Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 79
ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกับผู้จัดการทีมอยู่ครู่หนึ่งก็ใกล้จะถึงเวลาของการฝึก ฮาจุนขยับมืออย่างว่องไว หยิบของที่ต้องเตรียมไปด้วยอย่างเช่นสมุดโน้ตกับเครื่องจับเวลา มูคยอมเองก็ออกมาอยู่ในสนามฝึกแล้ว นักกีฬาคนอื่นยืนเรียงกันเป็นวงกลมและกำลังดำเนินการฝึกตามโปรแกรมปกติ มีเพียงมูคยอมที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งเท่านั้น
“ลุกขึ้น”
ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้แล้วสั่งอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่จงใจทำให้เย็นชา มูคยอมเงยหน้ามองฮาจุนแวบหนึ่งแล้วลุกขึ้น
“เริ่มที่เช็กสภาพร่างกายกันเถอะ เมื่อกี้กินข้าวหรือเปล่า”
“กินไม่ได้ ช่วงนี้กินไม่ลงตลอดเลย”
“…ไม่เลยเหรอ”
“กินเชคไปหนึ่งแก้ว”
นั่นเป็นเพียงแค่ของกินทดแทนในกรณีที่คุมอาหารหรือกินเป็นอาหารเสริมเท่านั้น จะใช้กินเป็นอาหารหลักสำหรับนักกีฬาที่ต้องบริโภคพลังงานเป็นจำนวนมากไม่ได้
“เวลานอนเมื่อวานล่ะ”
“ไม่รู้สิ นอนไปหนึ่งชั่วโมงได้ไหมนะ”
ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเพื่อให้เขาสนใจ ฮาจุนไม่ถามคำถามเพิ่ม เพียงแค่มองเข้าไปในสมุดครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้น
“ได้ยินมาว่านายไปโรงพยาบาลแล้ว แต่หมอบอกว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ ฉันไม่รู้เหตุผลหรอกนะ แต่สภาพร่างกายของนายย่ำแย่ลงมาก นายได้รับสารอาหารและนอนหลับไม่พอ เพราะฉะนั้นเน้นไปที่การยืดกล้ามเนื้อจะดีกว่าคาร์ดิโอ และจะต้องระวังเรื่องกล้ามเนื้อเกร็งเป็นอันดับแรก นั่งลงก่อนเลย เริ่มที่ร่างกายท่อนล่างก่อนแล้วกัน”
ฮาจุนสั่งให้มูคยอมซึ่งนั่งลงบนสนามหญ้ายืดกล้ามเนื้อข้อเท้าก่อน เขาลงมือโค้ชชิ่งโดยไม่ใช้มือแตะลงบนร่างกายของมูคยอมเลยถ้าเป็นไปได้ แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพอยู่
ทว่าความยืดหยุ่นของอีกฝ่ายน้อยลงมากอย่างเห็นได้ชัด กล้ามเนื้อถ้ายิ่งแข็งแรงก็จะยิ่งนุ่มหยุ่นและไม่แข็งตึง มูคยอมตัวใหญ่ก็จริง แต่ถ้าสั่งให้เขายืดเหยียดกล้ามเนื้อ มูคยอมก็ค่อนข้างที่จะยืดหยุ่นได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่วันนี้แค่มุมในการทำท่าต่างๆ ก็แคบกว่าเมื่อก่อนแล้ว
พอได้จับตาดูการฝึกมาจนถึงตอนนี้ พร้อมทั้งเห็นว่าสภาพร่างกายของมูคยอมย่ำแย่ลงถึงขนาดนี้ จริงๆ แล้วสำหรับฮาจุนเองก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เหมือนกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คิมมูคยอมในฐานะนักกีฬาย่อยยับไป ฮาจุนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ความเป็นห่วงกลับพัดโหมร่างกายของเขาไม่หยุดราวกับกลุ่มเมฆฝน
“จะไปนัดบอดอันนั้นจริงๆ เหรอ”
ฮาจุนช่วยอีกฝ่ายยืดกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“นักกีฬาคิมมูคยอม จากนี้ไปฉันอยากให้นายอดทนไม่ถามเรื่องส่วนตัว”
