Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 9
“เข้าใจแล้วครับโค้ช”
“แล้วก็…” ฮาจุนจะพูดอะไรบางอย่างเพิ่มแต่กลับเงียบไป
อะไรเหรอ แม้ว่าจะถามด้วยสีหน้าแต่ฮาจุนก็สะพายกระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้แล้ว
“ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”
“กลับดีๆ นะ”
มูคยอมยกมือขึ้นหนึ่งครั้ง ฮาจุนพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวออกไป ผมด้านหลังศีรษะปลิวไสวทุกครั้งที่ย่างก้าว มูคยอมจับจ้องที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับไปหาครอบครัวของจุนซอง
เมื่อครู่ฮาจุนได้ยื่นขวดน้ำขวดใหม่ที่ซื้อมาให้กับภรรยาของจุนซอง
“คุณป้า ดื่มน้ำหน่อยนะ”
“อืม ขอบใจนะ”
“เดี๋ยวผมจะไปเอาผ้าห่มมาให้”
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ฉันร้อนน่ะ สงสัยจะเข้าวัยทองแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของฉันถึงได้ร้อนขนาดนี้ คงเป็นเพราะว่าตกใจเลยร้อนยิ่งกว่าเดิมสินะ นายไปเอามาให้ตัวเองกับฮยองมินห่มเถอะ”
ทั้งจุนซองทั้งภรรยาของเขาต่างก็อายุมากขึ้น
มูคยอมรู้สึกมึนงงอย่างบอกไม่ถูก จึงนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรอีกเขาเริ่มนับตัวเลขบนนาฬิกาที่ติดอยู่บนฝาผนังอย่างกับคนไม่มีอะไรทำ ดูเหมือนว่าจะเป็นค่ำคืนที่ยาวนานกว่าทุกที
***
‘มูคยอม ฉันรู้สึกผิดต่อนาย ฉันควรจะทำไงดี’
“อย่าพูดอย่างนั้น รู้สึกผิดเรื่องอะไรกัน”
‘นายต้องกลับมาเกาหลีเพราะพ่อของเด็กคนนี้นี่นา แล้วเรื่องก็ดันกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้…’
มูคยอมกดขมับตนเองในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับภรรยาของจุนซอง ตอนที่เจอกันที่โรงพยาบาลในสถานการณ์ที่เร่งด่วนจึงทำให้ไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อจุนซองฟื้นขึ้นมาแล้วถึงค่อยมาพูดทีหลัง มันเป็นการขอโทษที่มีแต่จะทำให้เขาว้าวุ่นใจมากขึ้น
การผ่าตัดของจุนซองใช้เวลาหกชั่วโมงเต็ม และในที่สุดก็ผ่านมาจนถึงเวลาย่ำรุ่ง ทั้งครอบครัวของจุนซองและทั้งมูคยอมต่างก็ผลัดกันนอนผลัดกันตื่น หมอที่ออกจากห้องผ่าตัดก็ดูเหนื่อยเช่นกัน แต่กลับมีสีหน้าที่สดใส
คุณหมอบอกว่ามันเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างยาก แต่ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและโชคดีที่ไม่มีผลกระทบอะไร ทุกคนที่คอยอยู่ก็พลันรู้สึกโล่งและดีใจ มูคยอมเองก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น
วันต่อมาจุนซองถึงได้สติและขอโทษที่ทำให้ตกใจ อีกฝ่ายไม่มีปัญหาในการพูดคุยและยืนยันผลแล้วว่าไม่มีอาการชา ไม่มีอาการของอัมพาตที่เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจที่สุด นักเตะและทีมงานไม่กี่คนได้ผลัดกันไปเยี่ยมจุนซองที่โรงพยาบาล แถมทางสโมสรยังส่งของขวัญมาปลอบใจอีกด้วย
