Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 88
“…วันนี้ฉันเหนื่อยก็เลยคงต้องรีบกลับน่ะ”
“ยังไงฉันก็ต้องไปบ้านนายอีกรอบอยู่แล้ว”
“อะไรนะ ทำไม”
ทันทีที่ถาม ความคิดของฮาจุนก็ไปจบลงตรงรถหรูของมูคยอม ซึ่งตอนนี้ก็ถูกจอดไว้ในลานจอดของย่านอะพาร์ตเมนต์เพราะเจ้าของนั่งรถบัสมา คนเงินเยอะระดับมูคยอม สั่งคนให้ไปเอารถกลับบ้านก็คงจบ แล้วจะดันทุรังไปเพื่ออะไร
ฮาจุนบ่นงึมงำในใจ แล้วตระหนักขึ้นได้อย่างกะทันหันว่าทำไมมูคยอมถึงมากวนใจเขา ฮาจุนก้มลงมองกระบอกเชคซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะนิ่งๆ จากนั้นก็หยิบมันขึ้นมา
คิดดูแล้ว เขาสัญญากับปากของตัวเองว่าจะทำ ‘พรุ่งนี้’ อีกทั้งยังจำได้ว่าเขายืนยันกับมูคยอมอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนว่าความดีใจเนื่องจากในที่สุดก็บรรลุเป้าหมายในการชักชวนให้กลับมามีความสัมพันธ์ดังเดิม ทำให้มูคยอมวิ่งฉิวเอาของกินมาให้ อีกทั้งยังจงใจทำตัวนอบน้อม ขอให้เขาแบ่งเวลาให้อีก การกระทำราวกับหมาป่าที่ขุนเหยื่อให้อ้วนท้วน
ต้องรักษาคำพูดสิ จะมีวิธีไหนอีกล่ะ ความรู้สึกคลื่นไส้เบาๆ กับอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย ยังคงไม่หายไปไหนมาตั้งแต่เช้า แต่ฮาจุนก็หมุนฝาเปิดกระบอกแล้วยกดื่มของเหลวข้างในอึกๆ เซ็กส์กับมูคยอมทำให้พละกำลังของเขาหดหายไปจนหมดเสมอ ถ้ายังอดอาหารในวันแบบวันนี้อีก ฮาจุนก็ไม่กล้าที่จะรองรับความต้องการของอีกฝ่ายเลย
ฮาจุนโยนกระบอกเปล่าลงถังขยะแล้วโบกมือ
“เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าเลิกงานพร้อมกัน ตอนนี้นายออกไปก่อนเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ห้องพักนักกีฬาสักหน่อย อย่าเข้าออกออฟฟิศบ่อยๆ โดยไม่มีธุระสิ”
ก่อนที่มูคยอมจะได้ตอบว่าอะไร โค้ชคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา มูคยอมดันตัวที่เคยโค้งลงกับโต๊ะขึ้น จากนั้นก็ออกจากออฟฟิศไปโดยทิ้งไว้เพียงคำบอกลาว่าไว้เจอกัน
* * *
เส้นทางเวลาออกไปทำงานค่อนข้างว่างโล่ง แต่เส้นทางกลับบ้านไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่มูคยอมจะสะดุดตามากจนเกินไปหากขึ้นรถโดยสารประจำทาง เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจขึ้นแท็กซี่เพื่อความปลอดภัย ทั้งสองคนขึ้นมานั่งเรียงกันตรงเบาะหลัง และไม่ได้พูดอะไรสักคำจนกระทั่งมาถึงบ้านของฮาจุน
เป็นเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะดันทุรังเถียงอีกฝ่ายว่าจะไปหรือไม่ไป จะทำหรือไม่ทำ ฮาจุนเดินตามหลังอีกฝ่ายแล้วอ้อมไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างว่าง่ายด้วยความรู้สึกเหมือนตอนใกล้ถึงเวลาที่ต้องทำงานที่ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะทำ จากนั้นก็คาดเข็มขัด มูคยอมเพียงแค่เหลือบมองฮาจุนหนึ่งครั้งเท่านั้น จากนั้นจึงติดเครื่องพลางเคลื่อนรถออกโดยไม่ได้พูดอะไร
คิดว่าจะไปที่บ้าน แต่มูคยอมกลับขับเรื่อยๆ บนถนนในเส้นทางอื่นมาไกลมากแล้ว ดูท่าว่าวันนี้ก็คงอยากทำบนรถ วันนี้เขาเหนื่อยล้าไปหมด อย่างน้อยถ้าจะทำก็อยากทำบนเตียงแท้ๆ
…ใครจะสนล่ะ ฮาจุนหันหน้าไปนอกหน้าต่างแล้วมองดูพระอาทิตย์เริ่มหายลับไปจากท้องฟ้า ความร้อนยังคงไม่คลายลงหมด แต่อุณภูมิต่ำสุดและสูงสุดประจำวันห่างกันมากขึ้นแล้วก็เข้าสู่ช่วงเวลาเย็นเร็วขึ้นด้วย
