Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 37
♪♬♩
ฮาจุนที่นอนหลับสนิทลืมตาขึ้นมาทันทีเพราะเสียงโทรศัพท์ที่เหมือนจะได้ยินมาจากไกลๆ
ฮาจุนที่กะพริบตาอย่างเหม่อลอย ค่อยๆ รับรู้ว่าเขาไม่ได้ฝันหรือรู้สึกไปเองว่าได้ยินเสียงเรียกเข้าแต่เป็นเสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์ของตัวเองจริงๆ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันและมองดูนาฬิกาที่อยู่ตรงหัวนอนก่อน ตีสามแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับทีมหรือเปล่านะ โทรมาแกล้งกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ แล้วคนเสียสติที่ไหนจะโทรมาตอนตีสามกันล่ะ เมื่อฮาจุนที่คิดไปเรื่อยพร้อมกับถือโทรศัพท์อยู่ในมือเช็กว่าใครเป็นคนโทรมาก็ได้สติและรับโทรศัพท์ทันที
“คิมมูคยอม?”
‘นี่ อีฮาจุน’
ได้ยินเสียงของคิมมูคยอมที่ไม่มีความง่วงเลยสักนิด ซึ่งไม่เข้ากับเวลาตีสามเอาซะเลย ยังอยู่ข้างนอกหรือเปล่านะฮาจุนขยี้ตาแห้งๆ ที่ลืมขึ้นได้ไม่เต็มที่ของตน
“มีธุระอะไรตอนนี้เนี่ย”
‘อีฮาจุน ออกมาแป๊บหนึ่งสิ’
“…ว่าไงนะ”
‘ฉันอยู่หน้าบ้านนาย ออกมาแป๊บหนึ่ง ใช้เวลาไม่นานหรอก’
ฮาจุนไม่สามารถตอบออกไปได้ทันที และนั่งกะพริบตาอยู่ในความมืดอย่างงุนงงแต่แล้วก็จำเหตุการณ์ทำนองนี้เวลาที่มูคยอมพูดว่า ‘ใช้เวลาไม่นาน’ ได้ทันที มูคยอมมักจะพูดคำนั้นออกมาเวลาที่อยากจะมีเซ็กซ์ในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก แม้แต่ตอนที่ชวนให้ทำบนรถเป็นครั้งแรกก็พูดแบบนั้น ถึงจะไม่ใช่ทุกครั้ง แต่หลังจากนั้น มูคยอมมักจะใช้คำนั้นเกลี้ยกล่อมเขาให้มีเซ็กซ์ หรือให้ใช้ปากทำให้ และสุดท้ายก็ทำสำเร็จจนได้
ไม่ได้ออกไปหาผู้หญิงเหรอ… ไม่ได้ไปทำที่นั่นเหรอ… ไม่สิ อาจจะไม่ได้ทำก็ได้ แต่ก่อนจะไปก็ทำไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังจะทำอีกเหรอ…
‘ทำไมไม่ตอบล่ะ’
“อ่า โทษที เข้าใจแล้ว รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวฉันออกไป”
ฮาจุนรีบลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลวกๆ และเปิดประตูห้อง เขากลั้นหายใจและเดินให้เบาที่สุดก่อนจะค่อยๆ ตัดผ่านห้องนั่งเล่นไป เป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวหลับกันหมดแล้ว ได้ยินเสียงกรนดังคร่อกๆ ดังมาจากห้องของฮาคยอง
ฮาจุนที่เปิดและปิดประตูบ้านโดยไร้เสียงด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นโจรย่องเบา กระวนกระวายใจตลอดเวลาที่ขึ้นลิฟต์ลงไปข้างล่าง มูคยอมมาหาเขาตอนตีสามเหรอเนี่ย ถึงไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ก็กะทันหันและแปลกมาก ก็เลยรู้สึกเหมือนว่ามีสถานการณ์ที่ยุ่งยากเพราะอะไรบางอย่างก็ตามกำลังรอเขาอยู่
