Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 53
“ฉันคิดมานานแล้วว่านายน่าจะเหมาะกับงานที่ต้องใส่สูท”
“…”
“ฉันก็ต้องไปงานสัมมนานั้นเหมือนกัน ฉันจะเลือกชุดที่ฉันชอบให้นายใส่ ดังนั้นอยู่เงียบๆ แล้วรับไว้ซะ”
ไม่ทันได้ตอบอะไรพนักงานขายก็เดินกลับมา เธอเดินลากราวแขวนเสื้อติดล้อขนาดใหญ่มาตั้งตรงหน้า
“ฉันเลือกมาให้สองสามแบบ จะลองดูก่อนไหมคะ”
มูคยอมพยักหน้าพลางขยับเข้าไปใกล้ ก่อนใช้ปลายคางชี้ไปทางราวเสื้อบอกฮาจุนที่ยังคงยืนเหม่อเพราะไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร
“มาดูสิ”
ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความงุนงง ให้มาดูเสื้อที่ตนไม่เคยแม้แต่จะควักเงินซื้อ ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้เลยว่าสูทตัวไหนดีหรือตัวไหนดีกว่า ทว่าหากมองแค่เนื้อผ้า เขาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่านี่เป็นของที่มีราคาอย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึงสูท หากไม่นับรวมสูทที่ฮาจุนต้องใส่ให้เข้ากลุ่มตอนที่อยู่ทีมตัวแทน ช่วงที่น่าจะได้รับข้อเสนอดีๆ ฮาจุนมีเพียงสูท 1 ตัวที่ตัวแทนบริษัทซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการอยู่ ณ ขณะนั้น ซื้อให้เป็นของขวัญแสดงความยินดี จากที่พูดมาก็ผ่านมาแล้วสองสามปีเห็นจะได้
มันคงดูหมองลงไปนิดหน่อยหากเอาออกมาใช้ในตอนนี้ แต่เพราะว่าเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้หยิบสูทขึ้นมาใส่เท่าไหร่ ก็เลยไม่มีความคิดว่าจะซื้อตัวใหม่อยู่แล้ว ด้วยหน้าที่การงานของฮาจุน จึงไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องซื้อสูทใหม่ในทุกๆ ปี แล้วจากตอนนั้นรูปร่างของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย หากจำเป็นต้องใส่สูทจริงๆ เขาก็สามารถที่จะใส่ตัวที่มีอยู่ได้
“ตัวนี้เป็นไง”
หลังคำถามของมูคยอม พนักงานขายก็ชิงตอบขึ้นมาก่อนที่ฮาจุนจะได้เปิดปากพูด
“สูททรงมาตรฐานสองกระดุมแบบนี้ เหมาะสำหรับท่านที่มีรูปร่างดีไร้ที่ติและไม่จำเป็นต้องปกปิดส่วนใด ผ้าที่ใช้ผลิตในอิตาลีซึ่งทอจากขนแกะชั้นเยี่ยมจากออสเตรเลีย ด้วยสีที่ไม่ดำสนิท แต่เป็นสีเทาโทนเข้ม จึงทำให้ดูเป็นทางการ ในขณะเดียวกันก็ไม่ดูอึดอัดตาจนเกินไปด้วยนะคะ ทั้งโทนสียังเปลี่ยนไปตามแสงไฟได้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงเป็นสูทที่สามารถสวมใส่ได้ไม่ว่าในโอกาสใดค่ะ”
เธอหันมายิ้มให้ฮาจุนหลังพูดจบ
“ต้องลองใส่ดูก่อนนะคะ เราจะได้ปรับทรงเสื้อให้ได้ คุณลูกค้าจะลองตัวนี้ก่อนไหมคะ”
