Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 24
“สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อคิมมูคยอม เป็นนักกีฬาที่อยู่ทีมเดียวกับโค้ชอีนะครับ”
‘ทำอะไรน่ะ! เอาคืนมานี่!’
ฮาจุนกระซิบเรียก ไม่ง่ายเลยที่มูคยอมจะต้านแรงของอีกฝ่ายที่พยายามแย่งโทรศัพท์คืนไป คิดดูแล้วหมอนี่ก็เคยเป็นนักกีฬา อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งกองกลางที่ถนัดด้านการปะทะ มูคยอมนึกอาชีพเก่าของฮาจุนขึ้นมาได้เหมือนไม่เคยรู้มาก่อน และคุยโทรศัพท์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ครับ ใช่ครับ แข่งเกมเยือนวันนี้เสร็จก็กลับมาโซล แล้วพอดีมีเรื่องต้องคุยกันเลยแวะมาบ้านผมก็เลยดึกหน่อยครับ ถ้าคุณแม่สะดวกวันนี้ให้ฮาจุนนอนที่นี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับดีกว่าครับ ครับ ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ฝันดีนะครับ”
กริ๊ก
มูคยอมวางสายเองตามใจชอบและหันหน้ามายื่นโทรศัพท์ให้ ส่วนฮาจุนที่ทำหน้าตะลึงมองมูคยอมเงียบๆ อยู่ก่อนแล้วก็ทำตาโตจ้องไปที่มูคยอมราวกับจะตำหนิ
“อนุญาตแล้ว”
พอได้ยินมูคยอมพูด ฮาจุนถึงถามขึ้นราวกับบอกว่ามันไร้สาระ
“พูดตามอำเภอใจได้ไง ใครบอกว่าจะนอน”
“อายุยี่สิบหกแล้ว จะทำอย่างนั้นไปถึงเมื่อไหร่ ให้โอกาสคุณแม่ได้คุ้นเคยหน่อย ถึงไม่ใช่วันนี้ยังไงก็มีงานที่ต้องค้างนอกบ้านอีกอยู่ดี นายจะทำให้มันยากแบบนี้ทุกรอบหรือไง”
“ถ้าบอกก่อนก็ไม่เป็นไร แต่นี่ไม่ได้ติดต่อไปจนดึก ก็เลย…”
สีหน้าของฮาจุนเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าเหมือนโดนพูดแทงใจดำและสับสน สองอารมณ์ปนเปกันแบบที่เขาเคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มูคยอมรู้ว่าตัวเองกำลังเริ่มคุ้นเคยกับสีหน้าหลากหลายที่ฮาจุนแสดงออกมาให้เห็นไปอย่างไม่รู้ตัว
ฮาจุนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างเพิ่ม แต่ก็ล้มเลิกไปอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่เอากระเป๋าในมือขึ้นมาสะพายไหล่
“นอนในห้องเมื่อกี้ได้ใช่ไหม”
“ใช่ ยังไงก็เตรียมไว้เป็นห้องนอนแขกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ได้ตามสบาย ต้องการอะไรอีกไหม” ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือแปรงสีฟัน
แต่ในกระเป๋าของฮาจุนกลับมีของจำเป็นทุกอย่างแล้ว เพราะพวกเขาเพิ่งกลับมาจากการแข่งเกมเยือน พอฮาจุนส่ายศีรษะ มูคยอมก็พูดลาและบอกฝันดีก่อนทันที
“ไปนอนก่อนนะ ฝันดี”
“อืม”
มูคยอมที่สวมเสื้อคลุมยาวสีเทาเข้มโบกมือให้เขาหนึ่งครั้งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินขึ้นบันไดที่อยู่อีกมุมของห้องนั่งเล่นไป ดูเหมือนห้องนอนของอีกฝ่ายจะอยู่ที่ชั้นสอง
มิน่าล่ะ เขาคิดอยู่ว่าห้องนั้นสะอาดเกินกว่าที่จะเป็นห้องนอนของมูคยอม เข้าใจว่ามีบรรยากาศเงียบสงบแปลกๆ เพราะเป็นห้องที่มีคนนอนอยู่ตลอด ฮาจุนรู้สึกอับอายกับการกระทำก่อนหน้านี้ของตัวเองที่กวาดสายตามองไปทั่วเพราะคิดว่าเป็นห้องของมูคยอม
