Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 59
ฮาจุนดันหน้าของมูคยอมออกไปก่อน แต่อีกฝ่ายก็ยังพยายามที่จะขอจูบอีกครั้ง ทั้งริมฝีปาก หน้าผาก ใบหู ไปจนถึงกระทั่งต้นคออีกต่างหาก ฮาจุนที่ตัวร้อนรุ่มจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อหลับตาที่เหนื่อยล้าแล้วหลับไปในที่สุด มูคยอมเช็ดเปลือกตาของฮาจุนเบาๆ แล้วชักมือออกมา ดูจากสภาพแล้วพรุ่งนี้ตาของฮาจุนคงบวม
เขาแค่นหัวเราะอย่างไร้เสียงออกมาให้กับการกระทำของอีกคนที่ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยสักนิด แต่กลับทำอะไรที่มันขาดสติราวกับดื่มเหล้ามา ก่อนที่จะนอนฮาจุนได้บอกที่บ้านไว้ก่อนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงไม่มีสายเรียกเข้าจากคุณแม่ของอีกฝ่าย
มูคยอมขึ้นไปบนชั้นสอง และคิดว่าตนเองก็ควรจะนอนสักหน่อย เขาสงสัยว่ามันจะเป็นอะไร ไหนๆ วันนี้ก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เขาเลยนอนหนุนหมอนอยู่ข้างๆ ฮาจุน
‘ฉันชอบนาย’
คำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาของฮาจุนดังก้องอยู่ในโสตประสาทและสีหน้าในตอนนั้นปรากฏเข้ามาในสายตาของเขาอีกครั้ง มูคยอมคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่สนุกสนาน แต่วันนี้เขากลับรู้สึกเหมือนโดนเสยหมัดเข้าที่คางโดยความประมาทของตนเอง
จู่ๆ ก็สารภาพรักในสถานการณ์แบบนั้นอย่างนั้นเหรอ แม้ว่าจะพลิกหาเรื่องราวการสารภาพรักทั้งหมดบนโลกใบนี้ ก็มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับการสารภาพรักด้วยวิธีนี้
“เหอะ เหลวไหลเสียจริง”
มูคยอมบ่นพึมพำกับตัวเองราวกับสบถใส่ฮาจุนและจ้องมองขึ้นไปบนเพดานโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มูคยอมมีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่าเขารู้สึกถึงการจ้องมองของใครบางคนที่ไม่อยู่ที่นั่น
มูคยอมเอามือป้องปากกระแอมเมื่อเขานึกถึงภาพยนตร์อันน่าเบื่อที่เขาได้ดูเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นภาพยนตร์ไซไฟที่มีมนุษย์ต่างดาว เขาก็เลยนั่งหน้าทีวีเพราะคิดว่ามันก็พอดูได้ แต่บทสนทนาเชิงปรัชญาในภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อไป สุดท้ายมันก็เป็นหนังที่เขาดูได้แค่ครึ่งเรื่องแล้วก็กดเปลี่ยนช่องไป
ในขณะที่เขานึกถึงบทสนทนาทางธรรมอันน่าเบื่ออีกครั้งนั้น เขาก็พยายามที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ ใบหน้าอันหดหู่ของหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์พูดอะไรกับนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างมันขึ้นมานะ
‘ทำไมมนุษย์ถึงอยากเป็นผู้สร้างล่ะครับ’ และนักวิทยาศาสตร์ที่แสยะยิ้มด้วยความเย็นชาก็ตอบว่า ฉันชอบนาย…
มูคยอมจดจ่อไม่ได้เลย
ขณะที่สมาธิแตกกระเจิงริมฝีปากของเขาก็เหยียดขึ้นไปด้านบน ในที่สุดก็ดึงส่วนโค้งเรียบจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้างกระจายทั่วใบหน้าจนยากที่จะปิดบังไว้ได้ มูคยอมหลอกตัวเองไม่สำเร็จ เขาจึงยอมรับสภาพของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เยี่ยม ยอมรับเลย
