงอย่างนั้น สำหรับเขาก็เป็นเวิลด์คัพครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้แย่นัก เขาบรรลุความฝันที่อยากลองได้รับเลือกให้ลงแข่งกับมูคยอมสักครั้ง อีกทั้งถึงแม้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ และถึงแม้มูคยอมจะจำเขาไม่ได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ช่วยทำแอสซิสต์ให้มูคยอมยิงเข้าประตู แล้วมูคยอมก็ยิ้ม แถมยังถึงกับกอดเขาด้วย
ฮาจุนเป็นนักกีฬาที่ได้ยินคนบอกว่า ‘ได้รับการประเมินช้าเกินไป’ อยู่บ่อยๆ เขาค่อนข้างได้รับความนิยมในสายตาของแฟนๆ ผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลลีกในประเทศ และถูกเรียกตัวให้เข้าทีมชาติอย่างสม่ำเสมอ แต่เพราะไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักเป็นประจำ จึงไม่โดดเด่นในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่สักเท่าไร
ถึงแม้ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีซะส่วนใหญ่หากเทียบกับตอนเริ่มต้นอย่างเรื่อยเปื่อย แต่ตลอดเวลาที่ฮาจุนเล่นฟุตบอลอาชีพ เขาค่อนข้างจะไม่มีโชค สาเหตุหลักที่สุดเป็นเพราะในบรรดาผู้จัดการทีมที่เคยพบเจอ คนที่ชำนาญกับกลยุทธ์การเล่นที่นำเอาความสามารถของฮาจุนมาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีจำนวนไม่เยอะนัก
ฮาจุนได้รับความสนใจจากคนหมู่มากเป็นครั้งแรก เนื่องมาจากการเล่นอย่างมีชีวิตชีวาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสองสามอย่าง รวมถึงการแอสซิสต์ในเวิลด์คัพครั้งนั้นด้วย การทำสัญญาย้ายสังกัดไปยุโรปซึ่งไม่เคยแม้แต่จินตนาการว่าจะมีโอกาสเข้ามาก็ดำเนินไปจนถึงขั้นประสบความสำเร็จ ต่อให้บอกว่าช้าเกินไป แต่ฮาจุนก็อายุเพียงยี่สิบสี่ปี เพราะฉะนั้น อย่างน้อยถ้าหากสามารถเล่นกีฬาได้อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นไป เขาคงจะลืมช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่เคยไม่มีโชคจนหมดสิ้นไปแล้ว
พอลองคิดดู ช่วงเวลาที่ดำเนินผ่านมาในตอนนั้นก็มีความดีความชอบของมูคยอมอยู่ด้วย เพราะทั้งที่ในทีมเต็มไปด้วยความไม่ลงรอยกันจนการฝึกไม่สามารถดำเนินให้เสร็จสิ้นได้ตามปกติ แต่เขาก็เปิดบอลให้คิมมูคยอมอย่างแม่นยำได้ นั่นเป็นเพราะเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายเกี่ยวกับฟุตบอลของคิมมูคยอมในตอนปกติ
ถ้าหากคนที่กำลังวิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่มูคยอม เขาเองก็คงจะแสดงให้เห็นความสามารถแบบนั้นออกมาไม่ได้เช่นกัน
ฮาจุนกำลังจมอยู่ในความทรงจำสมัยก่อน แต่แล้วก็สะบัดหัวครู่หนึ่งราวกับจะสลัดความทรงจำนั้นทิ้งไป เขาลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินเข้าไปในสนามหญ้าพร้อมกับมองมูคยอม ยังไงก็เป็นคนไม่เชื่อฟังใครเลยจริงๆ ตอนเขาบอกว่าไม่เอาๆ ก็เข้ามาวุ่นวายชวนให้ทำ แต่พอเขาตอบตกลงว่าจะทำ คราวนี้กลับยืนกรานจากทางเจ้าตัวเองว่าทำทั้งแบบนี้ไม่ได้