เขาเดินกลับเข้าไปในห้องแล้ววางกระเป๋าลง ยืนเขินอยู่สักพักก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านที่อยู่ในกระเป๋า และค่อยๆ คลานขึ้นไปบนเตียง เตียงยังหลงเหลือไออุ่นจากร่างกายของเขาอยู่เพราะว่าเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน
เตียงอะไรถึงได้ให้ความรู้สึกว่ารองรับสรีระได้อย่างพอดี แตกต่างกับเตียงของห้องที่บ้านราวฟ้ากับดิน ใช้เตียงแพงๆ แล้วแตกต่างแบบนี้นี่เอง ฮาจุนคิดพลางลองกลิ้งไปทางขวาทีซ้ายที สนุกไปกับสัมผัสของที่นอนอันนุ่มนิ่มอยู่สักพัก
‘ไม่คิดว่าจะบอกให้ค้างแล้วค่อยกลับ’
การเตรียมห้องนอนแขกแยกเอาไว้อาจไม่ใช่เรื่องพิเศษสำหรับมูคยอม แต่หัวใจของฮาจุนกลับเต้นแรงไม่หยุด ถึงจะรู้สึกกังวลมากแต่เขาทำถูกแล้วที่ตอบรับตอนที่อีกฝ่ายชวน
ถ้าแค่ร่างกายล่ะ ตกลงไหม
ไม่สิ ไม่ใช่ ‘ถ้าแค่ร่างกายล่ะ ตกลงไหม’
ทั้งได้มีอะไรกับคิมมูคยอม อีกทั้งยังได้นอนหลับที่บ้านของอีกฝ่าย แค่นี้ก็เป็นเหมือนกับของขวัญอันน่าเซอร์ไพรส์สำหรับฮาจุนแล้ว
ตอนที่มูคยอมแย่งโทรศัพท์เขาไปแล้วออกตัวเป็นพยานกับแม่เรื่องค้างนอกบ้าน เขารู้สึกเหมือนกำลัง ‘นอนบ้านเพื่อน’ แบบที่ตอนมัธยมทำไม่ได้ เขาเลิกคิดถึงความจริงที่ว่านี่คือบ้านมูคยอมและรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แม่ไม่ชอบให้เขาออกจากบ้านเท่าไหร่ไม่ว่าจะตอนเป็นนักกีฬาหรือตอนนี้ แต่ด้วยลักษณะงานที่ต้องไปค้างแรม เล่นเกมสนามเยือน หรือฝึกอบรมที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ ก่อนจะไปเขาจึงต้องบอกล่วงหน้าเสมอและเมื่อไปถึงก็ต้องโทรหาทุกวัน
ดังนั้นเขาเลยแทบไม่เคยฝันถึงการนอนนอกบ้านถ้าไม่ใช่เพราะการทำงานหรือการฝึก แม้แต่ตอนเป็นเด็กใหม่ที่ต้องดื่มเหล้าเยอะในงานรับน้อง ฮาจุนก็ไม่เคยเมาอย่างเต็มที่เลยสักครั้งเพราะเอาแต่คิดว่าจะต้องกลับบ้าน
ระหว่างที่คิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้พวกเขาไม่ได้จูบกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งก่อนมูคยอมจูบเขา หลายครั้งเลยด้วย
แต่ตอนนี้กลับไม่จูบแล้ว…?
ฮาจุนจมอยู่กับความกังวลไปชั่วครู่ แล้วถึงจะยังสงสัยอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ตัดสินใจยกเรื่องไร้ประโยชน์ไปไว้ทีหลังแล้วคิดชื่นชมตัวเองที่เซ็นตอบรับข้อเสนอที่แปลกและดูอันตรายส่งไปอย่างกล้าหาญ เขามุดหน้าลงกับหมอนและผ้าปูที่นอน แล้วลองสูดดมกลิ่น แต่เพราะเปลี่ยนเป็นผ้าปูที่สะอาดเอี่ยมผืนใหม่แล้วจึงไม่มีกลิ่นของมูคยอมหลงเหลืออยู่เลย
ระหว่างที่นอนเล่นอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ฮาจุนที่หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเพราะได้งีบไปแล้วสั้นๆ บวกกับทะเลาะกับมูคยอมมาก็ได้เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดโน้ตกับแท็บเล็ตออก เขาต้องสะสางงานทั้งหมดที่ทำไว้ตอนอยู่บนรถบัสให้เสร็จ เดิมทีเขาจะตรงกลับบ้านและย้อนดูการแข่งของวันนี้ วิเคราะห์เสร็จแล้วค่อยนอน แต่แผนกลับผิดพลาดไปเล็กน้อย อย่างน้อยเขาเลยอยากที่จะบันทึกสถิติทิ้งไว้ในตอนที่ความทรงจำยังแจ่มชัด
เขาสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีข้อมูล
อีฮาจุน โค้ชฟิตเนสของทีมฟุตบอลอาชีพอย่างซิตี้โซลเอฟซีที่ให้ความสำคัญกับการมีท่าทีที่เถรตรงต่อนักกีฬาอยู่เสมอกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง เปิดวิดีโอเทปการแข่งขันและบันทึกสถิติไปเรื่อยๆ สายตาไล่มองตามการเคลื่อนไหวของนักกีฬาแต่ละคนได้อย่างชัดเจนแม้เป็นช่วงกลางดึก
***
มีใครบางคนเขย่าไหล่ปลุกเขา ฮาจุนพลิกตัวไปด้านข้าง เอาหน้าซุกหมอนพลางบ่นพึมพำ
“อื้อ เดี๋ยวตื่น”
ทว่ามือนั้นไม่รอช้าและเริ่มเขย่าไหล่เขาอีกครั้ง ฮาจุนใช้ฝ่ามือตบเบาๆ บนหลังมือที่วางอยู่บนไหล่ตัวเอง
“ไม่เป็นไร วันนี้พี่เข้างานตอนบ่าย” ฮาจุนพึมพำตอบขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น
“…คบผู้หญิง ด้วยเหรอ”
เสียงที่ตอบกลับไม่ใช่น้ำเสียงร่าเริงสดใสที่ปลุกเขาเป็นประจำ แต่เป็นน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังผ่านหูไป ฮาจุนได้สติทันทีและลุกพรึ่บขึ้นมา เหมือนกลายเป็นว่ามือของอีกฝ่ายถูกสะบัดออกเพราะเขาลุกขึ้น มูคยอมที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
หลังจากตื่นนอนฮาจุนถึงนึกออกว่าเมื่อวานเขาตัดสินใจนอนค้างที่บ้านของคิมมูคยอม ไม่รู้ตัวว่านอนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สมุดโน้ต แท็บเล็ต และปากกายังวางกระจายกันอยู่บนเตียงเหมือนเดิม มูคยอมปราดสายตามองของเหล่านั้นแล้วถามขึ้น
“ทำงานแล้วเผลอหลับไปเหรอ”
“ว่าจะเคลียร์งานให้หมด… แต่คงเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น”
“แล้วชอบมาบ่นพวกฉันว่าการพักผ่อนสำคัญที่สุดตอนวันที่มีแข่ง”
“ก็ฉันไม่ใช่นักกีฬานี่”
ฮาจุนรู้สึกอายเลยแก้ตัวออกไป ส่วนมูคยอมก็เดินไปแถวประตูห้องแล้วเรียกฮาจุน
“ออกมาสิ จะได้กินข้าว”
ฮาจุนเหลือบมองโทรศัพท์เพื่อเช็กเวลาและพบว่าเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น วันนี้เป็นวันถัดจากการแข่งเกมเยือน ดังนั้นถึงจะตื่นสายก็ไม่เป็นไร แค่เข้างานก่อนบ่ายสองก็พอ ฮาจุนจึงรู้สึกเคืองเล็กน้อยที่อีกฝ่ายปลุกกันตั้งแต่เช้า ถ้าอยู่ที่บ้านเขาคงนอนจนถึงตอนเที่ยง
ถึงแม้จะตัดความรู้สึกปวดหน่วงภายในร่างกายออกไป แต่ความรู้สึกอ่อนล้าและอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทั้งตัวนั้นคงจะไม่ได้มาจากการไปแข่งสนามเยือนเพียงอย่างเดียวแบบที่คิดเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้วิ่งในสนาม ชัดเจนว่าเป็นผลจากการกระทำอันรุนแรงและยาวนานราวกับบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งก่อน