ในทีแรกฮาจุนตั้งใจจะปฏิเสธไปว่าไม่เป็นอะไร แต่เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของพนักงานขาย ฮาจุนก็ใจอ่อนขึ้นมา ต่อหน้าคนที่กำลังตั้งใจทำงานแบบนี้ ฮาจุนไม่สามารถที่จะยืนหยัดพูดว่าเขาไม่ต้องการมัน หรือบอกว่าเขาสามารถใส่สูทตัวที่มีอยู่ได้ เพราะแบบนี้ฮาจุนจึงพยักหน้ากลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นพนักงานขายจึงเดินนำไปยังห้องลองเสื้อ
ห้องลองเสื้อที่นี่มีกระจกติดอยู่รอบด้าน ในห้องมีตั้งแต่แจกันที่ภายในมีดอกไม้สด ยันโซฟาตัวเล็กที่ตั้งอยู่ ความกว้างของมันเหมือนกับห้องพักเล็กๆ ห้องหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นห้องลองเสื้อในร้านค้า หลังจากสองจิตสองใจอยู่สักพัก เขาก็ถอดเสื้อยืดออก และเริ่มใส่เชิ้ตขาวสำหรับออกงานด้วยความกดดัน
ก่อนนี้ฮาจุนคิดว่าสูทเป็นชุดที่ใส่แล้วอึดอัด แต่เมื่อได้ใส่จริงๆ มันกลับรู้สึกสบายกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหล่หรือขอบแขนเสื้อที่ตกลงมาอยู่เหนือข้อมือ มันดูต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่ใช่คนที่รู้ลึก แต่ก็สามารถรู้ได้เพียงมองครั้งเดียวว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ถูกสรรค์สร้างออกมาเป็นอย่างดี เมื่อสวมเสื้อเชิ้ต กางเกง เสื้อกั๊ก และเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จ เขาก็มองไปยังกระจก พูดตามตรงว่าแม้จะมองด้วยตาตัวเอง แต่เขารู้สึกว่ามันออกมาดูดีมาก ยิ่งเสยผมเผยให้เห็นหน้าผากทำให้เขาตะลึงกับภาพของตัวเองในเครื่องแต่งกายเนี้ยบเรียบร้อยที่ไม่ได้เห็นมานาน กว่าจะได้สติก็ตอนเสียงพนักงานขายดังขึ้น
“ให้ฉันเข้าไปช่วยใส่ไหมคะ”
“เอ่อ เรียบร้อยแล้วครับ”
ฮาจุนเปิดประตูเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ พนักงานขายที่ยืนรออยู่ด้านหน้าคลายปมคิ้วที่ขมวดอยู่ พร้อมเผยสีหน้าสดใสจากใจจริง เธอพูดขึ้นขณะช่วยจัดปกเสื้อเชิ้ตและปกสูท
“ชุดนี้เข้ากับคุณลูกค้าจริงๆ นะคะเนี่ย จะลองแบบอื่นด้วยไหมคะ ฉันว่าสีเทาที่สว่างกว่านี้ หรือโทนสีน้ำเงินก็น่าจะใส่ขึ้นนะคะ คุณลูกค้าน่าจะชอบเนื้อผ้าที่มีลายน้อยๆ”
มูคยอมค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายมองฮาจุนหัวจรดเท้า ไม่รู้ว่าเพราะพึงพอใจหรือเปล่า จึงได้เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“ไม่น่าจะต้องลองเพิ่มแล้วนะ ผมขอดูเนกไทหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้เลยค่ะ”
พนักงานขายรีบไปเอาแท่นโชว์เนกไทที่เตรียมไว้ก่อนหน้ามาให้ดู ก่อนหยิบเนกไทสองสามเส้นขึ้นมาสลับทาบข้างล่างใบหน้าของฮาจุน ทางด้านมูคยอมก็กำลังเลือกสีเนกไทด้วยใบหน้าที่จริงจังอยู่ไม่น้อย