ลิฟต์พาฮาจุนลงมาถึงชั้นหนึ่งก่อนที่เขาจะสงบจิตใจที่กระวนกระวายได้เสียอีก ฮาจุนเดินออกจากประตูอพาร์ตเมนต์ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยที่ไม่มีระบบล็อกอัตโนมัติ ถึงจะเป็นตอนกลางคืนแต่อากาศก็ร้อนอบอ้าว ฮาจุนลูบหน้าขึ้นไปหนึ่งครั้งด้วยความอึดอัดที่ความชื้นร้อนๆ ที่คล้ายกับความกระวนกระวายใจห่อหุ้มผิวหนังเอาไว้
โครงการอพาร์ตเมนต์เก่ายังคงใช้หลอดไฟสีส้มล้าสมัยเป็นไฟข้างทางแทนการใช้ไฟ LED รุ่นใหม่ล่าสุด เงามืดๆ เดินไปตามบนทางเท้า และเห็นด้านข้างของชายร่างสูงที่นั่งซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออยู่บนม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ
ฮาจุนหยุดเดินด้วยความตกใจ ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าหน้าบ้าน แต่ก็คิดว่าคงจะรออยู่หน้าโครงการหรือไม่ก็ในรถ ไม่นึกว่าจะมาถึงหน้าตึกที่ตัวเองอาศัยอยู่จริงๆ ไม่รู้ทำไมเขาถึงหยุดยืนมองมูคยอมอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้มืดๆ โดยที่ไม่ได้เรียกในทันที
ทำไมถึงได้มาหาเขาเวลานี้กันนะ
ดูจากสีหน้าแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ดูอารมณ์ไม่ดีหรือร้อนใจเหมือนที่มักจะเป็นหลังจบการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นขายาวๆ ที่ยืดออกไปหน้าม้านั่งหรือใบหน้าที่อยู่ใต้เงาของไฟข้างทาง ถึงจะเพิ่งจะแยกจากกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แต่พอได้เห็นอีกครั้งก็ยังเท่เหมือนเดิม
“คิมมูคยอม”
ทันทีที่เดินไปไม่กี่ก้าวแล้วเรียกชื่อ มูคยอมก็หันหน้ามาและยืนขึ้นเมื่อเห็นฮาจุน การที่มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่สูงเกิน 190 เซนติเมตรมายืนอยู่ใต้เสาไฟกลางดึก ถ้าไม่รู้จักก็คงจะเป็นภาพที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายขึ้นเรื่อยๆ ฮาจุนก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากัน พอยืนประจันหน้ากันก็บ่นออกไปทันที
“ทำไมดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้ล่ะ”
“เปล่าสักหน่อย”
มูคยอมหัวเราะคิกคักราวกับสนุกอะไรนักหนา
“เปล่าอะไรกัน กลิ่นเหล้าหึ่งเลย นายจะดื่มเยอะขนาดนี้เพราะครึ่งแรกของปีจบลงไปแล้วไม่ได้นะ”
“ดื่มไปไม่เท่าไหร่เอง”
“แล้วรถล่ะ”
“อยู่ตรงทางเข้าโครงการน่ะ”
“…นี่นายไม่ได้ขับรถใช่ไหมเนี่ย”
“เรียกคนขับรถขับให้สิ ฉันสั่งให้เขารอแล้ว”
มูคยอมกำลังมองลงมาที่ฮาจุนพร้อมรอยยิ้มบางๆ สุดท้ายฮาจุนก็หยุดบ่นและได้แต่มองท่าทีของอีกฝ่ายว่าตั้งใจจะพูดอะไรถึงได้เมาและมาถึงที่นี่ในเวลานี้
“ฉันมาที่นี่เพราะมีของจะให้นาย”
แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของมูคยอมกลับเป็นสิ่งที่ฮาจุนคาดไม่ถึงเลยสักนิด ฮาจุนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และเอาแต่มองมูคยอมอยู่อย่างนั้น
มีของจะให้?