รถยนต์เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ อย่างเนิ่นนานพอสมควร โดยสองข้างทางขนาบด้วยทิวทัศน์น่าดื่มด่ำที่ผู้คนน่าจะชื่นชอบในการมาขับกินลมชมวิวกัน แล้วในที่สุด รถก็หยุดลงตรงไหล่ทางบนทางยกระดับสายหนึ่ง ดวงอาทิตย์ยามเย็นใกล้จะหายลับขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนกับกลีบกุหลาบอันมหึมาที่ผลิบานจากตรงเชิงเขา
มองเห็นภาพผู้คนจำนวนไม่มากลงไปยืนดูท้องฟ้าตรงบริเวณราวกั้น ส่วนถนนฝั่งตรงข้ามก็สว่างไสวไปด้วยไฟจากคาเฟ่หรือไม่ก็ร้านอาหารที่ดูหรูหราไม่น้อย ฮาจุนหยุดคิดเพราะใจลอยไปกับทิวทัศน์รอบข้างครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
หรือว่าจะมีเซ็กส์ในที่แบบนี้อย่างนั้นเหรอ เขาพูดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขึ้นรถมา
“ที่นี่คนเยอะเกินไปนะ”
“ที่เงียบๆ กว่านี้น่าจะดีกว่าเหรอ”
“…แหงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
เมื่อฮาจุนย้อนถาม มูคยอมจึงพยักหน้าพร้อมกับติดเครื่องยนต์อีกครั้ง
“ถ้างั้นก็ไปต่ออีกหน่อยดีไหม”
ภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว รถขับเข้าไปในถนนลึกที่แทบไม่มีผู้คนสัญจร รถยนต์เคลื่อนตัวต่อไปประมาณสิบนาทีแล้วหยุดลง บริเวณโดยรอบสถานที่นั้นมืดมิด มันคือริมเส้นทางเดินเขาที่มองไม่เห็นมนุษย์เลยสักคน
ฮาจุนมองสังเกตนอกหน้าต่างหนึ่งครั้ง และหลังจากที่ยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ เขาจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออก ตอนทำกันบนรถครั้งก่อน เขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด วันนี้ก็ต้องทำแบบนั้นด้วยไหมนะ จะตัดสินใจเองก็ยาก ฮาจุนจึงเอ่ยปากถามกับมูคยอม
“ให้ถอดหมดเลยไหม”
“…อะไร”
“เสื้อผ้า ถอดแค่กางเกงเฉยๆ น่าจะสะดวกกว่า แต่ถ้านายอยากให้ถอดหมดก็เอาตามนั้น”
มูคยอมมองเขาด้วยสีหน้าแข็งตึงโดยไม่ได้ตอบอะไร ฮาจุนถอนหายใจแผ่วเบาพร้อมกับเร่งอีกฝ่าย
“วันนี้ฉันไม่มีแรงจะมาใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรอกนะ รีบบอกมาเร็วเข้า”
ตอนนั้นมูคยอมถึงส่ายหน้าอย่างรวดเร็วราวกับตั้งสติได้
“ไม่ต้องถอดเสื้อผ้าก็ได้”
“อ่า… จะใช้ปากเหรอ”
วันอันแสนเหนื่อยล้าเหมือนวันนี้ ทำแบบนั้นอาจจะดีกว่า สีหน้ายินดีเล็กน้อยจึงปรากฏออกมาให้เห็น ทันใดนั้น ในที่สุดสีหน้าของมูคยอมก็บูดบึ้ง
“อีฮาจุน นายจงใจทำแบบนั้นหรือไง”
“อะไร”
มูคยอมถอนหายใจสั้นๆ แล้วยกมือขึ้นกดตรงกระบอกตาหนึ่งทีพลางละออกไป จากนั้นก็หันหน้าไปหาฮาจุนอีกครั้งแล้วพูดอย่างหนักแน่น
“ฉันไม่ได้ชวนให้มามีเซ็กส์”
“…ถ้างั้นทำไม”
“เรื่องที่คุยกันเมื่อวาน ยังไงซะ นายก็น่าจะจำไม่ได้ชัดเจนทั้งหมด ฉันก็เลยชวนให้มาเจอกันเพื่อจะได้ยืนยันให้มั่นใจ”
“ฉันจำได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้มาด้วยนี่ไง บอกแล้วว่าตัดสินใจจะกลับมาเป็นคู่นอนกับนายตั้งแต่วันนี้”
มูคยอมจ้องฮาจุนเขม็ง
“นอกจากเรื่องนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“เรื่องอะไรอีก”
“ที่ฉันบอกว่าชอบ”
“…”
“นายลืมเหรอ”
ฮาจุนปิดปากเงียบ มูคยอมถามขึ้นอีกครั้งกับคนที่เบิกตากว้างมองมาทางตนเองเหมือนคนหวาดกลัว
“นายก็บอกว่านายก็ชอบ เรื่องนั้นก็ลืม?”