ระหว่างนั้นฮาจุนทำได้เพียงแค่กำหมัดเบาๆ ด้วยความกระอักกระอ่วน เป็นความรู้สึกยุบยิบเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังคลานไปมาอยู่ในฝ่ามือ ทั้งๆ ที่ไม่มี
“เพราะว่าหน้าขาว สีแนวนี้ก็น่าจะเหมาะใช่ไหมครับ”
มูคยอมหยิบเนกไทสีส้มปะการังและสีม่วงอ่อนขึ้นมาและถามขึ้น ฮาจุนที่เหม่อไปพักหนึ่งเพราะตกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง สะดุ้งตกใจขึ้นมาและตั้งใจจะตอบกลับไป แต่คำถามที่ต้องการคนเห็นด้วยนั้นถูกส่งให้พนักงานขายต่างหาก พนักงานขายตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่เลยค่ะ คุณลูกค้ามีสีผิวขาวสว่าง ทั้งยังเครื่องหน้าชัด เหมาะกับสีสดใสแบบนี้เลยค่ะ ด้วยตัวสูทที่มีสีเข้มก็พาให้บรรยากาศดูสุภาพลงบ้างแล้ว หากไม่ใช่งานที่จริงจังมากนัก ดิฉันว่าเนกไทสีสว่างก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยนะคะ แถมยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ไม่ค่อยจะหยิบเนกไทสีแบบนี้มาใส่ ดังนั้นดิฉันว่าเหมาะเลยค่ะ ถ้าช่วงนี้จะใส่บ่อยๆ สีเบอร์กันดีแบบนี้ก็น่าจะเข้ากับคุณลูกค้านะคะ”
ตอนนี้ฮาจุนเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกเอามาตั้งไว้ มูคยอมพูดคุยกับพนักงานขาย พลางเลือกเนกไทสองสามเส้นขึ้นมา และบอกให้เธอช่วยเอาไปใส่กล่องให้ ระหว่างที่พนักงานขายเดินถือแท่นโชว์เนกไทไปยังเคาน์เตอร์ มูคยอมก็พูดขึ้น
“บรรยากาศในสถานที่จัดงานน่าจะค่อนข้างสุภาพ นายก็ใส่เนกไทสีน้ำเงินเนวีล้วนเส้นเมื่อกี้ไปแล้วกัน ส่วนที่เหลือนายก็เอาไว้ใส่ตอนที่จำเป็น”
“เอาจริงๆ ฉันแทบจะไม่ต้องใส่สูทไปไหนเลยนะ มีเนกไทแค่เส้นเดียวก็พอแล้ว”
ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และมุ่งหน้าไปทางเคาน์เตอร์ ฮาจุนที่ตั้งใจว่าจะเดินตามไปถูกพนักงานขายคว้าตัวไว้ เธอบอกว่าเขาจำเป็นจะต้องวัดตัวอีกครั้งเพื่อไปปรับแก้ทรงเสื้อ พนักงานขายใช้สายวัดตัวทาบไปตามร่างกายแต่ละส่วนของฮาจุน พลางทำสัญลักษณ์ในจุดที่ต้องปรับแก้เอาไว้ ก่อนบอกให้ฮาจุนไปเปลี่ยนเสื้อ เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องลองชุดอีกครั้งด้วยสติที่หลงเหลืออยู่เพียงครึ่ง
เมื่อออกมาจากห้องลองชุด ก็เห็นว่ามูคยอมกำลังถือถุงเสื้อขณะดูของอย่างอื่นไปพลางๆ เหมือนระหว่างที่เขาไปเปลี่ยนเสื้อ ของทุกอย่างจะถูกจ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังมุ่งความสนใจไปกับการมองหาของ ฮาจุนก็ลดเสียงเบาลงก่อนหันไปถามพนักงานขาย
“ทั้งหมดเท่าไหร่เหรอครับ?”