ความรู้สึกที่แก่นกายของอีกฝ่ายขยับเข้าออกภายในช่องทางของเขาอย่างรวดเร็วราวกับไฟลาม แรงสั่นไหวอันหนักหน่วงที่ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวทุกครั้งที่อีกฝ่ายเริ่มกระแทกเข้ามาภายใน การถึงจุดสุดยอดที่เขาไม่คุ้นเคยถาโถมเข้ามาจนแทบสิ้นสติ ภาพตรงหน้าพร่ามัว ทำอย่างไรก็เหมือนจะไม่สิ้นสุด ความรู้สึกกระหายและความร้อนแรงที่ภายหลังเขาแยกไม่ออกว่าคือความสุขสมหรือความทรมานกันแน่ ฮาจุนหน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ความทรงจำของเมื่อคืนที่เขาขอให้มูคยอมเสร็จเร็วๆ เพราะเจ้าตัวบอกว่าต้องเสร็จถึงจะพอยังคงแจ่มชัด
เมื่อเดาจากที่มูคยอมพูด เหมือนว่าเดิมทีจะต้องเสร็จสักสามหรือสี่ครั้ง แต่อาจเป็นเพราะฮาจุนมีประสบการณ์ไม่มากนัก จึงรู้สึกเหนื่อยจากการเสร็จเพียงแค่สองครั้ง
ถ้าทำไปเรื่อยๆ จะดีขึ้นไหมนะ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมลำบากในช่วงแรกเป็นธรรมดา…
อย่างไรก็ตามถึงจะรู้สึกปวดหน่วงภายในร่างกาย แต่โชคดีที่ไม่รู้สึกปวดร้าวข้างในเหมือนกับเป็นแผลอย่างครั้งก่อน อาจเพราะเขาใช้นิ้วเบิกทางก่อนสอดใส่แบบที่ลองค้นหาจากในอินเทอร์เน็ต
พอฮาจุนเดินออกไปหน้าประตูห้องก็เห็นมูคยอมกำลังยืนรอเขาอยู่ไม่ไกลนัก อีกฝ่ายเดินไปยังห้องกินข้าวโดยไม่ได้พูดเร่งให้เขาตามไป
อาหารง่ายๆ อย่างสลัดที่ดูเต็มไปด้วยเนื้อไก่ ผลไม้ และนมถูกจัดไว้บนโต๊ะ อาจเพราะบ้านก็คือบ้าน โต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้แบบนั้นจึงเหมือนกับฉากในนิตยสาร ฮาจุนใจเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับคนสองคน เขานั่งลงบนเก้าอี้และเอ่ยถามอีกฝ่าย
“กินอาหารเช้าแบบนี้ทุกวันเหรอ”
“ถ้าไม่กินให้เต็มที่มันจะรบกวนการฝึก”
“…นายทำเองเหรอ”
“ไม่ มีจุดจัดเตรียมเมนูสำหรับนักกีฬาเอามาให้”
ตอนที่ฮาจุนอาศัยอยู่กับครอบครัว และตอนเป็นทหารประจำการก็ไม่เคยลองกินอาหารแบบนี้เท่าไหร่ ไม่รู้เพราะอะไรถึงให้ความรู้สึกมีระดับ
เขาใช้ส้อมจิ้มสลัดขึ้นมากินหนึ่งคำ
“อร่อยจัง” อกไก่นุ่มละมุน ไม่แข็งเลยสักนิด
“กินเยอะๆ ล่ะ”
แม้แต่คำตอบที่ได้รับกลับมายังคำพูดที่ฮาจุนอุทานกับตัวเองก็ยังอ่อนโยน แต่เขากลับรู้สึกจุกในลำคอกับคำตอบอันละมุนละไมนั้น สลัดกับผลไม้ก็อร่อยดี แม้แต่นมธรรมดาๆ ก็รู้สึกว่ารสชาติดีกว่าปกติ แต่ไม่รู้ทำไมถึงกลืนไม่ลงเหมือนตอนอยู่บ้าน หัวใจของฮาจุนเต้นแรงมากกับการที่มูคยอมเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ตนเอง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะกินเหลือ อีกอย่างถ้ากินเหลือมูคยอมก็อาจจะไม่พอใจได้ เขาจึงค่อยๆ กลืนอาหารลงไป ฮาจุนตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวสลัด แต่มูคยอมที่กินอาหารอยู่เงียบๆ มาตลอดกลับเรียกเขาขึ้นมา
“อีฮาจุน”
“หืม”
“นายยังไม่ได้ตอบที่ฉันถามเมื่อกี้เลย”
“ถามเหรอ ถามอะไร”
“คบกับผู้หญิงด้วยเหรอ”
ฮาจุนไอโขลกออกมา เกือบสำลึกกับคำพูดของอีกฝ่าย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถามคำถามแบบนั้นออกมาตอนไหน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จึงกระแอมเบาๆ ขณะสบตากับมูคยอมที่กำลังมองมาที่ตนเอง