“…เรื่องนั้น…”
“ไม่ใช่ความฝัน”
ฮาจุนปิดปากสนิท ภายในหัวนึกคำตอบที่เหมาะสมไม่ออกเลยสักคำเดียว ราวกับมีใครมาขัดให้มันเป็นสีขาวโพลน
ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง มือของมูคยอมค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้แล้วจับมือของฮาจุนซึ่งวางไว้ตรงที่วางแขน ฮาจุนสะดุ้งไปทีหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ชักมือที่ถูกจับไว้ออก
“นายสงสัยว่าจนป่านนี้แล้ว จะมาพูดเรื่องบ้าอะไร แต่ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
“…”
“ฉันชอบนาย อีฮาจุน นายให้โอกาสฉันอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ คราวนี้ฉันจะไม่ทำให้นายต้องผิดหวัง”
ฮาจุนมองอีกฝ่ายเพราะคิดว่าล้ออะไรกันเล่นอีก แต่น้ำเสียงของมูคยอมกลับหนักแน่น และใบหน้าก็ไร้ซึ่งวี่แววของการหยอกล้อ มองเห็นเงาสั่นไหวของใบไม้ที่ทาบทับลงมาตรงหน้าต่างรถด้านหลังอีกฝ่าย บางทีถ้าออกไปข้างนอกก็คงจะได้ยินเสียงลมพัดใบไม้พลิ้วไหวเสียงดังสินะ
ฮาจุนเพียงแค่ส่งสายตามองทิวทัศน์นั้นอย่างต่อเนื่องแล้วหลุบตาลง ริมฝีปากเขาเผยอออกครู่หนึ่งราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หุบลงอีกครั้ง เสียงของมูคยอมดังลอดเข้ามาในหูที่เปิดโล่งต่างกับปาก
“ตอนแรกอยากสารภาพรักอย่างเป็นทางการในที่ที่ดูดีกว่านี้ ไม่ได้อยากสารภาพในรถหรอกนะ… แต่ได้คุยกันเงียบๆ แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
แน่นอนว่าอีกฝ่ายพูดภาษาเกาหลี แต่ฮาจุนกลับรู้สึกอย่างกับอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังพูดภาษาต่างประเทศ
‘จู่ๆ ทำไมทำแบบนี้นะ เคยบอกแล้วแน่ๆ ว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่ต้องดันทุรังทำถึงขนาดนี้ เขาก็จะรักษาสัญญาอยู่แล้ว’
“ฉันจะขอโทษนายอีกครั้ง”
“…”
“แล้วก็จะหยุดบอกว่านายผิดเรื่องโน้นเรื่องนี้แล้ว เพราะทั้งหมดเป็นความผิดของฉันตั้งแต่ต้นจนจบเลย”
ตอนนั้นฮาจุนถึงได้พูดขึ้น
“ตอนนี้เลิกขอโทษได้แล้ว”
“ฉันยังไม่สบายใจนี่ แล้วก็ฉันรู้สึกผิดก็เลยจะพูดไปเรื่อยๆ”
‘งั้นเหรอ’ ถึงจะฟังอีกฝ่ายพูดอยู่ แต่ฮาจุนก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง เขาไม่ได้โกรธมูคยอมเลย มูคยอมเข้าใจผิดและพูดรุนแรงกับเขา จากนั้นก็บอกขอโทษมาตั้งหลายครั้งแล้ว
ความโกรธในเรื่องนั้นคลายลงแล้ว… พูดให้ถูกก็คือ เขาคิดว่าทุกอย่างมันสลายหายไปหมดแล้ว เขาจะถือว่าถ้าเวลาผ่านไปอีกหน่อยจนทำให้ความทรงจำเลือนรางลงก็คงมีเรื่องแบบนั้นได้แล้วกัน มันจะต้องเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายอย่างแน่นอนแต่จะให้อยู่ๆมาคิดว่าจะขอโทษไม่ขอโทษก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ฮาจุนกลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง มูคยอมมองหน้าฮาจุนนิ่งๆ แล้วถามขึ้น
“คำขอโทษน่ะไม่ต้องก็ได้ แต่นายไม่มีคำตอบให้คำบอกชอบของฉันเหรอ”