ทันที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความดีใจและโล่งใจหลังจากที่ช่วยชีวิตจุนซองได้ เมื่อตรวจสอบแล้วว่าร่างกายเขานั้นไม่มีอะไรผิดปกติแล้ว ปัญหาก็ถาโถมเข้ามา
จุนซองต้องพักฟื้นอย่างน้อยสองถึงสามเดือนดังนั้นในช่วงเวลานั้นตำแหน่งผู้จัดการของซิตี้โซลจึงว่างลง ผู้จัดการชั่วคราวที่ได้รับการแต่งตั้งน่าจะมาถึงในเร็วๆ นี้ แต่บรรยากาศของทีมที่กำลังจะได้ชัยชนะและขึ้นไปบนจุดสูงสุดนั้นก็ร่วงดิ่งลงมา มูคยอมรู้สึกห่อเหี่ยวโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เขาถอนหายใจแล้วพูดกับอีกฝ่ายผ่านโทรศัพท์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณลุงฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัย การผ่าตัดก็ประสบความสำเร็จไม่มีอาการข้างเคียงอะไร ก็แค่นั้นแหละ ห่วงคุณลุงก่อนเป็นห่วงผมดีกว่า คุณลุงมีความมุ่งมั่นมากแล้วนี่ยังเป็นผู้จัดการทีมลีกอาชีพครั้งแรกอีกด้วย แต่ตอนนี้จิตใจของเขาเป็นยังไงบ้าง”
’ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอก เราเองก็เห็นนี่นา เขาสดใสขึ้นแล้ว นี่เขากำลังตั้งอกตั้งใจพักฟื้นแล้วกลับไปใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง’
มูคยอมหัวเราะคิกคักไปกับเสียงบ่นพึมพำราวกับน่าหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายไม่สนใจเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น
“งั้นก็ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องขอโทษหรอก อย่าเศร้าไปเลยเพราะถ้าคุณลุงกลับมาเร็วๆ ผมก็จะไม่มีปัญหาอะไรด้วย”
‘…ก็ได้ เข้าใจแล้ว ดูท่าฉันคงจะอายุมากแล้วจริงๆ ฉันตื่นตูมมากเลยสินะ นายน่าจะอึดอัดใจมากที่สุด ขอโทษนะ’
มันก็เกิดขึ้นได้ อย่าไปใส่ใจเลย ดูแลคุณลุงแล้วก็ตัวเองให้ดีๆ นะครับ มูคยอมจบด้วยคำพูดดังกล่าวและวางสายโทรศัพท์แล้วก็นอนลงบนโซฟาครู่หนึ่ง
อย่างไรก็ตามการทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ร่างกายที่เหนื่อยล้าลุกขึ้นมายืนเปิดประตูห้องพักแล้วออกจากอาคารไป แถมวันนี้หลังจากการฝึกจบลงฝนก็ยังตกลงมาอีก สนามฝึกซ้อมที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกอาคารไร้ซึ่งบรรยากาศพลุกพล่านเหลือเพียงความว่างเปล่า
มีหมอกหนาทึบบนสนามหญ้า อาคารทั้งหลังเป็นสีเทาอึมครึม และในเวลาปกติหญ้าที่ต้องมองเห็นเป็นสีเขียวอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ดูเหมือนเป็นสีเขียวเข้มภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม
มันคือฝนในฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่ฝนนี้ตก อากาศจะร้อนขึ้น ต้นไม้และใบหญ้าก็จะเขียวขจี สายน้ำฝนที่ได้เติมเต็มพลังชีวิตแก่ต้นไม้ใบหญ้ากลับกลายเป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้อารมณ์จิตใจของมูคยอมนั้นยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่
มูคยอมเดินตึงๆ ไปตามทางที่เชื่อมไปยังลานจอดรถก่อนจะหยุดฝีเท้าลง แม้ว่ามูคยอมจะไม่มีร่มแต่เขาก็ไม่เปียกเพราะมีหลังคาตามทางเดินที่เขาเดินไป สายฝนโปรยปรายกระทบหลังคาพลาสติกดังหนวกหู
“ฉันช่าง…” เขาพูดคนเดียวอย่างล่องลอย
การฝึกซ้อมก็เสร็จสิ้นไปสักพักแล้วที่นี่จึงเงียบสงบราวกับว่าทุกคนนั้นกลับไปหมดแล้ว มีเพียงมูคยอมเท่านั้นที่เข้าไปในห้องพักเพื่อรับโทรศัพท์ทำให้เลยเวลาปกติที่ต้องกลับบ้าน
เขาอึดอัดใจที่ไม่มีทั้งปัญหาและไม่มีทั้งคำตอบ อันที่จริงแล้วตอนนี้เขายังไม่มีความรู้สึกรักใคร่กับทีมเลย อย่างไรก็ตามหลังจากจบไปหนึ่งฤดูกาลเขาก็จะออกจากทีมอยู่ดี เขาออกจากตำแหน่งตัวหลักในสโมสรใหญ่แล้วกลับเกาหลีมาเพื่อจุนซองเท่านั้น มูคยอมอยากจัดงานเปิดตัวในตำแหน่งผู้จัดการทีมของจุนซองให้ประสบความสำเร็จ และอยากลองเล่นเป็นนักเตะของอีกฝ่ายในลีกอาชีพอีกด้วย แต่ว่ามันก็เท่านั้น
แม้จะเป็นแค่ผู้จัดการทีมที่ขุดค้นและเลี้ยงดูคิมมูคยอมมา แต่จุนซองก็เป็นคนที่สามารถจะเป็นผู้จัดการลีกอาชีพได้ ในระหว่างนั้นใช่ว่าจุนซองจะไม่ได้รับข้อเสนอเลย แต่เป็นจุนซองเองที่ยึดติดกับตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลโรงเรียนมัธยมด้วยความตั้งใจของตัวจุนซองเองมาตลอด ตอนที่ได้ยินข่าวว่าจุนซองตัดสินใจเป็นผู้จัดการของซิตี้โซล มูคยอมเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ได้ยินมาด้วยว่าเป็นเพราะการชักชวนอย่างทุ่มเท และเอาใจของผู้บริหารสโมสร จุนซองถึงได้ยอมมา
มูคยอมคิดว่าถ้าเป็นทีมที่จุนซองชักจูงและเป็นทีมที่อีกฝ่ายเป็นผู้จัดการทีมครั้งแรก ถึงเขาจะเสียเวลาหยุดพักสักประมาณหนึ่งปีก็ยังดี เขายังคิดเช่นนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ หนึ่งฤดูกาลนี้เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องทิ้งตำแหน่งปีกไปเลย
เหมือนว่าแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดสำหรับมูคยอมหายไปไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว จุนซองบอกว่าการฟื้นตัวในระดับที่เขาสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์เหมือนคนทั่วไปนั้นสามารถทำได้เร็วที่สุดสามเดือน ตามปกติคือ หกเดือนและอาจจะนานถึงหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น
เป็นเรื่องที่ดีถ้าอีกฝ่ายสามารถกลับไปทำหน้าที่ผู้จัดการทีมอีกครั้งได้ แต่ถ้าไม่ล่ะก็…