บอกตามตรงว่าเขารู้สึกดีเลยละ
คำสารภาพรักที่ออกมาจากปากคู่นอนที่ว่า ‘ฉันชอบนาย’ หรือ ‘ฉันรักนาย’ นั้น ได้รักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งเรื่องไร้สาระที่เขาไม่อยากได้ยินมากที่สุดเอาไว้ แต่ทว่าคำพูดนั้นจากฮาจุนก็ไม่ได้แย่อะไร คนที่ทำหน้าเคร่งขรึมและคอยหลบหน้ามูคยอมในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับมาถึงขั้นที่บอกชอบกัน หากเขาจะรู้สึกถึงความชัยชนะหรือความพึงพอใจ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเปล่านะ
เพราะว่าชอบ จู่ๆ ก็เลยขอเป็นแฟนอย่างกะทันหัน เขามองว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยที่อย่างมากก็เหมือนแค่จะหยอดมุกจีบ หรือไม่ก็นอนลงข้างๆ โอบกอดแล้วขอให้เขาจูบ
มันไม่สำคัญเลยว่าจะชอบมูคยอมหรือไม่ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ล้ำเส้นเขาก็พอแล้ว ความรู้สึกแบบนั้นมันไม่สามารถห้ามกันได้ มนุษย์สามารถมีความตั้งใจได้อย่างอิสระและควรจะได้รับความเคารพในสิทธิเสรีภาพของมนุษย์
เหตุผลที่เขาระวังความรู้สึกจากความรักนั้นคือมันจะนำไปสู่ความปรารถนาที่อยากจะผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้ แม้ว่าในตอนแรกจะเป็นความรู้สึกที่กินใจ แต่เมื่อเริ่มพยายามผูกมัดอีกฝ่าย มันก็ทำให้คนอื่นใจสลายและไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องผลักไสอีกฝ่ายออกไป
มันเป็นสถานการณ์ที่เหลวไหล ถ้าหากถามว่าเขาตกใจกับการสารภาพรักที่กะทันหันนี้มากไหม ก็ไม่เลย เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากการทดสอบว่าอีฮาจุนนั้นมีความรู้สึกอย่างอื่นกับเขาหรือเปล่า
อย่างไรก็ตามความสงสัยที่มูคยอมมีมาระยะหนึ่งนั้นรุนแรงขึ้นหลังจากที่เริ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง แต่ความสงสัยนั้นก็ถูกบดบังด้วยท่าทางที่ตรงไปตรงมาของฮาจุน และเมื่อไม่นานมานี้มันก็เกือบจะหายไปเลย นอกเหนือจากนั้น การปรากฏตัวของยุนแชฮุน คนที่ไม่ได้เรื่องและแต่งงานแล้วคนนั้น ทำให้เขาสรุปในใจได้ว่า คำถามในตอนนั้นคือการคาดคะเนที่ผิด
เพราะเหตุนี้การถูกเสยคางในวันนี้จึงทำให้มูคยอมรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขไปพร้อมๆ กันอย่างคิดไม่ถึง ครั้งนี้การคาดการณ์ของเขาเป็นจริง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลเลยที่เขาจะไม่มีความสุข
อีฮาจุน ชอบฉันอย่างนั้นเหรอ
อย่างที่คิดไว้เลย อย่างนั้นเหรอ
มูคยอมหันไปมองหน้าฮาจุน ฮาจุนหลับตาและปิดปากเงียบราวกับแกะที่หลับใหลอย่างสงบสุข ดูเหมือนว่าความวุ่นวายเมื่อครู่นี้จะกลายเป็นเรื่องของคนอื่นไปเสียแล้ว มูคยอมมองหลังมือสีขาวนวลที่วางอยู่ข้างๆ แล้วหันไปยังใบหน้าและจับข้อมือของฮาจุนแน่นขึ้น เขาวาดภาพด้านหลังของฮาจุนที่กำลังเดินอยู่พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย
ในขณะที่หมุนดูข้อมือที่ถูกจับไว้อย่างแน่น มูคยอมก็มองมือของฮาจุนเพียงแค่แวบเดียว
กี่ครั้งแล้วนะที่ถูกคนอื่นลากไปแบบนั้นเพียงฝ่ายเดียว เป็นเดจาวูที่น่ายินดีเหลือเกิน นานมากแล้วที่มูคยอมได้ลิ้มรสความรู้สึกที่คิดถึงตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากผ่านไปนานโดยไม่เกี่ยวข้องกับตอนนั้นเลยผ่านฮาจุน
“โค้ชอี”
มูคยอมกระซิบเบาๆ ต่อหน้าฮาจุนที่กำลังหลับใหล
“ถึงอย่างนั้นก็ตาม นายก็ต้องดูที่ก่อนจะเหยียดเท้านอนสิ[1] ฉันไม่มีแฟนหรอก”
นิ้วชี้ยาวแตะปลายจมูกโด่งของฮาจุนเบาๆ ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำเบาๆ แล้วหายใจอย่างเป็นจังหวะที่สม่ำเสมออีกครั้ง ราวกับว่าแม้ในยามหลับใหลอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น
“อย่าเศร้ามากนักเลย เพราะฉันไม่คิดจะคบกับใครนอกจากนาย”
อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่มูคยอมคิดว่าไฟไหม้จริงๆ นั้น ท่าทางของอีฮาจุนที่ราวกับพลุ่งพล่านไปด้วยออร่าของความมุ่งมั่นที่จะช่วยชีวิตของเขาไว้นั้นน่าชื่นชมมากๆ เกือบมีคนที่เขาจะต้องตอบแทนบุญคุณเพิ่มอีกคนแล้ว
“ฉันยกย่องในความกล้าหาญของนาย เพราะฉะนั้นฉันจะดูแลนายดีๆ จนกว่าจะจบฤดูกาลนะ”
เขาอยากให้คะแนนสูงๆ แก่ฮาจุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ได้ข้ามเส้นที่เขาขีดไว้ในขณะที่สารภาพรัก ถ้าหากว่าอีกฝ่ายอยู่ในที่ของตนเอง เขาก็ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายว่าภายในใจของอีกฝ่ายว่าจะชอบหรือไม่ชอบเขา
พอคิดเช่นนั้น วันนี้ใบหน้าที่หลับตาสนิทก็เลยยิ่งดูพิเศษขึ้นไปอีก นี่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการไม่พูดอะไรจนถึงตอนนี้เลยหรือเปล่านะ ไม่นานมานี้เขาได้แค่เพียงสงสัยว่าที่อีกฝ่ายโกรธเคืองจนระเบิดออกมา นั่นเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดใจจากชายที่แต่งงานแล้ว
แต่พอรู้แบบนี้แล้วคงเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นแอบชอบเขาอยู่ในใจสินะ ฮาจุนที่คอยดูแลเป็นเขามาเป็นเวลาหลายเดือนไม่ได้แสดงอาการออกมาเลยจึงเอ่ยออกมาอย่างกระตือรือร้นจนน้ำตาไหล
มูคยอมต้องให้รางวัลฮาจุนเสียแล้ว ต่อให้ทำอะไรให้ไม่ได้ เขาคงต้องดูแลอีกฝ่ายให้ดีๆ ไปจนจบฤดูกาล มูคยอมหลับตาด้วยรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจอีกครั้ง
มูคยอมลืมตาขึ้นในขณะที่เขาขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งในอ้อมแขนของเขาที่กำลังเคลื่อนไหว เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นฮาจุนที่ดิ้นไปมาในอ้อมแขนของตนเอง
ทำอะไรของเขากันนะ
“ทำอะไรของนาย” มูคยอมที่กำลังหลับสนิท ถามด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียนิดหน่อย
“อ๊ะ โทษทีที่ทำให้ตื่น…”