“เอาไปสิ”
จากนั้นเขาก็หยิบกล่องที่วางไว้บนม้านั่งขึ้นมาและยื่นมาให้ เป็นกล่องของขวัญที่ห่อกระดาษห่อของขวัญและผูกริบบิ้นเอาไว้ด้วย ชักจะเข้าใจสถานการณ์ได้ยากขึ้นทุกที ถึงจะรับเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงจึงได้แต่ยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น มูคยอมจึงขมวดคิ้วเข้าหากันและพูดกระตุ้นเขา
“ทำอะไรของนายอยู่น่ะ เปิดดูสิ”
“หือ? อือ”
เมื่อคลายริบบิ้นสีแดงออกพลางเหลือบมองมูคยอม กระดาษที่ห่อเอาไว้ก็แกะออกง่ายขึ้น ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างเมื่อลองเปิดฝากล่องออก พอเห็นของที่อยู่ในกล่องแล้วก็มองมูคยอมโดยที่ตายังคงเบิกกว้างอยู่อย่างนั้น ฮาจุนที่มองมูคยอมกับของที่อยู่ในกล่องสลับกันไปมา เป็นฝ่ายเปิดปากพูดออกมาก่อน
“ให้ฉันงั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว”
“ปะ ไปหามาจากไหน ช่วงนี้ไม่ได้วางขายที่ไหนเลยก็เลยหายาก”
“มีสิ่งที่มูคยอมหาไม่ได้ที่ไหนกัน”
มูคยอมเถียงกลับด้วยรอยยิ้ม ภายในกล่องมีตุ๊กตาแมวที่ไม่สามารถหาได้ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไป เนื่องจากสินค้าหมดสต๊อกเพราะความนิยมอันล้นหลามในช่วงนี้
มินคยองบอกว่าอยากได้มากเลยอยากให้เป็นของขวัญ แต่ถึงจะทำทุกวิถีทางแล้วก็หามาไม่ได้ แถมยังไม่มีกำหนดด้วยว่าจะเติมสต๊อกเมื่อไหร่ จองคยูที่เลี้ยงลูกก็ประสบปัญหานี้เหมือนกัน ทั้งสองเพิ่งจะคุยเรื่องตุ๊กตากันเมื่อไม่นานมานี้เอง ฮาจุนจำได้ว่าตอนนั้นมูคยอมเองก็อยู่แถวๆ นั้นด้วย
‘หรือว่าได้ยินที่คุยกัน ไปปาร์ตี้ที่โรงแรมแล้วไปซื้อตุ๊กตามาจากที่ไหนกลางดึกล่ะเนี่ย’
พอเกิดคำถามขึ้นมากมายในหัวก็ไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีตอบสนองยังไง ฮาจุนจึงได้แต่ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ คิดว่าต้องพูดขอบคุณออกไป แต่ก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แม้แต่คำขอบคุณจึงไม่ได้ออกจากปากง่ายๆ ถึงจะไม่เคยได้ยินว่าตัวเองไม่มีมารยาทหรือขอบคุณคนอื่นไม่เป็นมาก่อนในชีวิตก็ตาม
“ไม่อยากได้เหรอ”
พอฮาจุนไม่พูดอะไรออกมา มูคยอมก็เลิกคิ้วพลางถามออกมา ฮาจุนส่ายหน้าทันที
“ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่ ฉันอยากได้มากเลย ก็แค่ ตกใจนิดหน่อย…”
ฮาจุนเม้มปากเข้าหากันก่อนหนึ่งครั้งและพูดขอบคุณออกมาในภายหลัง
“ขอบใจนะ”
มูคยอมยิ้มกว้างจนเห็นฟันให้กับคำพูดขอบคุณของเขา เป็นสีหน้าที่แสดงให้เห็นเป็นครั้งคราว ไม่ใช่สีหน้าเวลาตกใจและไม่ใช่เวลาเยาะเย้ย แต่เป็นสีหน้าในเวลาที่ยิ้มออกมาโดยที่ไม่มีอะไรอยู่ในใจ ถึงจะเป็นใบหน้าที่ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นเด็กน้อยวัยสิบกว่าปีที่ฮาจุนชอบมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เห็นบ่อยๆ