“ฉันขอโทษไปแล้วนี่ บอกว่ายอมรับว่าตอนนั้นฉันพูดพล่ามไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันรู้สึกผิดจริงๆ”
มูคยอมถอนหายใจราวกับอึดอัด ใครควรจะถอนหายใจต่อหน้าใครกันแน่ ตัวเองทำผิดแต่ดันมาถอนหายใจใส่คนไม่ได้ทำผิดซะได้
“ให้ฉันคุกเข่าเลยดีไหม ถ้าทำแบบนั้นจะหายโกรธหรือเปล่า”
“…”
“ถ้าขอโทษก็ไม่ได้ จ่ายเงินชดใช้ก็ไม่ได้ แล้วฉันจะต้องทำยังไงอีก ถ้านายไม่ชอบข้อเสนอของฉันสักอย่าง นายก็ลองเสนอมาบ้างสิ”
คำว่าข้อเสนอทำให้รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันทันที กระทั่งในน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังมีความเย้ยหยันเจืออยู่
“นายน่ะ จำคำที่ฉันพูดกับนายได้หรือเปล่า…”
ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เหลือบมองฮาจุน
ถึงอย่างนั้น เขาก็สารภาพกับอีกฝ่ายว่าชอบไปแล้ว คิดว่าปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเหมือนคนโง่พร้อมทั้งเปิดเผยความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้ลึกสุดในใจออกมาจนหมดเท่าที่ตัวเองทำได้แล้ว ถ้าไม่ได้ลืมเรื่องนั้นไปจนหมด แล้วทำไมถึงยังมาพูดกับเขาแบบนี้ได้
ตอนนั้น ถึงแม้จะร้องไห้โวยวายและเผยภาพลักษณ์หลากหลายอย่างให้เขาได้เห็นจนหมด แต่ฮาจุนก็แค่รู้สึกโล่งเท่านั้น ไม่รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีเลย เพราะทุกอย่างคือความรู้สึกที่แท้จริงอันซื่อตรงของเขาเอง
แม้ไม่เคยคิดว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเขาจะมีคุณค่าพิเศษอะไรกับมูคยอม แต่พอมาตอนนี้ ความขายหน้าถึงได้ก่อตัวขึ้นมาติดแน่นในใจ การมองดูภาพของลูกโป่งที่ปล่อยให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แตกแล้วกลายเป็นขยะสกปรกปลิวมาแทบเท้า ต่อให้ตนเองอยู่ในสถานะที่ยอมแพ้ในเรื่องอะไรบางอย่างยิ่งกว่านั้น แต่มันก็ไม่เบิกบานใจเอาเสียเลย
มูคยอมตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย
“เรื่องนั้นยังไงก็จบไปแล้วไม่ใช่เหรอ นายบอกว่าตอนนี้ไม่สบายใจแล้วก็ไม่เอาแล้วนี่ หรือว่าพูดแบบนั้นเพราะนายยังรู้สึกอยู่”
“ก็หมายความว่านายไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องที่กำลังพูดในตอนนี้อีกแล้วไง”
เขาไม่ต้องการให้มูคยอมจับได้ว่าเขายังรู้สึกจนแทบสับสน เรื่องที่เขายังตัดเยื่อใยที่มีต่อมูคยอมไม่ขาด เยื่อใยนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ในเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ จนทำให้ใจของเขาเต้นแรงเพราะคำพูดของอีกฝ่าย ถึงจะแค่ก่อนหน้านี้ครู่เดียวก็เถอะ แต่เรื่องนี้ก็ห้ามให้มูคยอมจับได้อย่างเด็ดขาด
ถึงยังจับไม่ได้ เขาก็มีสภาพเหมือนลูกบอลยางในเงื้อมมือของอีกฝ่ายที่กลิ้งไปทางนี้ทีทางโน้นทีอยู่แล้ว หากจับได้กระทั่งความจริงพวกนั้น เขาก็น่าจะถูกอีกฝ่ายปฏิบัติตัวด้วยเหมือนเป็นแค่เศษผ้าไม่ใช่เหรอ