เวลาแห่งการเดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะขอกอดขอจูบราวกับกระต่ายเมายานั้นได้ผ่านไปแล้ว โค้ชมืออาชีพที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากลับมาพร้อมกับความเขินอายในการแสดงออกอย่างไร้อารมณ์ตามปกติของอีกฝ่าย น่าแปลกที่มูคยอมรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยถามอย่างประชดประชันมากขึ้น
“ทำไมถึงได้ขยุกขยิกตัวแบบนี้ ฉันนอนอยู่นะ”
“ก็โทรศัพท์อยู่ฝั่งนั้น”
ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงสั่น ตื๊ดๆ เขาเดาว่าอีกฝ่ายคงวางมันลงบนโต๊ะเมื่อวานนี้และผล็อยหลับไป
“ก็เอาเองได้นี่นา”
“ก็นายไม่ปล่อยฉัน…”
ฉันเนี่ยนะ
มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาผล็อยหลับไปทันที แต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับพบว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง มูคยอมคิดว่าฮาจุนเป็นฝ่ายที่มุดเข้ามาในอ้อมแขนของเขาก่อนแน่นอน แล้วใครบอกว่าเขาจะกอดอีกฝ่ายไว้แล้วไม่ยอมปล่อยกันล่ะ
โกหกอยู่สินะ นี่เป็นเล่ห์เหลี่ยมจากที่ไหนกัน เมื่อมูคยอมไม่พอใจแล้วออกแรงแขนที่ดึงร่างกายของฮาจุนเข้ามากอดนั้น ฮาจุนก็บิดร่างกายของตนเองทันที
“คิมมูคยอม ปล่อยเลยนะ”
หลังจากที่บีบน้ำตาติ๋งๆ บอกว่าชอบเขา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจภายในระยะเวลาอันสั้น ถ้าชอบก็ไม่ควรที่จะอยากอยู่ห่างกันแม้แต่นิดเดียวเลยสิ มูคยอมเหลือบมองฮาจุนด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เขาลุกขึ้นแล้วเอี้ยวตัวไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้กับฝั่งที่มูคยอมนอนอยู่มากกว่า
มูคยอมหยิบโทรศัพท์มือถือของฮาจุนขึ้นมาและจับจ้องไปที่หน้าจอโดยมีชื่อผู้โทรปรากฏอยู่ก่อนจะยื่นให้กับอีกฝ่าย ดวงตาของเขาหรี่ลงเมื่อมองไปที่หน้าจอ
จองแจคยู ชื่อผู้ชาย
“ใครคือจองแจคยู”
“ก็โค้ชจองไง”
อ๋อ
ฮาจุนแย่งโทรศัพท์มาในขณะที่มูคยอมเหม่อไปชั่วขณะ
“ครับ โค้ชจอง อีฮาจุนครับ”
ครับ ก่อนไปวันนี้ผมจะส่งข้อมูลให้ทางอีเมลให้นะครับ ครับ
มูคยอมเงี่ยหูฟังเรื่องที่เกี่ยวกับงานล้วนๆ ต่อแล้วบิดขี้เกียจ จะว่าไปแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การฝึกช่วงครึ่งปีหลังนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้ว่าวันหยุดจะสั้น แต่ว่ามันก็สั้นเกินไป
ฮาจุนขยุกขยิกเลยทำให้เขาตื่นเร็วกว่าที่วางแผนไว้เล็กน้อย มูคยอมละจากฮาจุนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่และนำอาหารเช้าที่มาถึงเมื่อตอนเช้ามืดมาที่โต๊ะทานอาหารแล้วเปิดฝาครอบออก มองเห็นอาหารที่มีส่วนประกอบคล้ายอย่างเดิมเสมอๆ อาหารจำพวกแคลอรีต่ำ โปรตีนและวิตามินสูง เช่น อกไก่ บรอกโคลี และแคร์รอตเคลือบเงา
ขณะที่มูคยอมมองลงไปที่อาหารเช้าเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อบทสนทนาในโทรศัพท์สิ้นสุดลงฮาจุนก็เดินไปที่โต๊ะและเหลือบมองมูคยอมที่ตกอยู่ในห้วงความคิดเพียงปราดเดียว มูคยอมปลดสายรัดเอวของชุดคลุมออกแล้วพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“อาบน้ำแล้วออกไปข้างนอกกันเถอะ”