จิตใจที่ร้อนรุ่มและสกปรกเหมือนมีคราบสกปรกหรือเขม่าดำติดอยู่ในตอนที่กลับมาที่บ้าน เปลี่ยนไปเป็นเหมือนกลุ่มเมฆสีขาวอีกครั้ง สำหรับฮาจุนแล้ว มูคยอมก็ไม่ต่างอะไรกับผู้มีพลังวิเศษที่มีความสามารถในการควบคุมจิตใจของเขาหลายต่อหลายครั้งต่อวัน เมื่อบรรยากาศอ่อนโยนขึ้น ฮาจุนก็รู้สึกว่าน่าจะถามในสิ่งที่เมื่อกี้ยังไม่ได้ถามออกไปได้
“ไหนว่าไปปาร์ตี้ที่โรงแรมไง ไม่ได้ไปเหรอ”
“ไปสิ”
“สนุกไหม”
“โคตรจะไม่สนุกเลย รู้งี้เล่นกับนายต่อดีกว่า”
ใบหน้าของเขาแดงและสำลักออกมาเพราะคำพูดนั้น น้ำเสียงเบาลงโดยอัตโนมัติ
“ฉันคิดว่านายคงมีคนให้ไปเจอ”
“อ่า”
จากนั้นมูคยอมก็ขมวดคิ้วเข้าหากันและเสยผมขึ้น เขาวางมือไว้หลังคอราวกับตัดสินใจลำบาก และกลอกตาไปด้านข้างพร้อมกับบ่นพึมพำออกมา
“อ่า…ลืมไปเลย บอกให้รอนี่นา”
“…”
“ช่างเถอะ คงรอได้ไม่นานหรอก ยังไงก็ไม่ได้จะไปเจออีกอยู่แล้ว คงจะโดนด่านิดหน่อยล่ะนะ”
“ทำยังไงล่ะเนี่ย คงจะไม่เข้าท่าแล้วล่ะมั้ง”
ปล่อยให้ชายหนุ่มบ่นพึมพำคนเดียวราวกับสิ้นหวัง ด้วยความที่ไม่รู้จะตอบยังไงดีทำให้เขาเออออตามอีกฝ่าย มูคยอมที่หันไปทางอื่นเลยเบือนหน้ามาปรายตามองฮาจุน
“ที่จะพูดมีแค่นั้นเหรอ”
“หืม ถ้างั้น ฉันมีอะไรต้องพูดเรื่องเขากับนายเหรอ”
ฮาจุนอยากรู้ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงมองตนเอง เขาจึงปิดปากและหลุบตาลง พร้อมกับทำหน้ายู่ทันที
“โอ๊ย เจ็บ”
เพี๊ยะ ฮาจุนรู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาและใช้ฝ่ามือตีแขนของตัวเอง ออกมายืนอยู่ข้างนอกในคืนฤดูร้อนไปสักพักก็กลายเป็นอาหารของยุงจนได้ แต่แล้วมูคยอมที่จ้องมองฮาจุนด้วยดวงตารูปสามเหลี่ยมก็หลุดขำออกมาและเงยหน้าขึ้น
“เข้าบ้านไปได้แล้ว ก่อนที่จะโดนกัดมากกว่านี้”
“…มาเพื่อเอาตุ๊กตานี่มาให้จริงๆ เหรอ”
“ก็บอกว่าใช่ไง”
มูคยอมพูดออกมาแบบนั้นและทำไม้ทำมือบอกให้รีบเข้าบ้านไป แต่ฮาจุนกลับไม่ก้าวเท้าออกไปเหมือนมีอะไรผิดพลาด มูคยอมมาถึงหน้าบ้านตอนตีสามเพื่อเอาตุ๊กตามาให้ โดยที่ไม่มีธุระอื่นจริงๆ งั้นเหรอ ฮาจุนที่ลังเลออกแรงไปที่กล่องที่ถืออยู่ในมือและพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“คิมมูคยอม ฉันทำได้แป๊บหนึ่งนะ…”
“ทำ? อะไร”
จะอะไรกันล่ะ ต้องพูดถึงเรื่องนั้นด้วยไหมนะ เสียงของฮาจุนเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อย
“อะไรก็ได้…”
มูคยอมขมวดคิ้วมองฮาจุนที่เหม่อลอยราวกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ฮาจุนพูดจริงๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็อุทานออกมาว่า ‘อ๋อ’ เหมือนกับว่าเพิ่งจะเข้าใจ ฮาจุนที่แยกไม่ออกว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งเขาอีกแล้ว ได้แต่ยืนหน้าแดงอยู่อย่างนั้น แล้วมูคยอมก็เริ่มหัวเราะคิกคักออกมาทันที
“โค้ชอีของเรานี่เปิดเผยมากเกินไปจนเป็นปัญหานะ”
“ใครกัน…!”