“ทั้งหมดนี่ชำระเงินเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ครับ คือผมแค่อยากจะรู้ราคา…”
“อ่า”
พนักงานขายยิ้มออกมาพร้อมยื่นใบเสร็จรับเงินให้ดู ขณะที่เขากำลังมองตัวเลขบนใบเสร็จด้วยความตกตะลึง มูคยอมก็ส่งเสียงขึ้นมาราวกับว่าลืมอะไรบางอย่าง
“ลองมาคิดดู นายยังไม่ได้หารองเท้าเลยนี่”
“ต้องการรองเท้าด้วยเหรอคะ”
คล้อยหลังคำถามของพนักงานขาย ฮาจุนตอบปฏิเสธออกไปอย่างไม่ลังเล
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ”
เขาคว้าแขนของมูคยอมที่เดินเข้ามาใกล้
“ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาแล้ว ไปกันเถอะ”
“ต้องซื้อรองเท้าด้วยสิ”
“ฉันใส่คู่ที่มีอยู่ก็ได้ ยังไงก็ต้องไปยืนหลังแท่นพูดอยู่แล้ว คงเห็นตรงเท้าไม่ชัดหรอก”
จะซื้ออะไรอีกไม่ได้ แค่ราคาบนใบเสร็จเมื่อกี้ก็ทำเอาเขาหน้ามืดตัวเบาหวิวเหมือนคนเป็นโรคเลือดจางแล้ว ในระยะเวลาเพียงน้อยนิดหลังจากที่มูคยอมเดินเข้าร้านเสื้อ หมอนี่ใช้เงินไปเกือบจะเท่ารายได้ครึ่งปีของเขาเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าฮาจุนเองก็เคยเป็นนักเตะอาชีพอยู่ช่วงหนึ่ง เงินที่เขาได้รับนั้นมากกว่าพนักงานออฟฟิศทั่วไป ยิ่งในช่วงขาขึ้นเขาก็เคยได้ข้อเสนอเป็นสัญญาหลายร้อยล้าน แต่ของราคาขนาดนี้มันไม่คู่ควรกับตัวเขาในตอนนี้เลย
การจับจ่ายที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาฮาจุนมึนงงจนพูดไม่เป็นคำ และได้เสื้อผ้ามา เพราะว่าไม่อยากจะให้หนี้บานปลายไปมากกว่านี้ ฮาจุนจึงลากอีกฝ่ายออกมาจากร้าน ทันทีที่ขึ้นรถมูคยอมก็เผยสีหน้าที่แสดงถึงความเสียดายออกมา
“ถ้าฉันบอกว่าจะซื้อให้ นายก็ควรจะซื้อสักคู่สิ”
ฮาจุนหันใบหน้าซีดเผือดไปทางมูคยอม แม้ท่าทีของเขาจะห่างไกลจากการแสดงออกของคนที่ได้รับของขวัญอยู่มาก แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่พูดไม่ได้
“แต่มันแพงเกินไป”
“พวกที่ขายถูกๆ มันเป็นสูทสำเร็จรูปไง ถ้ามีเวลา ฉันจะพานายไปสั่งตัดสูทใหม่ด้วยซ้ำ”
“แล้วมันมีความจำเป็นอะไรที่ฉันจะต้องใส่สูทตัวละหลายสิบล้านวอนด้วย”
“ถ้าสั่งตัดแบบพอดีตัว ราคามากกว่านั้นสามเท่าเลยนะ”
มูคยอมทำเพียงแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“ถ้านายบอกว่ามันแพงแล้วยังไง จะให้ฉันเอาของที่ซื้อแล้วไปขอคืนเงินเหรอ เห็นไม่พูดอะไรจนถึงตอนคิดเงินแท้ๆ แล้วจะมาโวยวายอะไรตอนนี้ ฉันทำอะไรแบบนั้นให้ไม่ได้หรอกนะ จะทำอะไรกับมันนายก็จัดการเองแล้วกัน”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ก็แค่…”