“หือ”
“ฉันเบื่อไก่ต้ม นี่เป็นการฝึกครั้งแรกของพวกเราหลังจากวันหยุด เพราะฉะนั้นเราไปกินอะไรดีๆ แล้วค่อยไปทำงานกันเถอะ”
ระหว่างที่มูคยอมไปห้องน้ำฮาจุนก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ตามมา
“มัวแต่ทำอะไรอยู่ ไปอาบน้ำกันเถอะ” มูคยอมเร่งเร้า
“อะ อื้อ ฉันเองก็จะไปอาบน้ำเหมือนกัน”
“มานี่สิ นายบอกฉันหมดเปลือกแล้วยังจะรักษาระยะห่างอะไรอีก”
ขณะที่เขายื่นมือออกไปและเอ่ยขึ้นมานั้นฮาจุนก็ลังเลแล้วก็รีบตามติดไปอย่างรวดเร็ว มูคยอมถอดชุดที่ฮาจุนสวมอยู่ทิ้งลงบนพื้น แล้วพาอีกฝ่ายเข้าไปในห้องน้ำ เพราะว่าไม่มีเวลาอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ ทั้งคู่จึงยืนอาบน้ำอยู่ใต้ฝักบัวและสระผมด้วยกันอย่างที่เคยทำในค่ายฝึก
ในบรรยากาศที่มองดูแล้วฮาจุนคงไม่สามารถอาบน้ำได้อย่างใจชอบ มูคยอมก็เลยสระผมและล้างหน้าให้ฮาจุน ปกติแล้วหลังจากที่ล้างหน้าขาวนวลแล้วก็จะเผยให้เห็นความขาวใสที่เปล่งประกายอย่างงดงามราวกับผลแอปเปิล มูคยอมวางผ้าขนหนูไว้บนใบหน้าที่เอาแต่กะพริบตาปริบๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อที่จะเช็ดตัวให้แห้ง
“อีฮาจุน นายมีเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนนอกเหนือจากที่ใส่เมื่อวานไหม”
“เอ่อ ไม่มี…”
“งั้นใส่นี่สิ มันอาจจะใหญ่ไปหน่อยสำหรับนาย แต่ใส่แค่วันเดียวคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เขายื่นเสื้อผ้าไซส์เล็กจากบรรดาชุดที่เขาเอามาด้วยและไม่ค่อยได้ใส่ให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายลังเลที่จะรับมาและพยักหน้า ในขณะที่มูคยอมคิดว่าเขาควรซื้อชุดสำรองไว้ให้อีกฝ่ายใส่นั้น ฮาจุนที่ใส่เสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้วก็กำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
เมื่อมูคยอมทำมือบอกให้ตามมา อีกฝ่ายจึงรีบเดินตามต้อยๆ ไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พวกเขาสวมรองเท้าและเดินผ่านโถงทางเดินทีละคน หลังจากขึ้นรถแล้วฮาจุนนั้นก็ประหม่าแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นมา
“คิมมูคยอม”
“ทำไม”
“…เรื่องที่ฉันพูดเมื่อวานนี้น่ะ”
มูคยอมขมวดคิ้วและหันไปหาฮาจุน
“ทำไมล่ะ พอได้สติแล้วเสียใจที่ทำลงไปเหรอ อยากย้อนกลับคืนหรือไง”
“หา ไม่ๆ”
ฮาจุนส่ายหน้าด้วยสีหน้างุนงง มูคยอมจ้องมองฮาจุนด้วยท่าทางที่ขอให้อีกฝ่ายพูดต่อ ฮาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“เมื่อวานที่ฉันป่วยแล้วนายก็ดูแล้วฉันน่ะ ดังนั้นบางที… ถ้านายรู้สึกไม่ดีหรือ…”
“แล้วถ้าฉันรู้สึกไม่ดีล่ะ”
“… ถ้าหากว่านายไม่อยากเจอฉันอีกหรือ… ถ้าอยากจะจบความสัมพันธ์แบบในตอนนี้ก็ช่วยบอกฉันที…”
เสียงค่อยๆ เบาลงเหมือนลดเสียงลำโพง มูคยอมแค่นหัวเราะแล้วก็หันหน้ามา
“ถ้าฉันจะพูดอย่างนั้น ฉันก็คงทำไปแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะทั้งอาบน้ำ แต่งตัว ขับรถพานายไปทานข้าวไหมล่ะ”
“…”