“เมื่อกี้จัดหนักไปขนาดนั้นแล้วยังไม่พอเหรอ”
“เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้นสิ นายมีจิตสำนึกพอจะพูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้หรือไง”
หน้าของเขาแดงขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม แถมเสียงก็ดังขึ้นด้วย คนที่จัดหนักใส่อีกคนตั้งหลายชั่วโมงจนลุกขึ้นยืนไม่ไหวคือใครกันแน่ ถึงได้มาพูดว่าเขาเป็นคนเปิดเผย
มูคยอมพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนเป็นการปลอบโยนฮาจุนที่เป็นแบบนั้น
“ตอนนี้ไม่ได้หรอก อีฮาจุน”
“…”
“ดึกเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่นายควรจะนอนนะ ก็นายน่ะอ่อนแอกว่าฉันนี่นา”
ตั้งแต่เมื่อไรที่มูคยอมสนใจอะไรแบบนั้นด้วย…
ฮาจุนเปิดปากออกเล็กน้อยและไม่สามารถตอบโต้ความเอาใจใส่อันเหลือเชื่อและทำให้พูดไม่ออกกลับไปได้ ในตอนนั้นเอง มือใหญ่ๆ ของมูคยอมก็ยกใกล้เข้ามาด้านข้างของใบหน้าและหยิกแก้มเบาๆ จนไม่รู้สึกเจ็บ
“น่ารักได้ตลอดเวลาเลยนะ”
“…”
“ฉันไปละ ฝันดี”
มูคยอมที่เอามือออกหันหลังและเดินจากไปจริงๆ
ฮาจุนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเอามือวางลงบนแก้มที่มูคยอมหยิกเขาและยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น จากนั้นไม่นานก็เดินตามไปอยู่ข้างๆ มูคยอมทันที มูคยอมมองลงมาที่ฮาจุนที่ไม่กลับเข้าไปในบ้านและตามมาอยู่ข้างๆ ตัวเอง
“ทำไมล่ะ”
“ไม่ไง คือนายมาถึงที่นี่แล้วจะให้กลับไปเฉยๆ ก็ยังไงอยู่ ฉันจะเดินไปส่งที่รถ”
“รถ? จากตรงนี้ถึงทางเข้าโครงการมันไกลมากนะ”
“ยังไงก็เถอะ”
ถึงจะยืนยันว่าไม่ได้เมา แต่ก็เมาแน่ๆ ดูเหมือนว่าคิมมูคยอมจะทำดีกับเขาแบบนี้แค่ตอนนี้เท่านั้น ฮาจุนจึงอยากจะยืดช่วงเวลานี้ออกไปอีก แม้จะแค่หนึ่งวินาทีก็ตาม เขารู้สึกเคืองมูคยอมอยู่หน่อยๆ ที่เวลาตัวเองเกิดความอยากขึ้นมาก็ไล่ต้อนเขาจนจนมุม แต่ตอนนี้ที่เขาอยากจะอยู่ด้วยกันต่อก็เอาแต่บอกให้เขากลับเข้าบ้านไป มูคยอมบ่นพึมพำออกมา
“ถ้านายไปส่งฉันถึงที่รถ ฉันก็ต้องเห็นนายเดินกลับไปคนเดียวอยู่บนรถอีกล่ะสิ”
“…”
ไม่ได้เมาแต่บ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย
ตอนนี้ท่าทีของมูคยอมเปลี่ยนไปจนแทบจะทำให้เขาปวดหัว ด้วยความรู้สึกที่แยกไม่ออกว่าดีหรือไม่ดี เขารู้สึกมึนขึ้นมาเหมือนกับดื่มเหล้าเข้าไปและหัวเราะแห้งๆ ออกมา มูคยอมเบะปากถามเขา
“หัวเราะอะไร”
“รู้สึกดีที่จู่ๆ ก็ได้ของขวัญน่ะ”