ขณะที่เตรียมตัวสำหรับงานสัมมนาอยู่ จู่ๆ มูคยอมก็ชวนให้ออกมาเจอกันหน่อย ฮาจุนออกมาด้วยความสบายใจเพราะมูคยอมบอกว่าใช้เวลาไม่นาน ไม่สิ เขาพยายามที่จะออกมาด้วยใจที่สบายต่างหาก
‘ใช้เวลาไม่นาน’ ในคำพูดนั้นมีทางแยกอยู่สองทาง คือเซ็กส์แบบฉับพลัน หรือกิจกรรมอะไรสักอย่างที่จะเกิดขึ้นแบบกะทันหัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือทางแยกที่สอง มันน่าตกใจพอๆ กับครั้งก่อน เพราะวันนี้มูคยอมไม่ได้เมามายแต่อย่างใด ฮาจุนปล่อยใจตามไป ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แล้วทำไมต้องไป คิดซะว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จนสุดท้ายก็ได้รับของที่ราคาเกินตัวมาแบบนี้
“รู้เรื่องอื้อฉาวไร้สาระของฉันขนาดนั้น แต่ไม่รู้หรือไงว่าฉันได้เงินค่าตัวเท่าไหร่? แปลกตรงไหนที่ฉันจะซื้ออะไรแบบนี้”
เมื่อเห็นมูคยอมบ่นอุบออกมาราวกับว่ากำลังอารมณ์เสีย แม้จะช้าไปสักหน่อยแต่ฮาจุนก็ดึงสติของตัวเองกลับมา ก่อนเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
“ขอบใจนะ มันแค่..กะทันหันไปหน่อย ฉันก็เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้”
“ถ้าเป็นอิมจองคยู หมอนั่นคงจะดีอกดีใจแล้วรับของไว้ แถมบอกชอบใจที่มีเพื่อนเงินเยอะแบบนี้”
“…”
“แต่นี่เพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นถึงคนที่มีเซ็กส์ด้วยกัน แค่ของแบบนี้จะรับไม่ได้เลยเหรอ”
ฮาจุนกำลังสับสน มันไม่ง่ายเลยในการตัดสินใจว่าควรจะตอบกลับอีกฝ่ายว่าอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เขาควรจะตอบกลับไปว่าดีใจ หรือควรจะบอกว่าเสียใจ เขาควรจะโมโห หรือทำแค่หัวเราะแล้วปล่อยผ่านไป เมื่อไหร่ก็ตามที่โดนมูคยอมปั่นหัว เขาก็จะกลายเป็นคนโง่ที่ไม่สามารถเลือกอะไรได้ แม้จะเป็นตัวเลือกที่ง่ายสักแค่ไหนก็ตาม บางครั้งเขาก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่คืออะไร
กระดานวงล้อรูเล็ตกำลังหมุนติ้วด้วยความรวดเร็ว สีสันหลากหลายบนนั้นผสมรวมกันจนเป็นหนึ่งเดียว และฮาจุนต้องเลือกคำตอบที่ถูกต้องจากวงล้อนั้น แต่ในตอนนี้เขากลับไม่มั่นใจเลยสักนิด ดังนั้นฮาจุนจึงเลือกตอบสิ่งเขาคิดว่าเป็นคำตอบพื้นฐานที่สุดออกไป
“ฉันขอโทษ”
และต่อด้วยอีกหนึ่งคำ
“แล้วก็ขอบใจนะ”
เมื่อพูดจบ มูคยอมก็มองฮาจุนด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาในท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดคำตอบที่ผิด มูคยอมติดเครื่องยนต์ แล้วหมุนพวงมาลัย ขยับรถออกไปพลางเปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเสียดายเหมือนเมื่อตอนพูดเรื่องรองเท้า