‘ครืดดด’ ในตอนนั้น โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าก็ส่งเสียงดังขึ้น ฮาจุนก้มลงหยิบโทรศัพท์ออกมา สายตาของมูคยอมเองก็จับจ้องไปตรงนั้นเช่นกัน มีสายเข้าจากเบอร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้
ไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามคุยโทรศัพท์สั้นๆ ในระหว่างฝึกซ้อม อีกทั้งแม่ก็ไปๆ มาๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง บางทีถ้าที่บ้านไม่มีคนอยู่ คนส่งพัสดุก็จะโทรมาหาฮาจุนอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะอย่างนั้น ส่วนใหญ่ฮาจุนจึงรับสายที่โทรเข้ามามากกว่าจะปล่อยให้มันตัดสายไป บรรยากาศกำลังร้อนระอุอยู่พอดี เป็นแบบนี้กลับดีเสียอีก ฮาจุนคิดแบบนั้นแล้วจึงถือโทรศัพท์ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดกับอีกฝ่าย
“ฉันจะไปรับโทรศัพท์สักหน่อย นายรอเดี๋ยวนะ ระหว่างนั้นก็เตรียมสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝึกให้เรียบร้อยด้วย”
ฮาจุนเดินแยกไปจากมูคยอมสองสามก้าวแล้วจึงหันหลังรับโทรศัพท์
“ครับ อีฮาจุนครับ”
‘อ๊ะ! สวัสดีค่ะ โค้ชอีฮาจุนใช่ไหมคะ’
“…ใครเหรอครับ”
‘ขอโทษด้วยค่ะ ฉันควรต้องแนะนำตัวก่อนแท้ๆ เลย ฉันชื่อซงอึนจูค่ะ ยอนซูให้เบอร์คุณมา จริงๆ ฉันควรต้องรอการติดต่อจากคุณ แต่อดไม่ไหวจนเป็นฝ่ายโทรไปก่อนระหว่างทางไปทำงานนอกสถานที่น่ะค่ะ สะดวกคุยโทรศัพท์สักครู่ไหมคะ?’
ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าจะได้รับการติดต่อมาจากอีกฝ่ายก่อน
ฮาจุนเหลือบตามองมูคยอมที่นั่งอยู่ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเดินห่างออกไปอีกสองสามก้าวแล้วพูดเสียงเบาลง
“อ่า สวัสดีครับ เรื่องนั้น ขอโทษด้วยนะครับ ผมตั้งใจว่าจะติดต่อไปทันทีแต่พอดีงานยุ่งนิดหน่อย”
‘ไม่เป็นไรเลยค่ะ คนใจร้อนก็ต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อนสิคะ ฉันรีบร้อนติดต่อมาหาคุณแบบนี้ยิ่งเสียมารยาทมากกว่าอีก ขอโทษด้วยนะคะ’
ฮาจุนคิดตื้นๆ ว่าถ้าไม่ติดต่อไปก็จบ เขาไม่รู้เพราะไม่เคยนัดบอดมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็คงได้รับเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปเหมือนกัน หากลองคิดดูก็ต้องเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้ว
อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องบอกว่าไม่มีเวลาจะไปเจอกัน การบอกปฏิเสธไปทั้งที่น้ำเสียงอีกฝ่ายดีอกดีใจแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลยจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้
“ขอโทษนะครับ”
‘คะ? เรื่องอะไรคะ’
“จริงๆ แล้วผม… ตอนนี้ยังไม่คิดจะคบใครน่ะครับ เมื่อกี้ผมคุยกับจองคยู สามีของคุณยอนซู แล้วบรรยากาศก็กลายเป็นแบบนั้นไปซะได้… ผมขอเบอร์โทรติดต่อคุณมาแล้วก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้เลย แต่คิดว่าคงยากที่จะไปพบกันครับ”
หญิงสาวปลายสายพึมพำเหมือนกำลังพูดคนเดียวว่า “อ๋อ ค่ะ” ราวกับตอบอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็หัวเราะ
‘ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ยังไม่ได้คิดไปเองคนเดียวตั้งแต่ตอนนี้ แค่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงของโค้ชใกล้ๆ สักครั้งไหมเท่านั้นเองค่ะ ฉันชอบฟุตบอลก็เลยไปดูแข่งสดๆ อยู่สองสามครั้ง ฉันเป็นแฟนคลับคุณสมัยอยู่อินช็อนนะคะ’
“…ขอบคุณมากครับ ผมไม่รอบคอบเกินไปจริงๆ”
‘แต่ก่อนดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็สุขุมขึ้นแล้วนะคะ’
“อย่างนั้นเหรอครับ”
‘อ๊ะ ฉันไม่ได้พูดในความหมายเชิงไม่ดีนะคะ เป็นข้อดีค่ะ’
ฮาจุนยกยิ้มบางออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะบทสนทนาลื่นไหลไปอย่างสบายๆ เหนือความคาดหมาย
‘ว่าแต่ ฉันขอถามอย่างหนึ่งได้ไหมคะ’
“ครับ ได้แน่นอน”
‘เห็นรูปฉันหรือยังคะ’
“อ่อ ครับ……”
‘เป็นยังไงบ้างคะ เอาตามตรงนะ’
“ฮ่าๆ ผมคิดว่าเป็นคนที่ผมเห็นแค่รูปก็รู้สึกว่าน่าเสียดายแล้ว”
เธอหัวเราะเสียงดังราวกับชอบใจในคำตอบ และคงไม่มีความคิดที่จะกดดันให้มาเจอกันให้ได้ บทสนทนาจบลงอย่างเรียบง่ายโดยเธอบอกว่าวันนี้ก็พยายามให้เต็มที่ และพูดติดตลกว่าถ้าเปลี่ยนใจก็ให้ติดต่อมา เธอดูเป็นคนสดใสจริงๆ
“ขอให้กลับถึงบ้านปลอดภัยและเป็นวันที่ดีนะครับ ขอบคุณมากที่เข้าใจผม”
‘ค่ะ ขอให้เป็นวันที่ดีของคุณโค้ชเช่นกันนะคะ’
จิตใจที่อึมครึมและรู้สึกอึดอัดขณะเริ่มสนทนากลับรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น แต่ว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ทันทีที่วางสาย ความเป็นจริงที่อยู่ด้านหลังก็โถมเข้าใส่จนรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อฮาจุนเดินกลับไปหามูคยอมอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ทำหน้าบึ้งคิ้วขมวดอยู่ก่อนแล้ว ฮาจุนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าพร้อมพูดขอโทษ
“ขอโทษที่คุยโทรศัพท์นานไปหน่อยในเวลาฝึกนะ ตั้งสมาธิอีกครั้งกันเถอะ”
“นายบอกว่าไม่อย่างโน้น ไม่อย่างนี้ แต่ฉันลองใช้สมองคิดดูครั้งหนึ่งแล้วนะ”
“อะไรนะ”
มูคยอมเหลือบตามองราวกับไม่พอใจแล้วพูดเสียงเบาลง
“นายก็มีเรื่องเข้าใจผิดเหมือนกัน”
“บอกให้มีสมาธิกับการซ้อมไง”
“ไม่ใช่แค่เรื่องจัดการความต้องการทางเพศ แต่ฉันน่ะ ถ้าไม่ใช่อีฮาจุน ถ้าไม่ใช่นายก็ไม่ได้หรอก”
คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง จู่ๆ ก็พูดเรื่องอะไรกัน
หัวใจของเขาทำท่าจะเต้นถี่รัวก่อนจะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์เสียอีก แน่นอนว่าเขาโกรธมูคยอม แต่หูอันไร้จุดยืนของเขากลับให้ความสนใจในคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่าย เขาเกลียดหูของตัวเองที่เป็นแบบนั้นแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจตัวเองได้
“ถ้านั่นคือปัญหา ฉันก็คงจะไปหาใครก็ได้สักคนแล้วแก้ปัญหานั้นตามที่นายบอกแล้วสิ จะยังเหี่ยวอยู่แบบนี้เหรอ”
“…นายหมายความว่ายังไง”
“ช่วงที่นายไม่อยู่ ฉันถึงได้รู้ ไม่ว่ายังไงถ้าไม่ใช่นาย… ร่างกายฉันก็เหมือนจะไม่มีอารมณ์กับใครเลย”
“จู่ๆ ทำไมเป็นแบบนั้น”
มูคยอมอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยักไหล่ราวกับบอกว่ามันซับซ้อน
“เหตุผลมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ แค่คิดว่าเพราะเราเหมาะสมกันดีก็พอแล้วนี่ ร่างกายของพวกเราเข้ากันได้ดีมากๆ นายเองก็ไม่น่าจะปฏิเสธเรื่องนั้นได้”
“…”
“ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้ว ว่าฉันก็ไม่เคยยึดติดกับใครแค่คนเดียวแล้วรักษาความสัมพันธ์ไว้นานแบบนี้ ดูเหมือนว่าการนอนกับนายจะกลายเป็นความเคยชินของฉันไปแล้วละ นายเองก็เคยเล่นกีฬา เพราะฉะนั้นก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าจู่ๆ ถ้าหยุดเรื่องที่เคยทำซ้ำๆ อย่างกะทันหัน มันก็จะเสียจังหวะ”
พูดเสียยาวเหยียด สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับการขอให้กลับมามีความสัมพันธ์แบบคู่นอนกันอีกครั้งเลยสักนิด ฮาจุนช่วยสรุปคำพูดของอีกฝ่ายให้อย่างใจดี
“ฉันจะต้องนอนกับนายเพื่อจะได้ปรับให้สภาพร่างกายของนายดีเยี่ยมงั้นสิ”
คำพูดนั้นทำให้มูคยอมจ้องฮาจุนตาเขม็งเงียบๆ ไม่มีอะไรต้องกลัว ฮาจุนเองก็เขม้นมองอีกฝ่ายกลับไปเหมือนกัน
“เข้าใจแล้วน่า เข้าใจแล้ว”
ทันใดนั้น มูคยอมก็ยกมือขึ้นราวกับบอกว่ายอมแพ้พร้อมกับพยักหน้า
“คบกันเถอะ คบเป็นแฟนกัน พยายามถึงขนาดจะไปนัดบอดแล้วจะได้อะไร ห่างกันไปครั้งหนึ่งแล้ว จะกลับมาเป็นคู่นอนกันอีกครั้งก็น่าจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี งั้นก็เอาแบบนั้นแล้วกัน คราวนี้โอเคแล้วใช่ไหม”
“บอกว่าให้พอได้แล้วไง!”
ฮาจุนขึ้นเสียงดังโดยไม่รู้ตัว พอตะโกนออกไปแล้วถึงได้ชะงักไปและสังเกตดูรอบข้าง แต่ไม่ว่าจะโค้ชหรือนักกีฬา การตะโกนเสียงดังในระหว่างฝึกซ้อมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอย่างนั้นทั้งนักกีฬาและสตาฟจึงไม่มีใครจ้องมองพวกเขาทั้งคู่อยู่เลย
ฮาจุนเสยผมขึ้นหนึ่งครั้งแล้วจึงพูดเสียงเบาลงอีกครั้งราวกับกระซิบ
“คิมมูคยอม ฉันแค่หาวิธีที่จะได้อยู่ข้างนายเท่าที่จะทำได้เท่านั้นเอง ฉันคิดว่าจะอดทนอยู่ข้างนายได้ไม่ยากแต่ก็คิดผิด ต่อให้ฉันโง่มากแค่ไหน ฉันก็ไม่ทำพลาดเรื่องเดิมซ้ำสองหรอกนะ”
มูคยอมถอนหายใจออกมาจากริมฝีปาก ดูไม่เหมือนการถอนหายใจเพราะอึดอัดหรือเหนื่อยหน่ายกับบทสนทนาที่ไม่เป็นไปตามความตั้งใจเลย ดูราวกับว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดใจกับสถานการณ์นี้จริงๆ
“อะไรที่ทำให้มันยากขนาดนั้นกันแน่ ที่ผ่านมา ฉันกับนายก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเซ็กส์เลยนี่”
น้ำเสียงมูคยอมฟังเหมือนกับว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจได้จริงๆ ฮาจุนซึ่งเผชิญหน้ากับมูคยอมรับรู้ได้ดีกว่าใครว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะแดกดันหรือเย้ยหยัน
ป่านนี้แล้ว คิมมูคยอมไม่เข้าใจจริงๆ น่ะเหรอว่านั่นอาจจะเป็นส่วนที่ยากก็ได้?