เขารู้ว่ามูคยอมต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นเพราะเกิดความใคร่ หรือเป็นเพราะใจโลเล แต่ตอนนี้อีกฝ่ายก็ต้องการจะคบหากันในฐานะคนรัก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากตอบรับตามที่อีกคนต้องการเหมือนกัน แต่อย่างน้อยในตอนนี้ ดูเหมือนว่าตัวเขาคงเหนื่อยล้ามากเกินกว่าจะรับหน้าที่เป็นคนรักผู้อ่อนโยน ซึ่งมูคยอมน่าจะกำลังวาดภาพอยู่ในหัว
ไม่ใช่เรื่องยากที่ฮาจุนจะยกยิ้มต่อหน้าผู้คนซึ่งเจอกันเพียงชั่วครู่ในที่ทำงาน แต่ตอนอยู่กับมูคยอมกลับต่างออกไป ตอนมีความสัมพันธ์แค่ทางกาย เขาเผชิญกับทุกอารมณ์ของอีกฝ่ายมาหมดแล้ว เขาเองก็ไม่มีประสบการณ์ แต่การคบหากันแบบคนรักก็น่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่านั้นอย่างแน่นอน
เขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถต้านทานความลึกซึ้งของความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แค่จะจับจุดสำคัญว่าจะต้องเริ่มคิดอะไรยังไงจากตรงไหนก็ยังทำไม่ได้ ในหัวของเขายังคงทำได้เพียงตีกันจนยุ่งเหยิงเท่านั้น สำหรับมนุษย์ ไม่ว่ายังไงก็คงจำเป็นจะต้องฝึกหัดการฟื้นฟูสภาพหัวใจด้วย ไม่ใช่แค่กับร่างกายอย่างเดียว ในตอนที่ฟื้นฟูเสร็จสิ้น มูคยอมจะยังมีความสนใจในตัวเขาต่อไปอยู่หรือเปล่านั้น… พูดตามตรงว่าเขาไม่คาดหวัง
แต่ยังไงก็โล่งอกไปที เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเขาเลย แต่สภาพร่างกายของคิมมูคยอมก็ดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว
* * *
สถานที่ฝึกซ้อมของนักกีฬาตัวแทนประเทศซึ่งถูกเรียกตัวมาในการแข่งนัด A คือเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ที่เมืองพาจู ในทีมซิตี้โซล มีมูคยอมกับจองคยูถูกเรียกตัว และนอกเหนือจากฮาจุนก็มีอีกหนึ่งคนที่เข้าร่วมมาในฐานะสตาฟด้วย
มูคยอมเข้ามาในเซ็นเตอร์ วันนี้ก็ยังเซ็ตผมเปิดหน้าผากอย่างไม่ยอมแพ้ เขาหันหน้าไปมาเพื่อมองหาฮาจุนก่อนใคร เมื่อวานกะว่าจะเลิกงานด้วยกัน แต่ในช่วงที่มูคยอมเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ อีกฝ่ายดันรีบร้อนกลับบ้านไปแล้วเสียได้
“อิมจองคยู มาแล้วเหรอ”
ทันทีที่ผ่านทางเข้าเข้ามา นักกีฬาคนหนึ่งก็เดินมาหาจองคยูพร้อมกับทักทาย นักกีฬาคนนั้นไฮไฟว์เบาๆ กับจองคยู จากนั้นก็ปรายตามองมาทางมูคยอมซึ่งยืนอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง จองคยูรีบพูดขึ้นก่อน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทักทายซะสิ ฮยอนจินย้ายสังกัดไปกาตาร์เมื่อฤดูร้อนนี้เอง ที่นั่นเป็นไงบ้าง”
“ที่ที่มีคนอาศัยอยู่ก็เหมือนกันไปหมดนั่นแหละน่า ถึงอย่างนั้นก็น่าจะยังต้องใช้เวลาปรับตัวอีกหน่อย คิมมูคยอม ไม่ได้เจอกันนานนะ”
มูคยอมมองอีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็ยกยิ้มขึ้นแล้วยื่นมือไป
“อืม ไม่เจอกันนาน คราวนี้ก็มาพยายามให้ดีกันเถอะ”
นักกีฬาที่เข้ามาทักทาย จับมือตอบมูคยอมพร้อมทั้งเหลือบมองเขาราวกับรู้สึกเกินคาดนิดหน่อย จากนั้นก็คุยเรื่อยเปื่อยอีกสองสามคำแล้วเดินไป จองคยูลดเสียงลงพูด
“พูดจาดีๆ แล้วก็ทักทายคนอื่นดีๆ ด้วยนะ เพราะมีคนที่นายเคยเจอบ่อยๆ ก็จริง แต่ก็มีคนที่ไม่เคยเจอ… อย่างแรกก็ไปให้คนอื่นเห็นหน้าค่าตาแล้วทำตัวแบบมีมนุษยสัมพันธ์ดีก่อนแล้วกัน”