“ไม่ต้องกังวล ความสัมพันธ์นี้มันจะมีผลจนกว่าจะจบฤดูกาล ที่นายบอกว่าชอบฉันแล้วมันยังไง แค่ไม่เซ้าซี้ขอฉันเป็นแฟนก็พอ”
“ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
ฮาจุนส่ายหน้าทันที พอบอกว่าอย่าขอเป็นแฟนกัน อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าดีขึ้นด้วยซ้ำ มูคยอมพูดไม่ออกเลยกับการดูถูกของอีกฝ่ายที่ออกมาเองอย่างอัตโนมัติ
“มีอะไรดีเหรอถึงได้ยิ้มกริ่มอย่างนั้น”
“ฉันแค่กลัวว่านายจะหยุดมันตอนนี้”
“แล้วมันดีเหรอที่ไม่หยุด”
“อื้อ”
คนที่ได้รับคำสารภาพรักว่าชอบก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่สดใสกว่าปกติเช่นกัน ท่ามกลางความรู้สึกตื้นตันวุ่นวายที่ตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่ภายในใจนั้น พวกเขาก็มาถึงที่จอดรถของร้านอาหารเวียดนามที่พอจะทานเป็นอาหารเช้าแล้ว
ก่อนลงจากรถฮาจุนพูดกับมูคยอมด้วยสีหน้าและลักษณะการพูดที่คล้ายคลึงกับตอนที่เขาบอกข้อควรระวังที่สนามฝึกซ้อม
“คิมมูคยอม คุยกับฉันได้ตลอดนะถ้านายต้องการ ในอนาคตฉันจะให้ความร่วมมือและจัดลำดับความสำคัญให้ดีที่สุด”
“โค้ชอี นายกำลังให้คำแนะนำในการฝึกซ้อมอะไรในตอนนี้เนี่ย”
“…นายอาจจะได้เจออะไรที่คล้ายกันนี่นา เพราะมันคือสภาพร่างกายและปัญหาที่เกี่ยวกับนายโดยตรงยังไงละ”
“ถ้าในอนาคตฉันอยากมีอะไรกันบนรถ นายจะทำให้ไหม”
“ได้สิ เอาแบบนั้นก็ได้”
ฮาจุนตอบอย่างไม่มีความลังเลและแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงค่อยลงจากรถก่อน มูคยอมกลับเป็นฝ่ายที่สับสนวุ่นวาย เขานั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วหลับตาลง
ทำไมจู่ๆ ถึงได้ใจกว้างขึ้นมาได้ล่ะ เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อมันออกมาดูเหมือนกับคนที่ทำงานด้วยกันแล้วมีอะไรกันในที่ทำงาน ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูเท่กว่าเมื่อตอนที่ฮาจุนบอกชอบเขาแล้วน้ำตาและน้ำมูกไหลเหมือนกับโดนตีหัวมาอีกล่ะ
อะไร… นี่มันเป็นไปได้ด้วยดีเหรอ มูคยอมเอนศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อยและลงจากรถเดินตามฮาจุนไป พวกเขาทั้งคู่ทานอาหารด้วยกันบนระเบียงของร้านที่เปิดตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพร่างกายดีขึ้นแล้วหรือเปล่า ฮาจุนถึงทานข้าวได้เยอะตั้งแต่เช้า มูคยอมที่นั่งตรงข้ามแอบแสดงความประทับใจจากใจจริงในขณะที่คีบบะหมี่สองสามเส้นด้วยตะเกียบ
“โค้ชอีของฉัน พอถูกทิ้งวันต่อมาก็กินข้าวได้เยอะเลยนะ”
“ก็เมื่อคืนไม่ได้กินข้าวเย็นนี่…”
มูคยอมสั่งปีกไก่ไว้เป็นเมนูข้างเคียงให้ฮาจุนที่พูดจบท้ายประโยคราวกับเขินอาย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างไม่เร่งรีบแล้ว ทั้งคู่ก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม
“สวัสดีครับ โค้ช!”
“สวัสดีครับ พี่!”
……………………………………………………..
[1] ดูที่ก่อนจะเหยียดเท้านอน เป็นสำนวนเกาหลี หมายถึงให้คิดล่วงหน้าถึงผลลัพธ์เมื่อกระทำการบางอย่าง