พอพาผู้ชายที่บ่นกระปอดกระแปดเดินออกมาแล้ว ก็มีรถของมูคยอมจอดอยู่ที่หน้าโครงการจริงๆ คนขับรถออกมารับลมข้างนอกราวกับเบื่อกับการรอคอยที่ยาวนาน พยักหน้าราวกับรู้หน้าที่ พอเห็นคนขับรถที่คงจะเสียดายเวลาแม้จะแค่หนึ่งวินาทีก็ตามกำลังรออยู่โดยที่ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรแล้ว แสดงว่าคงจะรับทิปหนักน่าดู
“รีบขึ้นรถเลย”
พอเปิดประตูเพื่อให้มูคยอมขึ้นรถ มูคยอมก็ขืนตัวไว้และพูดออกมา
“อีฮาจุน นายก็ขึ้นมาด้วย”
“ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นนายต่างหากที่ต้องขึ้นรถ”
“กลับบ้านด้วยกัน”
“ตอนนี้ฉันไปไม่ได้”
“ทำไมล่ะ”
ถามว่าทำไมงั้นเหรอ…
มูคยอมคงจะเมาขึ้นทุกทีถึงได้พูดวกไปวนมา พอเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นแล้ว ถึงคนขับรถจะพาไปส่งถึงที่บ้านแต่เขาก็เป็นห่วงว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไง คนขับรถคงจะพาไปส่งถึงแค่ลานจอดรถแล้วก็กลับไป แล้วอีกฝ่ายจะขึ้นไปถึงบนบ้านได้ไหมนะ ถ้าหลับในรถก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไปนอนแผ่บนพื้นลานจอดรถหรือหน้าประตูบ้านล่ะ จะทำยังไง
ฮาจุนจมอยู่กับความคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน พอค้นกระเป๋าก็โชคดีที่มีกระเป๋าสตางค์อยู่ ตอนนี้เป็นช่วงเช้ามืด ถ้ารีบนั่งแท็กซี่กลับก็น่าจะลดระยะเวลาจากปกติไปได้ครึ่งหนึ่ง
“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปด้วย รีบขึ้นไปเลย”
ฮาจุนพามูคยอมขึ้นรถและนั่งอยู่ข้างๆ เขาบอกให้คนขับออกรถ
“ออกรถเลยครับ”
“ครับ”
คนขับรถเหลือบมองทั้งสองผ่านกระจกหลังและเอ่ยปากชวนคุย
“ดูเหมือนนักกีฬาคิมมูคยอมจะเมาหนักเลยนะครับ ผมนึกว่านักกีฬาจะไม่เป็นแบบนั้นซะอีก”
“ปกติเขาก็ไม่ได้ดื่มหรอกครับ แต่ตอนนี้เป็นช่วงพักน่ะครับ”
“โธ่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ดื่มบ้างจะเป็นอะไรไป แค่ตั้งใจออกกำลังกายให้ดีก็พอแล้ว อ้อ เมื่อกี้ก็ให้ลายเซ็นด้วย เขานิสัยดีกว่าที่ได้ฟังมาอีกนะครับ!”
เขารีบอธิบายออกไปเพราะกลัวว่าจะเกิดการพูดนินทาขึ้นมา แต่คนขับรถก็มีเจตนาที่ดี ดูเหมือนมูคยอมที่เมาจะทำตัวน่ารักกับคนขับรถมากเช่นกัน เมาทั้งทีก็ยังทำตัวน่ารัก
ทันทีที่นั่งลงที่เบาะหลัง มูคยอมก็เอนร่างกายอันใหญ่โตของเขาลงและพิงหัวลงบนไหล่ของฮาจุน และเริ่มผล็อยหลับไปพร้อมกับผ่อนลมหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมา ทั้งๆ ที่พูดไม่ออก แต่หัวใจก็เต้นแรงเหมือนคนโง่อีกแล้ว ถึงจะพยายามทำให้ใจสงบลง แต่ก็เป็นพลังที่ไม่สามารถต้านทานได้จริงๆ