“เห็นนายดูยุ่ง วันนี้ก็กลับไปพักเถอะ ไว้เดี๋ยวหลังจบงานสัมมนา นายจะต้องมาตอบแทนฉันที่เมื่อวันนั้นหนีกันไป”
“วันก่อนนั้นก็ทำไปแล้วแท้ๆ แต่นายยังจะทำต่ออีกนี่”
“ถ้าอย่างนั้นที่สัญญาไว้ก็ถือว่าหายกันหรือไง”
“นายนี่เอาแต่ใจอีกแล้วนะ”
มูคยอมใช้ปลายคางชี้ไปทางถุงเสื้อผ้าก่อนพูดขึ้น
“ถือไปให้ดีด้วยละ อย่าลงไปแต่ตัวแล้ววางทิ้งไว้”
ฮาจุนหยิบถุงเสื้อผ้าขึ้นมากอด แล้วมองเข้าไปด้านใน ข้างในนั้นมีกล่องเนกไทสองสามกล่องที่ถูกห่อเอาไว้ เขาได้รับมันมาอย่างไม่คาดคิดก็จริง แต่เพราะว่ามันเป็นเนกไทที่ดีเกินไปสำหรับตัวเอง ฮาจุนเลยรู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองเป็นไก่ที่ได้พลอยมาเลย ฮาจุนไม่สามารถที่จะย้ายจุดวางสายตาขึ้นจากด้านในกระเป๋าได้ เขาลังเลอยู่สักพักก่อนหันไปมองตามูคยอม แล้วพูดขึ้น
“คิมมูคยอม”
“ทำไมอีก”
“ฉันผูกไทไม่เก่ง…”
น้ำเสียงที่ดูไม่มั่นใจของฮาจุนทำเอามูคยอมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ
“แล้วตอนแรกนายคิดว่าจะทำยังไง”
“มันมีเนกไทที่แค่ปรับให้แน่นเฉยๆ ใส่ได้แล้วนี่ ฉันก็ตั้งใจว่าจะใส่แบบนั้นไป”
มูคยอมถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับว่าพูดไม่ออก
“หมายถึงเนกไทที่พวกเด็กใส่กับชุดนักเรียนเหรอ”
“มองไกลๆ ก็ไม่รู้หรอกน่า”
“แม่นายล่ะ ท่านผูกไม่เป็นเหรอ”
“วันนั้นแม่ฉันต้องรีบไปตามนัดหมอ ท่านต้องออกจากบ้านเร็วน่ะ”
“แล้วเมื่อก่อนทำยังไง น่าจะมีงานเกี่ยวกับตัวแทนทีมชาติที่ต้องผูกเนกไทไปบ้างสิ”
“ก็วานให้คนรู้จักผูกให้ทุกครั้งที่มีงานนั่นแหละ หรือถ้ารีบๆ หน่อยก็มีบ้างที่ผูกเอง…”
รถหยุดลงเมื่อสัญญาณจราจรเปลี่ยน มูคยอมหันไปยิ้มน้อยๆ พร้อมหรี่ตามองฮาจุน ทำไมอยู่ๆ ยิ้มขึ้นมาแบบนั้นล่ะ ถึงมูคยอมจะชอบทำแบบนี้อยู่ตลอด แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่ายได้เลย ฮาจุนหันไปมองใบหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่ง
“นายกำลังขอให้ฉันช่วยผูกเนกไทให้สินะ”
“…อะไรนะ ไม่ใช่สักหน่อย!”
มูคยอมค่อยๆ เอนหลังลงที่เบาะฝั่งคนขับ และถามขึ้น
“นายต้องไปถึงงานสัมมนาตอนกี่โมงล่ะ ก่อนเข้างานก็ออกมาหาฉันแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวผูกให้”
“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้บอกเพราะจะขอให้นายช่วยสักหน่อย”
“แล้วนายจะทำยังไง จะใส่เนกไทปลอมแบบนั้นเข้างานเหรอ? กับสูทราคาสิบล้านวอนอะนะ?”