ท่าทีของมูคยอมดูสบายสุดๆ แต่ฮาจุนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกระวนกระวายและหวั่นใจที่แฝงอยู่ในท้ายประโยคของอีกฝ่ายได้ พอเอาเข้าจริง ฮาจุนก็นึกคำตอบของคำพูดนั้นไม่ได้ในทันทีจึงสับสนอยู่เช่นกัน
แน่นอนว่าเขายังชอบมูคยอมอยู่ ต่อให้มองเห็นภาพของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะทอดมองต่อไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ว่า ไม่สามารถเลิกมองอีกฝ่ายไปได้ง่ายๆ แม้อยู่ในช่วงเวลาที่ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าควรต้องตอบว่าอะไรแบบนี้
ถึงอย่างนั้น จิตใจของเขากลับรู้สึกอึดอัดจนน่าประหลาด ความสงสัยเพิ่มมากขึ้นเยอะจนเกินไป จึงดูเหมือนจะกัดกินความรู้สึกอื่นไปหมด เพราะอย่างนั้นฮาจุนถึงได้กลืนน้ำลายลงคอแห้งผากแล้วถามสิ่งที่ตัวเองสงสัย
“ทำไมนายถึงเป็นแบบนั้น”
น่าจะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แต่คงคิดว่ายังไงก็ดีกว่านั่งเงียบ มูคยอมจึงหัวเราะหึๆ ออกมา ความประหม่าปรากฏให้เห็นในสีหน้าของเขาอยู่พอสมควร แต่เขาก็ไม่ลบเลือนรอยยิ้มไปจากใบหน้าแล้วพูดขึ้น
“ฉันรู้ว่าฉันคิดไปเองอย่างใหญ่โตเลย”
“คิดอะไรไปเอง”
“ต่อให้เรียกว่าเป็นการขอโทษในรถก็เถอะ แต่ก็ขอโทษไม่ได้ผลไม่ใช่หรือไง”
“…”
“ต่อให้เรียกคนที่ตัวเองชอบว่าคู่นอน แต่ก็คงจะกลายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
คำถามของฮาจุนเป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
‘ก็เพราะอย่างนั้น ฉันถึงถามว่าทำไมนายถึงคิดแบบนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ ไงเล่า…’
รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของมูคยอมแล้วสีหน้าจริงจังก็กลับมาอีกครั้ง ฮาจุนยังคงหาคำตอบที่ตัวเองจะพูดออกมาไม่เจอ จึงทำเพียงแค่มองสบตาอีกฝ่ายกลับไปเท่านั้น
“ที่นายบอกว่าชอบฉัน ตอนแรกฉันคิดว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น เพราะได้มีความสัมพันธ์กับฉันในฐานะคู่นอน แต่นายพูดออกมาจากปากของนายเองนี่ ว่ามีฉันอยู่ในใจมาตั้งแต่สมัยม.ต้น ฉันรู้ว่าฉันปล่อยผ่านคำสารภาพรักจากนายอย่างไม่เอาใจใส่มากเกินไป ตอนนี้ฉันจะเปลี่ยนแล้วจริงๆ นายจริงจัง ฉันก็ไม่อยากจะทำเหมือนมันเป็นคำพูดเล่นต่อไปคนเดียวหรอกนะ”
เป็นแบบนี้หลังจากแอบฟังเขาคุยกับจองคยูเมื่อวานหรือยังไงนะ แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกพาตัวไปบ้านของมูคยอมทันทีจริงๆ ถ้าฟังที่คุยกันกับจองคยูแล้วคิดแบบนั้น มูคยอมก็ไม่น่าจะบังคับพาเขาซึ่งกำลังเมาเหล้าขึ้นไปบนบ้าน
ใบหน้าที่เคยขบคิดคำพูดของมูคยอมนิ่งๆ กลับกลายเป็นนิ่วหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาคงไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ มูคยอมจึงจ้องมองฮาจุนด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มไม่น้อย ใบหน้าที่ขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับกำลังโกรธ ผ่านไปไม่นานกลับขึ้นสีแดงเรื่อ ฮาจุนถามอีกฝ่าย
“นาย…เห็นเหรอ”
“…ฮะ? เห็นอะไร”
มูคยอมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ฮาจุนเขม้นมองมูคยอมด้วยใบหน้าร้อนวูบวาบ เขากัดริมฝีปากพร้อมกับเสยผมขึ้น ไม่ต้องถามก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าจู่ๆ เป็นแบบนั้นเพราะเห็นอะไรในห้องของเขาซึ่งเมื่อวานนอนค้างอยู่หนึ่งคืน คนที่แตะต้องโทรศัพท์มือถือของคนอื่นอยู่ทุกครั้งโดยไม่ขออนุญาตก่อน ไม่มีทางที่จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมหลังได้ตามเข้ามาจนถึงในห้องอย่างแน่นอน
ความเขินอายยังอยู่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เช้า แม้ว่าเขาจะเผยความรู้สึกในใจให้อีกฝ่ายได้เห็นจนหมดแล้วก็เถอะ แต่เพราะอย่างนั้นฮาจุนจึงยิ่งอายมากกว่าเดิม ต่อให้เป็นคนที่เขาชอบมากแค่ไหน ก็ย่อมแน่นอนว่าไม่อยากถึงขั้นกางสมุดบันทึกของตัวเองให้ดูอยู่แล้ว
เมื่อฮาจุนทำหน้าบูดบึ้ง มูคยอมก็คงไม่คิดจะเฉไฉจนถึงที่สุด จึงพูดแก้ตัวออกมา
“ฉันดูๆ ห้องนายอยู่แล้วก็บังเอิญเห็นเข้า”
“มันแขวนไว้บนผนังหรือไง ถึงได้บังเอิญเห็นน่ะ นายบอกว่าจะไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวนี่! ทำแบบนั้นมันคือการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวนะ รู้บ้างไหม”
มูคยอมถูกตำหนิขึ้นมาอย่างกะทันหัน และในระหว่างที่ลังเลจนไม่สามารถตอบอะไรกลับมาได้ ฮาจุนก็ถอนหายใจแล้วโพล่งขึ้นอย่างแข็งกระด้าง
“แฟ้มพวกนั้น ฉันตั้งใจจะเอาไปทิ้งให้หมด แต่ไม่มีเวลาก็เลยยังไม่ได้จัดการ”
“อย่าทิ้งนะ ถ้าจะทิ้งก็เอามาให้ฉัน”
มูคยอมห้ามปรามเขาด้วยความตกใจราวกับยึดติด
แม้ว่าอีกฝ่ายสารภาพรักออกมาตรงหน้า แต่คงเพราะอายหรือเพราะอะไรสักอย่าง ฮาจุนถึงไม่คิดเรื่องอื่นเลย ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาเพียงแค่อยากหนีไปให้พ้นจากที่ที่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วย อยากลงจากรถแล้วกลับไปคนเดียว แต่เพราะเป็นคนยืนกรานให้มาที่ที่ไม่มีคนเอง ถนนอันมืดมิดนี้จึงไม่มีแม้แต่รถบัสหรือแท็กซี่สักคันวิ่งผ่าน
ฮาจุนมองไปเพียงแค่ด้านหน้าของหน้าต่างรถด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเท่านั้น มูคยอมมองใบหน้าด้านข้างของเขาแล้วจึงพยักหน้าราวกับบอกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นก็จับพวงมาลัย
“เมื่อวานนายก็บอกว่ายังชอบฉันอยู่ ฉันเลยคิดอยู่เหมือนกันว่านายจะดีใจขึ้นมาทันทีหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่ได้กลับไปสบายใจถึงขนาดนั้นสินะ เข้าใจแล้ว ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความฝัน เพราะอย่างนั้นถ้าจะขอคำตอบเดี๋ยวนี้เลยก็คงยากใช่ไหม”
“…”
“ฉันเองก็ดึงให้มันยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ก็คงจะขอให้นายตอบในทันทีไม่ได้ด้วยใช่ไหม ฉันจะรอด้วยความสำนึกแล้วกัน แต่นายรับรู้เรื่องนี้ไว้สักเรื่องนะ”
มูคยอมติดเครื่องรถยนต์ ทว่าไม่ได้เคลื่อนรถออกไปในทันทีแล้วพูดต่อ
“คราวนี้ฉันไม่ได้กำลังล้อนายเล่นจริงๆ”