“รู้แล้วน่า”
มูคยอมถอนหายใจเบาๆ ตามที่จองคยูพูด เขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์แย่กับทุกคน แต่ในบรรดาผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็มีคนที่รู้สึกไม่ดีกับมูคยอมปะปนอยู่ด้วย แม้ไม่มีใครบอก ตัวเขาเองก็รู้ดีที่สุดอยู่แล้ว
มีการเรียกตัวเข้าร่วมทีมชาติทุกปี เพราะฉะนั้น หลังจากจบเวิลด์คัพไปก็ยังจะได้เจอและลงเล่นด้วยกันสักสองสามครั้งในหนึ่งปีอยู่ดี ทว่าการแข่งอุ่นเครื่องในช่วงที่ไม่มีทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นการแข่งแบบรอบเดียวจบ เหล่านักกีฬาผู้ยุ่งวุ่นวายจึงมารวมตัวกันอย่างเร่งรีบและลงแข่งกันกันอย่างพอประมาณ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปโดยไม่มีจังหวะจะให้จัดการกับก้อนตะกอนที่ตกค้าง พวกเขาจำต้องใช้เวลาด้วยกันอย่างยาวนานเหมือนช่วงเวิลด์คัพ พร้อมกับพยายามเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ต่างกับคราวก่อน
เมื่อรู้สึกปวดหัวก็อยากเจอฮาจุนขึ้นมา มูคยอมไล่สายตามองพิจารณาตรงจุดที่พวกสตาฟรวมตัวกันอยู่อย่างว่องไว เขามองหาอยู่แบบนั้น แต่แล้วก็เบิกตากว้างขึ้น
“อะไรน่ะ”
คำพูดสั้นๆ ที่ออกมาจากปากของมูคยอม ทำให้จองคยูถามขึ้น
“อะไร”
“คนนั้นอยู่ในกลุ่มโค้ชด้วยเหรอ”
“ใคร”
จองคยูเบนสายตาไปมองตามสายตาของมูคยอม
“คนนามสกุลยุนไงเล่า”
“พี่แชฮุนน่ะเหรอ ก็ต้องแหงอยู่แล้วสิ โค้ชกายภาพมีไม่เยอะ ก็คงต้องได้รับเลือกเข้ามาอยู่แล้ว มีข่าวลือว่าขอให้พี่เขาเข้าทีมเกาหลีเพราะจะเตรียมพร้อมสำหรับเวิลด์คัพปีหน้าด้วยนะ”
จองคยูหรี่ตาลง
“นาย อย่าไปทำตัวอึมครึมแล้วหยาบคายใส่พี่เขาอีกนะ ตอนนั้นเป็นการฝึกซ้อมนอกสถานที่ พี่เขาไม่ได้สังกัดทีมเดียวกับเราก็เลยปล่อยผ่านไปได้ แต่ถ้านายทำแบบนั้นที่นี่ ฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะด่าแล้วก็ไล่เตะนายให้หลาบจำไปเลย อย่าก่อความเดือดร้อนตั้งแต่ช่วงแรกๆ แล้วก็ทำตัวสงบเสงี่ยมไว้ซะ”
มูคยอมไม่ตอบกลับคำพูดของจองคยูแล้วทำเพียงทอดมองไปทางนั้น เป็นไปตามที่คาด ฮาจุนยืนอยู่แนบชิดกับกับคนคนนั้น สีหน้าก็ยังยิ้มหวานอยู่ ต่างกับเวลาอยู่ต่อหน้าเขา หลังจากคุยเรื่องนั้นกับเขา ฮาจุนก็ดูไร้เรี่ยวแรงตลอดทั้งวันนี้ แต่ทันทีที่เจอยุนแชฮุนก็กลับมามีชีวิตชีวาถึงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ
เกินคาดสุดๆ ที่เขาขอให้เอาฮาจุนเข้าร่วมกลุ่มโค้ชทีมชาติ เป็นเพราะอยากให้อีกฝ่ายได้อยู่ด้วยกันกับเขา ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นสภาพใกล้ชิดกับไอ้คนนามสกุลยุนนั่นสักหน่อย!
ตอนนี้เขามองดูใบหน้ายิ้มแย้มแบบนั้นใกล้ๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไอ้ผู้ชายมีครอบครัวแล้วคนนั้นกลับได้รับรอยยิ้มสวยถึงขนาดนั้นไปรัวๆ ราวกับน้ำตก มูคยอมกำลังอารมณ์เดือดดาลเพราะคับแค้นใจที่ไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองทำ แต่แล้วจองคยูก็พูดขึ้นอย่างไม่รู้จังหวะเอาเสียเลย