“…”
“หรือจะไปไหว้วานให้คนอื่นที่ผูกเป็น ขอให้เขาผูกให้เหรอ”
เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถก็เริ่มเคลื่อนตัว มูคยอมเปลี่ยนทิศทางสายตาไปด้านหน้า แล้วพูดต่อ
“ลองแกะปมออกสักเส้นแล้วผูกใหม่ซิ ไหนขอดูหน่อยว่านายทำได้แค่ไหน”
“ไม่เอา”
“ทำไมอีก”
“เดี๋ยวนายก็มาล้อฉัน”
“คงผูกได้แย่เอาเรื่องจริงๆ สินะ”
มูคยอมหัวเราะคิกคัก ใบหน้าของฮาจุนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ บางครั้งแม่ของฮาจุนมักจะขำและบอกว่าเขาเป็นพวกฝีมือหยาบ เวลาขยับมือทำงานตามปกติฮาจุนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร แต่เมื่อต้องใช้ฝีมือทำงานชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาจะกลายเป็นเด็กที่มีคะแนนรั้งท้ายในทันที ตอนเด็กๆ เขาได้พ่อกับแม่ช่วยทำอะไรแบบนี้ให้ตลอดจนเป็นนิสัย ฮาจุนเลยเดาว่าเพราะแบบนี้ฝีมือของเขาก็เลยไม่พัฒนาสักที
วันแรกที่ได้พบกับมูคยอม แม้ว่ามือของเขาจะสั่นขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ได้สติหลุดจนไม่สามารถจะผูกเชือกรองเท้าเส้นเดียวให้ดีได้ ที่เป็นแบบนั้นเพราะก่อนที่พ่อของฮาจุนจะจากไป เขาไม่เคยผูกเชือกรองเท้ากีฬาด้วยตัวเองเลยสักครั้ง เอาจริงๆ ถ้าจะให้ผูกแบบลวกๆ ก็น่าจะทำได้อยู่ แต่การทำแบบนั้นกับเนกไทราคาแพงนั่นเขาคิดว่ามันก็ออกจะน่าเสียดายมากเลยทีเดียว
“นายปล่อยให้ฉันจัดการก็พอ ไหนๆ ฉันก็ซื้อชุดให้แล้ว คิดซะว่าเป็นบริการหลังการขายแล้วกัน”
เพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับคนที่กำลังขับรถอยู่ ฮาจุนจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ ตามที่มูคยอมพูดก็จริง มันดูไม่สมเหตุสมผลสักนิดกับการเอาเนกไทปลอมๆ มาใส่กับสูทราคาเกินสิบล้านวอน ขณะที่ฮาจุนกำลังว่ายวนอยู่กลางความรู้สึกบางอย่างของตัวเองที่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคืออะไร รถก็วิ่งแล่นอย่างรวดเร็วมาจอดลงหน้าคอนโดของเขา
“ส่วนเสื้อเดี๋ยวร้านเขาจะนัดเวลาส่งมาให้ นายก็เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”
พูดจบมูคยอมก็ทิ้งคำบอกลาสั้นๆ ก่อนจากไปโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดอีก ฮาจุนไม่ได้สนใจว่าวันนี้มูคยอมจะคิดยังไงบ้าง เขายืนอยู่ที่หน้าตึกจนรถของมูคยอมลับสายตา เมื่อกระโปรงรถสีบรอนซ์เงินค่อยๆ เล็กลง ไปปะปนอยู่กับรถคันอื่นๆ ที่ปลายถนน จนค่อยๆ หายไปจากสายตาแล้ว ฮาจุนจึงหิ้วถุงเสื้อหมุนตัวเดินออกไปอย่างอิดโรย
ฮาคยองกับมินคยองยังไม่กลับจากเรียนพิเศษ ส่วนแม่ก็ออกไปตามนัด บ้านที่ว่างเปล่า ทำให้ในตอนนี้เขาได้อยู่ดูบ้านเพียงลำพังสมกับที่รอคอย ทันทีที่เข้าห้อง ภาพที่สะท้อนให้เห็นคือโต๊ะที่ไม่เป็นระเบียบ บนนั้นมีสมุดหนังสือที่กางวางอยู่เต็มไปหมด