ฮาจุนเพียงแค่หลุบตาลงแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร รถที่ทั้งสองคนนั่ง วิ่งผ่ากลางถนนที่ตอนนี้มืดสนิทลงแล้ว
รถยนต์กลับมาจอดตรงหน้าย่านอะพาร์ตเมนต์ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัดเช่นเดียวกันกับขาไป ฮาจุนเปิดประตูลงรถไปโดยไม่แม้แต่จะบอกว่าขอบคุณที่มาส่งหรือบอกลาว่าให้กลับดีๆ แต่แล้วประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออกพร้อมกันกับที่มูคยอมลงรถมา
‘ทำไม’ ฮาจุนถามทางสายตาว่าแบบนั้น มูคยอมเดินเนิบๆ มายืนข้างเขาอย่างไม่ลังเล
“ปกติก็ไม่ชอบมองดูนายกลับเข้าไปคนเดียวอยู่แล้วน่ะ”
“…”
“ฉันจะเดินไปส่งแค่ตรงหน้าตึก แค่นั้นได้ใช่ไหม”
ฮาจุนนึกถึงคำที่อีกฝ่ายเคยบอกกับเขา หลังจากมาหาในสภาพเมามายกลางดึกคืนหนึ่ง ร่างกายที่เคยแข็งเกร็ง ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงอย่างฉับพลัน เมื่อฮาจุนพยักหน้าสองสามครั้งด้วยความรู้สึกวุ่นวายใจ มูคยอมก็กวักมือเหมือนชวนให้ไป แล้วฮาจุนก็เดินขนาบข้างกายของอีกฝ่าย
มูคยอมบอกว่าชอบเขา วันนี้ทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้าสักนิด แต่ก็ไม่เล่นสงครามประสาทกันอย่างไร้ประโยชน์ แถมยังใจดีขนาดนี้อีก แต่ฮาจุนก็ไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอยู่ไม่สุข หัวใจของเขาเต้นตึกตักรัวเร็ว แต่แทนที่จะมองว่าใจเต้นด้วยความหวั่นไหว มันกลับเป็นอารมณ์คล้ายคลึงกับตอนรู้สึกไม่สบายใจเหมือนถูกอะไรบางอย่างไล่ตามมากว่า
เขาแค่อยากรีบเข้าไปพักในห้อง สภาพร่างกายเขาอาจจะแย่เกินไปเพราะอาการเมาค้างที่พบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้ มูคยอมเองก็ยกเรื่องยุ่งยากมาพูดในวันไม่ดีแบบนี้ทำไมก็ไม่รู้ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าตึก ตอนนั้นฮาจุนจึงพูดขึ้น
“ขอบใจที่มาส่งนะ กลับไปได้แล้ว”
ฮาจุนหลบตาคนที่กำลังจ้องมองมายังตนเองแล้วผงกหัวให้นิดหนึ่ง มูคยอมไม่ได้หันหลังกลับไปในทันทีแต่ยืนนิ่งอยู่ราวกับลังเลอะไรบางอย่าง
“อีฮาจุน มองฉันสักเดี๋ยวสิ”
น้ำเสียงพะวักพะวนของมูคยอมไม่มีความอวดดีหรือความมั่นใจในตัวเองเหมือนเวลาปกติแฝงอยู่ ฮาจุนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะลองใจเขาเหมือนตอนนั้น และรู้สึกว่ามันคือจิตใจที่แท้จริง
ตามคำวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิจารณ์มากมาย มูคยอมเป็นนักเดิมพันที่มีฝีมือเป็นอย่างมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องการแสดงก็ไม่แน่ เพราะมูคยอมไม่มีความสามารถในการตีหน้านิ่งเลย ความรู้สึกที่แท้จริงอันไร้ซึ่งการแต่งแต้มของเขาจึงเผยออกมาให้เห็นได้อย่างง่ายดาย
…เขารู้ รู้อยู่แล้ว
ฮาจุนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้ามูคยอม ใบหน้าหล่อคมหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับสงสัยอะไรบางอย่างอีกแล้ว เวลามูยอมสงสัยหรือกำลังประเมินอะไรบางอย่าง เขามักจะเอียงหัวไปด้านหนึ่งเล็กน้อยแบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง