Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 62
จนถึงตอนนี้ในบรรดาคนที่เข้าหามูคยอมก็มีคนที่ต้องการทั้งร่างกายและหัวใจของเขา แต่ก็มีหลายคนที่เข้ามาเพื่อมองหาถังข้าวสารหรือของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ[1] มูคยอมไม่เคยคิดว่าความปรารถนาของมนุษย์ที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองนั้นไม่ดี ดังนั้นแม้ว่าคนเหล่านั้นจะเปิดเผยเจตนาที่ชัดเจนของพวกเขา มูคยอมก็เต็มใจที่จะให้สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างไม่ลังเลใจ
แน่นอนว่าพวกเขาสามารถตักตวงได้ตามใจชอบเลย การที่ได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่รู้สึกได้ถึงความล้มเหลวและสับสนของสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพราะมั่นใจว่าหลอกมูคยอมได้นั้นถือว่าเป็นโบนัส
ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหลอก เขาก็ยอมให้อีกฝ่ายหลอกไปจนจบ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์เพียงอย่างเดียวที่ลูกวัวตรงหน้านี้ทำได้คือกระโดดขึ้นไปบนเตาและทำให้ผู้คนประหลาดใจ
“หันมานั่งดีๆ สิ”
ฮาจุนที่นั่งพิงหลังอยู่ที่หน้าอกของมูคยอมหันตัวบนเบาะกลับไปอย่างช้าๆ แล้วประจันหน้าสบตากับมูคยอม ขาของพวกเขาเกี่ยวกันไว้จนทำให้ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเคย ใบหน้าที่เล็กเมื่อเทียบกับความสูงถูกมือทั้งสองข้างของมูคยอมประคองเอาไว้ เมื่อถูกโอบแก้มและประกบริมฝีปากโดยไม่บอกล่วงหน้า ความรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยและสั่นราวกับตกใจก็ส่งผ่านออกมาจากริมฝีปาก
พวกเขาจูบกันสั้นๆ เพื่อให้มีเสียงจุ๊บๆ ดังออกมาเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ ใช้ลิ้นกดน้ำหนักลงไปเพื่อเปิดริมฝีปาก อีกฝ่ายเปิดริมฝีปากออกราวกับว่ากำลังรอคอยอยู่
อื้มม เสียงขึ้นจมูกพร้อมกับลิ้นอันนุ่มนิ่มของฮาจุนทักทายมูคยอม
ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงตอนนี้ จูบของฮาจุนที่ดูดดึงลิ้นของมูคยอมราวกับนกน้อยที่กำลังรออาหารนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ถ้าอยากกินขนาดนั้นจะขอมาเลยก็ยังได้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในบรรยากาศเมายาเหมือนเมื่อวาน อีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเอ่ยปากร้องขอออกมาก่อนอย่างแน่นอน หากอีกฝ่ายต้องการเพียงเท่านี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำสิ่งนี้ให้มากหน่อย
“ฮู่ ฮ่า”
เมื่อผละริมฝีปากออกไปครู่หนึ่ง ลมหายใจที่หายใจออกมานั้นช่างหวาน รู้สึกได้ว่ากลิ่นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายที่เปื้อนน้ำกามเมื่อก่อนหน้านี้หอมหวาน
และก็เคยขอให้กอดด้วยสินะ หลังจากจูบแล้ว มูคยอมก็กอดอีกฝ่ายแน่นในอ้อมแขนของตนเอง เขาก้มศีรษะและใช้ริมฝีปากลูบไล้ต้นคอขาวใส คออุ่นขึ้น ตอนนี้อีกฝ่ายคงไม่หนาวแล้วสินะ
“ทำไมนาย…ถึงไม่คบกับใครเลยล่ะ” มีคำถามออกมาจากฮาจุนที่บอกว่าจะไม่ถามอีกแล้ว
ตอนแรกมูคยอมสงสัยว่าฮาจุนเปิดใจให้เห็นอย่างกะทันหันหรือเปล่านะ แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่พูดออกมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยจริงๆ
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะ”
“ถ้ามีแฟน นายน่าจะดูแลแฟนได้เป็นอย่างดีเลย แต่ว่านายกลับไม่คบใครเลยน่ะสิ”
“เพราะว่าฉันดูแลนายดี นายถึงได้คิดแบบนั้นสินะ”
ฮาจุนไม่ปฏิเสธ อีกฝ่ายทำแค่เพียงมองไปที่มูคยอม
“เพราะว่าคู่นอนไม่ทำให้ลำบากใจไงล่ะ มีน้ำใจมันก็ดี แต่ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ มันจะยุ่งยากมากขึ้น ทั้งเกาะติด ทั้งผูกมัด เหลือทิ้งไว้แค่เรื่องน่ากลัวเท่านั้น”
“แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมดนี่นา อย่างตอนนี้จองคยูก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับภรรยานะ เขาบอกว่าตั้งแต่คบกันจนถึงตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่เคยทะเลาะกันเลย”
“ไอ้คนสอดรู้คนนั้นเป็นกรณีพิเศษไง เคยเห็นคู่อื่นอีกไหมที่ไม่ใช่อิมจองคยู”
จากนั้นฮาจุนก็ปิดปากของตนเองด้วยสีหน้าที่คลุมเครือ จองคยูและภรรยาได้รับคำชมว่าเป็นคู่ที่ดูดี เพราะบนโลกนี้ไม่ได้มีกิ่งทองใบหยกอย่างพวกเขามากนัก อิมจองคยูคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนตนเอง ดังนั้นเขาจึงมักจะบ่นจู้จี้ให้แต่งงานและลงหลักปักฐาน แต่มันเป็นเรื่องไร้สาระของคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นจริงของโลกนี้
“งั้นพอแค่นี้ ใส่เสื้อผ้า เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“อื้อ”
ในขณะที่ฮาจุนกำลังสวมเสื้อผ้าที่ถอดไว้ มูคยอมที่ลดกางเกงลงเพียงเล็กน้อยนั้นก็ได้ลงจากเบาะหลังและย้ายไปยังที่นั่งคนขับ ไม่นานประตูที่นั่งข้างคนขับก็เปิดออก ฮาจุนนั่งลงบนที่นั่งที่ว่างเปล่าและรัดเข็มขัดนิรภัย
กริ๊ก สายตาของมูคยอมจับจ้องอยู่ที่หลังมือและข้อมือสีขาวนวลของฮาจุนที่ใช้ล็อกเข็มขัดนิรภัย
เขาตกใจและใจเต้นตึกตักจนแทบจะอาเจียนออกมา ทั้งแผ่นหลังที่เคยถูกรั้งเอาไว้และแรงที่จับข้อมือไว้แน่นจนขึ้นรอย เขารู้ดีว่าคำสารภาพรักของโค้ชอีฮาจุนที่โกหกเก่งอย่างคาดไม่ถึงนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก
“คิมมูคยอม”
“อืม”
ฮาจุนเรียกชื่อมูคยอมที่ชวนตนเองกลับ แต่ดันไม่ยอมออกรถแล้วนั่งเฉยๆ ราวกับว่าแปลกไป
มูคยอมสตาร์ตรถทันที ฮาจุนนั่งตัวตรงเช่นเคยในขณะที่รถกำลังแล่น ฮาจุนเหนื่อยเพราะต้องอยู่ในรถแคบๆ โดยที่มูคยอมกระแทกเข้ามาอย่างไม่หยุดพักในขณะที่เสร็จสมอารมณ์หมายไปถึงสามรอบ
เมื่อมาถึงด้านหน้าของอพาร์ตเมนต์ ก่อนที่จะเปิดประตูรถและลงจากรถ
ฮาจุนพูดอย่างจริงจังราวกับเป็นคู่มือฝึกซ้อมอีกครั้ง
“คิมมูคยอม ถ้าอยากทำอีกก็บอกนะ พรุ่งนี้ฉันว่าง”
“…ไหนนายเคยบอกว่าทำสองวันติดกันแล้วเหนื่อยไง”
“ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันชินกับมันแล้วละ”
จากนั้นก็ยิ้มราวกับเขินและพูดเสริมขึ้นมา
“ก็ถ้านายกลับไปที่ลอนดอนแล้ว ก็ทำไม่ได้น่ะสิ ถึงแม้ว่าจะอยากทำก็ตาม”
ขอบใจที่มาส่ง ฮาจุนทิ้งคำบอกลาไว้เช่นนั้น แล้วจึงพรวดพราดลงจากรถ เขารู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง เพียงเพราะเห็นอีกฝ่ายโบกมืออยู่ข้างนอกหน้าต่างรถที่เปิดอยู่
ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนถูกผลักไสออกไปหลังจากที่อีกฝ่ายบอกว่าชอบกันล่ะ
มันไม่เหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว แต่ถ้ามันค่อนข้างเหมือนกับความรู้สึกเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก นอกจากผู้จัดการทีมพัคจุนซองแล้วก็ไม่มีใครที่จะลองชี้แนะมูคยอม ที่จำได้อย่างเลือนลางคือครูประจำชั้นตอนที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้แสดงความใส่ใจมูคยอม ถามถึงตารางของเขาหลังจากเลิกเรียน หรือแอบแจกขนมให้เด็กคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับมูคยอมแล้ว ในเวลานั้นทุกอย่างน่ารำคาญไปหมด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาโยนขนมที่คุณครูให้ลงไปกองที่พื้นแล้วใช้เท้าเหยียบขยี้มัน ครูที่อายุยังน้อยมากอยู่คนนั้นค่อนข้างตกใจกับเหตุการณ์นั้น และตั้งแต่นั้นมา อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดกับมูคยอมอีกเลย พอเขาทำแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะเพิกเฉยหรือเมินเฉยต่อการกระทำนั้น และทำตัวเป็นครูที่เข้าอกเข้าใจมูคยอม ในตอนนั้นเองที่มูคยอมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพยายามทำตัวให้ห่างจากตนเอง
เขาหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง
ครั้งแรกที่เขามาส่งฮาจุนนั้น ที่อพาร์ตเมนต์มีกลิ่นหอมของดอกไลแลคฟุ้งกระจาย แต่ในตอนนี้มีเพียงกลิ่นสดชื่นของใบไม้และหญ้าคืบคลานเข้ามาอย่างเบาๆ
“เข้าบ้านไปได้แล้ว”
เขาไม่ได้หมุนตัว แต่ทำแค่เพียงปัดมือบอกให้ฮาจุนที่ลงจากรถแล้วแต่ยังไม่ยอมเข้าบ้านให้รีบกลับเข้าบ้านได้แล้ว หลังจากมองดูอีกฝ่ายนิ่งๆ สักพัก มูคยอมก็กลับรถ
อย่างเช่นทุกครั้งที่เขามาส่งฮาจุน เมื่อเราสองคนอยู่บนถนนระยะทางก็เลยดูเหมือนว่ามันสั้น แต่เมื่อขากลับเขากลับรู้สึกว่าระยะทางมันไกล
เมื่อมูคยอมขึ้นลิฟต์และเข้าไปในบ้าน เขาได้รับการต้อนรับด้วยความรู้สึกเงียบเหงาราวกับว่าเขามาที่หอพักชั่วคราว เขาอาบน้ำและดื่มน้ำหนึ่งแก้ว เปลี่ยนเป็นชุดคลุมแล้วก็นั่งลงบนโซฟา
‘ก็ถ้านายกลับไปที่ลอนดอนแล้ว ก็ทำไม่ได้น่ะสิ ถึงแม้ว่าจะอยากทำก็ตาม’
คำพูดที่ฮาจุนพูดก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา พอฟังคำนั้นแล้ว ตอนนี้ก็เหลืออีกไม่นานก็จะถึงวันที่ต้องกลับแล้ว อย่างมากก็ประมาณสี่เดือน
มูคยอมวางแผนไว้ว่าจะอยู่แค่หนึ่งฤดูกาลเท่านั้น เขาได้ทิ้งข้าวของส่วนใหญ่ไว้ที่ลอนดอน ยกเว้นเสื้อผ้าไม่กี่ตัวและรถยนต์สองสามคัน บ้านในลอนดอนเป็นบ้านที่เขาเลือกดูด้วยตัวเองอย่างพิถีพิถัน ต่างจากบ้านหลังนี้ที่เขามอบหมายให้ผู้จัดการหาให้โดยที่เขาไม่ได้ดูเลยแม้แต่ครั้งเดียว
บ้านของมูคยอมอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามกีฬาของกรีนฟอร์ด ถ้าวัดในหน่วยเกาหลีก็มีขนาดประมาณ 300 พยอง[2] และถ้ารวมสวนด้วยแล้วก็กินพื้นที่ขนาดใหญ่มาก ภายในได้รับการตกแต่งแบบสมัยใหม่ ซึ่งตรงข้ามกับภายนอกที่ดูเก่าแก่ ในสวนด้านนอกที่กว้างใหญ่มีต้นไม้อยู่หลากหลายพันธุ์ มีทางเดินเล่นเล็กๆ เชื่อมไปที่สนามหญ้าที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีทำให้สามารถเตะลูกบอลหรือกลิ้งไปมาได้ตลอดเวลา
ภายในบ้านก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกประเภท เช่น เครื่องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ อ่างจากุชชี่ขนาดใหญ่ และเครื่องฉายวิดีโอที่ไม่ต้องรู้สึกอิจฉาโรงภาพยนตร์เลย มูคยอมค่อนข้างผูกพันกับบ้านของเขาในอังกฤษ เพราะเดิมทีมันเป็นเพียงคฤหาสน์สมัยเก่าที่หรูหราและกว้างขวาง แต่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีลักษณะที่ทันสมัย แต่ทว่าถ้าหากเขากลับไปที่นั่นแล้ว เขาก็จะไม่ได้ไปรับหรือเลิกงานพร้อมกับฮาจุนอีก แล้วมูคยอมก็ไม่สามารถนอนเล่นในห้องนอนกับอีกฝ่ายได้
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ที่ตรงนั้นมันไม่มีอีฮาจุน ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไปสนามฝึกซ้อมในตอนเช้า มันก็จะไม่มีอีกฝ่ายอยู่ และไม่มีร่างของอีกฝ่ายที่ปะปนอยู่ในบรรดากลุ่มโค้ชอีกด้วย
มือขาวที่คอยสัมผัสและบีบเคล้นต้นขา เอว หรือไหล่ของมูคยอม ตอนที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นเขาก็เหลือบมองลงไปที่ใบหน้าที่กำลังจับจ้องร่างกายของเขาอยู่อย่างแผ่วเบา เขายิ้มอยู่ในใจและความสุขเล็กๆ นั้นก็จบลง
“…ก็ไม่เท่าไร”
เขารู้ดีว่าพอจบฤดูกาลแล้วความสัมพันธ์นี้ก็จะจบลง แต่เมื่อจินตนาการถึงภาพที่ไม่มีอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยอัตโนมัติ
ไม่มี
ไม่มีอีฮาจุน
เมื่อจินตนาการถึงการใช้ชีวิตในลอนดอนโดยที่ไม่มีอีกฝ่าย ความขัดแย้งก็ทิ่มแทงเข้าไปเหมือนกับเข็มที่ทิ่มร่างกายจึกๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่แสร้งทำเป็นว่าประกอบไม่ถูกต้องจนเสร็จ ก่อนที่จะมาที่นี่ นั่นคือชีวิตประจำวันของคิมมูคยอม แต่แล้วทำไมล่ะ
การยุติความสัมพันธ์กับคู่นอนที่ตายตัวนั้น ปกติแล้วเป็นเช่นนี้หรอกเหรอ เป็นประเภทที่ว่า ถ้าร่างกายที่คุ้นเคยราวกับนิสัยนั้นอยู่ดีๆ ก็หายไปจะรู้สึกแปลกๆ หรือเปล่านะ
เขารู้สึกลำบากใจ มีน้อยมากเช่นกันที่จะมีผลกระทบต่อสภาพร่างกายของนักกีฬาเช่นเดียวกับการบังคับให้ทำอะไรจนเป็นนิสัย
“…”
ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นเร็ว มูคยอมลุกพรวดพราดจากโซฟา โฉบไปมาราวกับคนประหม่าจากนั้นก็เดินไปที่ตู้เย็นและดื่มน้ำอีกแก้ว เขาวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างที่เคยทำมาแล้วจนเกิดเสียงดัง ตึง และจ้องมองที่กลางอากาศ
วิธีที่ผู้คนแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการผ่านคำพูด ก่อนหน้านี้ที่มูคยอมบอกให้ฮาจุนถามสิ่งที่อยากจะรู้ แต่จริงๆ แล้วเขาก็มีอะไรที่อยากจะถามฮาจุนเหมือนกัน
เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายรักเขาตั้งแต่เมื่อไร มีเหตุผลอะไรไหม ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร รุนแรงขนาดไหน ได้รับการตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการฟื้นฟูศักยภาพหรือระยะเวลาที่คาดการณ์แล้วหรือเปล่า ถ้าหากว่ามันยังไม่สายเกินไป ตอนนี้อยากจะเข้ารับการฟื้นฟูหรือเปล่า… มันเป็นคำถามที่ฟังดูเหมือนพลังการรักษาเพราะเกี่ยวข้องกับความรู้มากมาย แต่ถ้าตามที่จองคยูบอก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจบอาชีพทันทีเนื่องจากแรงกดดันทางจิตใจภายหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้
เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นที่มากเกินไปสำหรับสถานะคู่นอน ดังนั้นจนถึงที่สุดแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะถามคำถามนั้นเลย แต่ถ้าเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับสภาพร่างกายของอีกฝ่าย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มูคยอมหาคำตอบทันทีเพื่อหาทางออกให้สถานการณ์ที่ยากลำบากนี้
“ก็ไปด้วยกันเลยสิ”
ไม่มีเหตุผลใดเลยว่าทำไมทีมนี้ถึงเป็นตัวเลือกเดียวของอีฮาจุน เขาไม่รู้เกี่ยวกับส่วนอื่นๆ แต่ในแง่ของเทคโนโลยีการกีฬานั้นลอนดอนโดดเด่นกว่าที่นี่ในหลายๆ ด้าน แม้จะคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ถามพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน ว่าพอจบฤดูกาลแล้ว ไม่คิดจะไปลอนดอนด้วยกันเหรอ นี่เป็นการจับจองจากแมวมองอีกประเภทหนึ่ง
มันดีกว่าการทำงานเป็นโค้ชในเกาหลีมากทั้งในแง่ของประวัติการทำงานและในแง่ของข้อเสนอ ดังนั้นมันจึงเป็นผลลัพธ์ที่ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ฮาจุนต้องชอบแน่ๆ อีกฝ่ายอาจจะลังเลเพราะเดิมทีก็กังวลเรื่องครอบครัวมากอยู่แล้ว แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งสี่เดือน ในระหว่างนั้นก็คงจะหาทางได้
“ก็เอาสิ”
ด้วยความยินดีที่ได้คำตอบที่น่าพอใจ มูคยอมกำหมัดแน่นและตะโกนเยสในใจเหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็กแล้วโหม่งลูกโทษเข้าประตูตั้งแต่ตอนแรกในการแข่งขันหลังจากฝึกซ้อม
***
มือขาวจับที่ข้อมืออย่างฉับไว
อีกฝ่ายตัวเล็กกว่าเขา แต่เจ้าของมือที่จับเขานั้นมีแรงมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ มูคยอมหยุดมองท่าทางด้านหลังของอีกฝ่ายและเขาถูกดึงออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
มูคยอมตื่นขึ้นมาในเวลากลางดึก สายตาที่เบลอจากการหลับแล้วตื่นขึ้นมาจับได้แต่ภาพกลางคืนที่พร่ามัว มูคยอมกะพริบตาอย่างช้าๆ สองสามครั้ง ยกมือขึ้นแล้วมองไปที่ข้อมือของตนเอง คงยังฝันอยู่สินะ เพราะความรู้สึกที่ถูกคว้าข้อมือนั้นยังคงสดใหม่ แต่ทว่าเขากลับจำไม่ได้เลยว่าใครคือเจ้าของมือนั้น อีฮาจุน คนที่อยู่ในฝันของเขานั้น คือคนที่ดึงเขาไปในช่วงล่าสุด หรือคนที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้วกันแน่