“…แค่เรื่องนั้นยังไม่เข้าใจแล้วฉันจะทำอะไรกับนายมากกว่านี้ได้ยังไง”
“ขอโทษก็ไม่เอา จ่ายเงินชดใช้ก็ไม่เอา คบเป็นแฟนก็ไม่เอา… ถ้างั้นหมายความว่าไม่มีวิธีไหนเลยใช่ไหม ฉันเพิ่งเคยขอใครคบเป็นครั้งแรกนะ ถึงอย่างนั้นก็ยังปฏิเสธเหรอ”
พอถูกปฏิเสธข้อเสนอเป็นคู่นอน อีกฝ่ายก็เสนอฐานะคนรักอย่างกับบอกว่าให้กินอันนี้แทนสิ แล้วเขาต้องยอมรับอย่างว่าง่ายและซาบซึ้งใจด้วยอย่างนั้นเหรอ
หากปล่อยไว้เฉยๆ สักวันก็อาจโดนยกเรื่องนี้มาพูดให้รำคาญอีก ต้องพูดว่าอะไรถึงจะจบเรื่องลงได้ในวันนี้นะ ฮาจุนกัดเนื้ออ่อนนุ่มในปากแล้วจึงปริปากพูดขึ้น
“ใช่”
“…”
“ไม่ว่านายจะเป็นยังไง แต่ถ้าฉันไม่มีใจแล้ว แค่เซ็กส์ก็มีด้วยไม่ได้หรอกนะ”
คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของมูคยอมแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฮาจุนเบนสายตาทั้งที่ยังกังวลอยู่ในใจ เขาไม่ได้โกหก เพราะถึงเขาเกลียดอีกฝ่ายไม่ลงก็จริง แต่เขาก็ระงับจิตใจที่เคยร้อนรุ่มต่ออีกฝ่ายไปครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ เหมือนกัน
คางของมูคยอมเกร็งขึ้น ทำให้มองเห็นสันกรามขึ้นชัดกว่าปกติ เขาทอดสายตามองฮาจุนโดยไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นอีกครั้งอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“…ไตร่ตรองดูให้ดีๆ นะ ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีอะไรที่ต้องการจริงๆ ใช่ไหม”
“ไม่มี”
ฮาจุนตอบอย่างไม่ลังเลแล้วเงียบไป จากนั้นก็พูดต่อ
“ไม่มีจริงๆ ฉันไม่ต้องการอะไรจากนายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นายบอกให้กลับไปเป็นแบบเดิมกันใช่ไหมล่ะ แบบเดิม… นายจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำนี่นะ”
“นั่นมันเรื่องเมื่อตอนไหนกัน…”
“ถ้าจะให้ตอบจริงๆ ฉันอยากให้เราใช้ชีวิตกันอย่างไม่มีปัญหาในฐานะโค้ชกับนักกีฬาจนกว่าจะจบฤดูกาล”
“…”
“อยากให้นายลงเล่นได้ดีจนถึงครั้งสุดท้าย ให้ทีมของเราชนะลีก อยากให้ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรจนกว่าจะถึงวันที่นายกลับไป”
ระหว่างที่พูดความปรารถนา น้ำเสียงของฮาจุนราบเรียบเหมือนทรายละเอียดที่ไหลลงมาอย่างเงียบงัน อีกทั้งยังไร้ความรู้สึกพอๆ กัน ราวกับควบคุมความรู้สึกที่เคยท่วมท้นเอาไว้ได้แล้ว ฮาจุนเบนสายตามองไปยังด้านข้างของมูคยอมแล้วจึงค่อยๆ สบตากับอีกฝ่าย
“สิ่งที่ฉันต้องการมีเท่านี้ แค่นายตัดสินใจก็สามารถทำได้ทุกอย่างเลย”
“…”
“ถ้านายทำแบบนี้เพราะรู้สึกผิดหรือค้างคาใจกับฉัน… ฉันไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นก็พอได้แล้ว ฉันบอกแล้วไงว่าจะรับคำขอโทษน่ะ”
ฮาจุนเท้ามือลงบนเข่าพร้อมกับจัดการจบบทสนทนา
“พักสักหน่อยเถอะ นายดูเหมือนจะยังไม่พร้อมฝึกซ้อมเลยนะ ฉันก็โค้ชชิ่งตามปกติในสภาพแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะไปออฟฟิศแล้วเดี๋ยวมา ระหว่างนั้นนายตั้งสติ แล้วถ้ากลับมาก็หวังว่าจะได้เห็นนายอยู่ในสภาพพร้อมฝึกนะ”
ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วกำลังจะลุกขึ้น แต่มูคยอมก็คว้าข้อมือไว้อย่างฉับไว ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร คิดดูแล้ว เห็นบอกว่าไข้ขึ้นอยู่ตลอดเลยนี่ใช่ไหม คงเพราะแบบนั้น ดวงตาของมูคยอมจึงดูฉ่ำน้ำกว่าปกตินิดหน่อย
เขาไม่เหลือเยื่อใยอื่นแล้วแต่ก็ยังเป็นห่วง สู้ให้อีกฝ่ายแกล้งไม่สบายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขายังจะดีกว่า ในตอนที่ฮาจุนคิดแบบนั้น มูคยอมก็เปิดริมฝีปากแห้งผากพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ฉันรู้สึกชอบนาย”
อ๋อ