อย่างไรก็มีสัญญาไว้อยู่แล้วเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องใช้เวลาหนึ่งฤดูกาลในเกาหลี มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีจุนซองมันก็โดดเดี่ยวและไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเกือบหนึ่งปีที่ไม่มีค่านี้ได้อย่างไร ดังนั้นการตัดสินใจของมูคยอมจึงเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ
หลังจากกลับไปที่ห้องล็อกเกอร์และเปลี่ยนเป็นชุดฝึกซ้อมมูคยอมก็เตะบอลด้วยปลายเท้าบนสนามหญ้าที่ฝนตก มูคยอมไม่สนใจหยาดน้ำที่ไหลรินรดศีรษะ เสื้อผ้าและร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสนามหญ้าทั้งลูกบอลก็เปียกลื่นจึงทำให้ลูกบอลหลุดจากเท้าอยู่เรื่อย นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแข่งขันในวันที่ฝนตกมันถึงยากลำบาก ทุกอย่างลื่นราวกับเป็นหญ้าทะเล ลูกบอลสูญเสียการควบคุมทิศทางและกลิ้งไป เมื่อวิ่งไปอย่างเป็นปกติก็ล้มลงเพราะว่ามันลื่น น้ำฝนไหลผ่านใบหน้าของมูคยอมทำให้มุมมองของเขาเลือนรางและชุดของเขาก็ลู่แนบติดทั่วร่างกาย
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในการแข่งขัน มูคยอมก็เลยเอาแต่เดาะบอลง่ายๆ เหมือนกับเด็กที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นฟุตบอล
ลูกบอลถูกเตะขึ้นที่ปลายเท้าลอยขึ้นเหนือเข่า เขาเดาะลูกบอลที่กระดอนสลับกันโดยใช้เข่าซ้ายและเข่าขวา แล้วใช้ปลายเท้ารับลูกบอลที่ตกลงมายังปลายเท้าอีกครั้ง
‘ตู้ม’
มูคยอมเตะลูกบอลขึ้นมาเบาๆ แล้วใช้หลังเท้าเตะมันออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกบอลบินฝ่าสายฝนยิงเข้าประตูตาข่ายที่ว่างเปล่า
ถ้าหากมีเครื่องส่งลูกบอลเขาก็อยากเตะบอลจนกว่าจะรู้สึกโล่งใจ แต่ที่นี่ไม่มีทางมีเครื่องมือนั้นแน่นอน เพราะขนาดในสโมสรใหญ่ๆ เองก็ยังไม่มี
มูคยอมเตะฟุตบอลเข้าประตูทีละลูกๆ แล้วจึงใช้เท้าเขี่ยฟุตบอลออกจากตาข่ายอีกครั้งด้วยตนเอง เขาเอามือวางบนเชิงกรานแล้วก็เป่าลมด้วยริมฝีปากและกลับไปยังที่เดิมแล้วก็หยุดเดินกะทันหัน
“หืม”
มูคยอมเบิกตากว้างและจ้องมองเงาที่เห็นอยู่ใต้หลังคาผ่านสายฝน ถ้าไม่ได้คิดไปเองละก็มีคนยืนอยู่ใต้หลังคาที่มูคยอมยืนอยู่เมื่อครู่นี้ เพราะว่าสายฝนบดบังทัศนวิสัย มูคยอมจึงเอียงคอและก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร
เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้นมูคยอมก็สามารถมองเห็นใบหน้าของเงาได้เป็นอย่างดี มูคยอมเรียกชื่ออีกฝ่าย
“อีฮาจุน”
“…อื้อ”
มูคยอมรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อบังเอิญได้เจอกับคนอื่น เขากำลังเตะบอลท่ามกลางสายฝนในสนามฝึกซ้อมที่ว่างเปล่าโดยคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรน่าอาย แต่ก็ดูเหมือนว่ามูคยอมจะถูกจับได้ว่าภายในใจนั้นยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้ายที่พันกันอยู่ เขาเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร
“ยังไม่กลับอีกเหรอ ฉันนึกว่ากลับกันหมดแล้วเสียอีก”
“ฉันมีธุระนิดหน่อยน่ะ แต่สต๊าฟคนอื่นๆ กลับกันหมดแล้ว”
“อย่างนั้นสินะ นายเองก็กำลังจะกลับใช่ไหม กลับดีๆ ละ” มูคยอมบอกลาเช่นนั้นแล้วหันกลับไปอีกครั้ง เพราะว่าถ้าจะให้โล่งใจ เขาคงต้องเตะบอลไปอีกหลายร้อยรอบแน่ๆ
“คิมมูคยอม”
ตอนนั้นเองที่ฮาจุนเรียกเขาขึ้นมา มูคยอมหันกลับไปโดยที่ไม่ซ่อนสีหน้าที่มีความรำคาญเอาไว้ คนที่เรียกชื่อลังเลสักพักแล้วจึงเอ่ยออกมา
“ให้ฉันส่งบอลให้ไหม”
“ว่าไงนะ”
“มันน่ารำคาญนี่ที่ต้องทำคนเดียวทั้งเตะบอล แล้วก็จัดบอลใหม่ แล้วเตะอีกครั้งน่ะ เดี๋ยวฉันจะส่งบอลให้นายเอง”
มูคยอมไม่ตอบในทันทีและจ้องไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้หลังคา การแต่งตัวของฮาจุนบ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะกลับบ้านทันที ทั้งสะพายกระเป๋าเรียบร้อย แถมเสื้อคลุมก็เป็นชุดธรรมดา
เขาเห็นว่าฮาจุนยุ่งอยู่กับการหลบหน้าหลบตา แล้วสุดท้ายลมอะไรหอบมาล่ะ พอคิดเช่นนั้นแล้วมูคยอมก็ฝืนยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายจนแทบจะมองไม่เห็น
ในวันนั้นมูคยอมขึ้นรถพยาบาลไปกับอีฮาจุนและมาที่โรงพยาบาลเพื่อดำเนินขั้นตอนต่างๆ ด้วยกัน พอลองคิดดูอีกทีมันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่พวกเขานั้นจัดการเรื่องยุ่งยากลำบากมาด้วยกัน ดูเหมือนว่าความเป็นเพื่อนก็ก่อกำเนิดขึ้นมาและอีกฝ่ายคงตัดสินใจที่จะยกโทษให้มูคยอมสำหรับความผิดที่จำอีกฝ่ายไม่ได้
สำหรับมูคยอมเองฮาจุนก็เป็นคนที่เขารู้สึกขอบคุณ ถ้าฮาจุนไม่ได้ออกจากร้านอาหารเพราะอีกฝ่ายเมาแล้วจะไปรับลม มูคยอมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่จะเจอจุนซอง การไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วแม้แต่วินาทีเดียวก็เป็นการรักษาภาวะเลือดออกในสมองที่สำคัญที่สุด ถ้าหากว่าเจอจุนซองช้าเกินไปแล้วล่ะก็ แค่คิดก็ทำให้หัวใจของมูคยอมสั่นระรัวแล้ว
“ขอบใจนะ”
“หือ”
“ที่บอกว่าจะส่งบอลให้ไง”
“อ๋อ ใช่”
ฮาจุนวางกระเป๋าและถอดเสื้อคลุมของตนเองลงตรงนั้น แล้วเปลี่ยนรองเท้าอย่างเร่งรีบ เมื่อฮาจุนก้าวออกจากใต้หลังคาจนก่อนที่จะไปถึงที่ที่มูคยอมอยู่ ตัวอีกฝ่ายก็เปียกโชกเช่นเดียวกันกับมูคยอมแล้ว
มูคยอมมองฮาจุนและกล่าวทักทาย
“ฝนก็ตกลงมาอีก รบกวนหน่อยนะ”
“ไม่หรอก” ฮาจุนเดินไปที่หน้าประตูฟุตบอล
เขารอให้ฮาจุนประจำตำแหน่งได้สักพักแล้วจึงเตะบอลอีกครั้ง ตาข่ายที่ว่างเปล่าสั่นและไหวไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ฮาจุนกลิ้งลูกบอลที่ตกลงมาบนพื้นอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้มูคยอม มูคยอมเตะบอลดังตุ้บอีกครั้ง ฮาจุนจึงส่งบอลกลับไปให้มูคยอม
ทั้งสองรับส่งบอลกันเป็นเวลานานโดยไม่พูดอะไร มันเหมือนกับการเล่นลูกบอลของเด็กๆ มากกว่าการเตะฟุตบอล สิ่งเดียวที่แตกต่างจากการเล่นลูกบอลของเด็กๆ คือระหว่างพวกเขาทั้งคู่นั้นไม่มีคำพูดหรือเสียงหัวเราะใดๆ เลย ในสนามซ้อมแห่งนี้มีเพียงเสียงฝนตกและเสียงเตะบอลแค่สองอย่างนี้เท่านั้น
ไม่รู้ว่าเส้นผมมันปิดตาอีกฝ่ายหรืออย่างไรถึงได้เอาแต่เสยผมตั้งหลายครั้ง มูคยอมที่มองท่าทางนั้นหยุดลูกบอลที่กลิ้งมาตรงหน้าของตนเอง
“พอแค่นี้กันเถอะ” มูคยอมบอกให้หยุด
ฮาจุนถอนหายใจออกมายาวๆ ในขณะที่คลายกล้ามเนื้อโดยการหมุนแขนไปทางซ้ายทางขวาก็ถามออกมา
“เตะพอแล้วเหรอ”
“ใช่ ต้องกลับก่อนพระอาทิตย์จะตกสิ วันนี้ฝนตกก็จะยิ่งมืดเร็วขึ้นไปอีก”
ฮาจุนถือลูกบอลที่เหลืออยู่แล้วเดินอย่างอิดโรยเข้าไปหามูคยอม นักกีฬาที่วางมือไปแล้วไม่มีทางที่จะมีร่างกายที่แข็งแรงได้เหมือนกับมูคยอมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเตะที่มีร่างกายแข็งแรงที่สุดในบรรดานักเตะทั้งหมดได้ ฮาจุนดูเหนื่อยล้าจากการรับส่งบอลท่ามกลางสายฝน แม้ว่าเขาจะยังอยากเตะบอลอีกแต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะให้คนอื่นมาจับไข้เพียงเพราะว่าความโลภของตนเองทั้งคู่เก็บลูกบอลท่ามกลางสายฝนแล้วเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์ด้วยกัน มูคยอมอาบไปแล้วครั้งหนึ่งหลังจากการฝึก แต่มันเปียกมากจนต้องอาบอีกรอบ
“นายมีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหม”
มูคยอมที่ยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ถามฮาจุนแล้วดึงเสื้อผ้าที่เปียกขึ้น ทันทีที่ถอดผ้าที่ติดอยู่กับร่างกายที่เปียกน้ำฝนอย่างเฉอะแฉะออกแล้วร่างก็รู้สึกเบาหวิว มูคยอมรีบถอดกางเกงและชุดชั้นในออก
ไหล่กว้าง แผ่นอกแข็งและหนา หน้าท้องที่ราวกับแกะสลักเป็นลอนๆ เอวดูคอดเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อหลังที่กว้าง เนื่องจากมีบั้นท้ายที่แข็งและก้นกบที่ขึ้นเงาอย่างเด่นชัด และแม้แต่แกนกายก็เผยให้เห็นในคราวเดียวกัน ต้นขาที่ทอดยาวใต้บั้นท้ายนั้นหนาพอๆ กับเอวของผู้หญิงที่ผอมบาง และข้างบนนั้นก็เห็นเป็นกล้ามเนื้อนูนออกมา
มูคยอมโยนเสื้อผ้าที่เปียกไว้บนม้านั่งอย่างลวกๆ แต่จนทำอะไรเสร็จก็ยังไม่มีคำตอบจากฮาจุน อีกฝ่ายยืนห่างจากมูคยอมเล็กน้อย ยืนอย่างเหม่อลอย ไม่แม้แต่จะถอดผ้าที่เปียกออก
เหนื่อยมากเลยงั้นเหรอ มูคยอมสงสัย จึงเอ่ยถามอีกครั้ง“โค้ชอี” มูคยอมจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“…หา”
“ฉันถามว่านายมีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหม”
“มีสิ ฉันเองก็มีสำรองไว้เหมือนกัน” ฮาจุนพยักหน้ารับอย่างมีสติ
“งั้นมัวทำอะไรล่ะ ถอดออกเร็ว”
“หา อื้อ นายเข้าไปก่อนเลย”
มูคยอมยิ้มและเดินไปที่ประตูห้องอาบน้ำจากนั้นใช้หลังมือเคาะประตูราวกับว่ากำลังเคาะหลังของฮาจุน
………………………………………………………..