อาจเพราะคำถามของฮาจุนเลยทำให้เขานึงถึงเรื่องในอดีตหลังจากผ่านไปนานแล้ว มูคยอมหลับตาลงอีกครั้งขณะที่ปัดเป่าความฝันอันยุ่งเหยิง แต่ทว่าเมื่อได้เริ่มแล้ว การคิดทบทวนนั้นก็ไม่หยุดง่ายๆ และเกิดขึ้นอย่างซ้ำซากในหัวของมูคยอม เขาจงใจล้มเลิกความพยายามที่จะหยุดคิดและปล่อยให้ความทรงจำนั้นหลั่งไหลไป
สิ่งแรกที่นึกถึงในวันแบบนี้คือ คอกหมู
มูคยอมเรียกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาถูกส่งไปราวกับห่อสัมภาระหลังจากที่ปีศาจและแม่ของเขาจากไปว่าอย่างนั้น ตอนที่อยู่ข้างนอก ราชาแห่งคอกหมูอันเล็กและซอมซ่อนั้นแสร้งทำตัวเป็นมนุษย์ พบปะผู้สนับสนุนและให้การต้อนรับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง ถึงแม้ว่าราชาหมูจะได้รับเงินอุดหนุนก็ตาม แต่กลับเป็นคนไร้น้ำใจและโหดร้ายกับนักเรียนที่ต้องดูแลอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมูคยอมที่โตเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกันตั้งแต่ตอนเด็ก เขามีความสูง ร่างกาย และพละกำลังที่ต่างจากคนอื่น แม้แต่นิสัยของเขาก็ยังมีนิสัยที่ต่อต้านและไม่ยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ถ้าถามว่าลำบากไหม เขาจะตอบว่าเบื่อมากกว่า ในตอนนั้นแม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้ร้องไห้หรือหดหู่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ยอมจำนนต่อราชาหมูของคอกที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดทรมาน และจากจุดนั้นของมูคยอมยิ่งทำให้เขามีความบ้าระห่ำยิ่งขึ้น
‘พี่’
ในวันนั้นหลังจากที่เขาโดนผู้อำนวยการที่แหกปากกรีดร้องและฉุนเฉียววิ่งไล่ตีหลายครั้ง เขาก็นอนอยู่บนผ้าห่มผืนบาง เด็กวัยสี่หรือห้าขวบที่นอนอยู่ข้างๆ กระซิบเรียกมูคยอมเบาๆ มูคยอมที่เด็กคนนั้นคิดว่านอนหลับแล้วนั้นหันไปมองแวบเดียวแล้วถามขึ้นมา
‘มีอะไร’
‘ทำไมผู้อำนวยการถึงได้เกลียดพี่ขนาดนั้นล่ะ’
มูคยอมหันไปทางเด็กน้อยแล้วแย้มรอยยิ้มขึ้นมา
‘ไม่ได้เกลียด แต่กลัวต่างหาก เพราะว่าฉันเป็นลูกของปีศาจยังไงละ’
‘ทำไมพี่ถึงเป็นลูกของปีศาจล่ะ’
‘ถ้าปีศาจมีลูก เด็กที่ออกมาก็ต้องเป็นลูกของปีศาจน่ะสิ’
‘ไม่เห็นเหมือนปีศาจเลยสักนิด ผู้อำนวยการเหมือนปีศาจมากกว่าอีก’
‘ผู้อำนวยการไม่ใช่ปีศาจหรอก ปีศาจน่ะ น่ากลัวกว่านั้นเยอะเลย ผู้อำนวยการเป็นได้แค่หมูเท่านั้นแหละ หมูอู๊ดๆ’
‘หมูเหรอ ผู้อำนวยการอ้วนขนาดนั้นเลยเหรอ’
เด็กน้อยหัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องตลก
……………………………………….
[1] เข้าหาเพื่อมองหาของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หมายถึง การเข้าหาใครสักคนที่บิดามารดาเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องต้องดูแลหรือแบ่งมรดกให้บิดามารดาของบุคคลคนนั้น
[2] พยอง (평) หน่วยวัดขนาดของเกาหลี 1 พยองมีค่าประมาณ 3.3 ตารางเมตร