คบได้หรือไม่ได้ไม่รู้ เพราะเขาก็ยังไม่เคยลองเหมือนกัน แม้ว่าตอนเห็นผู้หญิงสวยๆ จะมองตามบ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกว่าอยากคบเป็นแฟน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับผู้ชายเช่นกัน ตั้งแต่อายุสิบหกปีเป็นต้นมา หัวใจของฮาจุนก็มีปฏิกิริยากับคิมมูคยอมเพียงคนเดียวจนเหมือนกับคนโง่
“จะรู้เรื่องแบบนั้นไปทำไม”
สุดท้ายก็พูดคำตอบที่ตรงข้ามกับใจออกไป แม้การพูดความจริงออกไปจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เพราะว่าเขาไม่รู้คำตอบที่มูคยอมต้องการก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดบัง เมื่อถูกถามแบบนี้เขาควรต้องคิดหาคำตอบที่มูคยอมต้องการหรือคำตอบที่น่าพอใจมาให้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้คำตอบนั้น
โชคดีที่มูคยอมไม่ได้ซักไซ้เพิ่มเติม ทั้งสองคนจึงกินอาหารต่อโดยไม่ได้พูดอะไร อาหารที่กลืนไม่ค่อยลงอยู่แล้วยิ่งติดคอเข้าไปใหญ่ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ถามอะไรต่อ
“ฉันเก็บเอง”
“ไม่ต้อง”
เมื่อกินเสร็จแล้วเขาว่าจะเก็บจานล้างแทนการได้กินอาหารเช้าฟรีๆ สักหน่อย แต่มูคยอมกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ฮาจุนไม่ได้ดื้อจะทำต่อและเงียบไปแต่โดยดี เพราะอันที่จริงบ้านของอีกฝ่ายก็หรูหรามากจนเขาไม่กล้าจัดเก็บข้าวของอะไรตามใจตัวเอง
“ดื่มกาแฟหรือเปล่า” มูคยอมที่กำลังจะเก็บโต๊ะถามเขาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“หือ? ก็บางครั้งน่ะ”
“เอาอันนี้ไปไว้ดื่มที่ห้องทำงานโค้ชสิ แต่ถ้านายไม่เอาก็ทิ้งไป”
มูคยอมยื่นกล่องกาแฟที่วางอยู่บนชั้นให้ฮาจุน หน้าตาที่ดูเป็นมิตรของฮาอึนอูกับคิมมูคยอมถูกพิมพ์ไว้บนแพ็กเกจด้วย มูคยอมไม่ดื่มกาแฟ ยิ่งเป็นกาแฟสำเร็จรูปแบบนี้ยิ่งไม่ดื่ม ฮาจุนก็ไม่ใช่คนชอบดื่มกาแฟเท่าไหร่นัก แต่กลับรับมันไว้อย่างรวดเร็ว
“ขอบใจนะ”
“ฉันว่าจะออกไปตั้งแต่เช้าเลย นายล่ะ”
หรือว่ามูคยอมจะไม่รู้สึกเพลียเลยสักนิด
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคิดจะออกไปก่อนถึงเวลาฝึกที่กำหนดไว้ ฮาจุนขมวดคิ้วแล้วพูดแย้งขึ้นมา
“ทำไมล่ะ การพักผ่อนก็สำคัญนะ อย่าหักโหมซ้อมเลย”
“การรักษาความเร็วที่มีอยู่ก็สำคัญ แค่ได้ออกไปวิ่งสบายๆ ก็ดีสำหรับฉันแล้ว นายก็รู้ ถึงทฤษฎีพื้นฐานจะสำคัญ แต่ความแตกต่างของแต่ละคนก็สำคัญ”
ฮาจุนไม่รู้จะตอบอะไร เพราะนักกีฬาระดับมูคยอมก็คงจะรู้สภาพร่างกายของตัวเองดีอยู่แล้ว ให้อยู่ที่บ้านมูคยอมคนเดียวก็คงไม่ได้ และเวลาก็น้อยเกินกว่าที่จะแวะกลับบ้าน ฮาจุนจึงพยักหน้าพลางบอกว่าจะออกไปด้วย
หลังจากอาบน้ำ แปรงฟันและแต่งตัวแล้ว ฮาจุนก็เตรียมตัวเสร็จ เมื่อเตรียมตัวไปข้างนอกเสร็จเร็วกว่าปกติ เขาจึงนั่งรอมูคยอมที่กำลังอาบน้ำอยู่ที่โซฟา มูคยอมเดินออกมาจากห้องน้ำโดยใส่ชุดคลุมตัวยาวเหมือนกับเมื่อวาน สะบัดผมที่เปียกชื้นให้แห้งและเดินผ่านหน้าฮาจุนเข้าไปในที่ไหนสักที่ ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงลมไดร์เหมือนกำลังเป่าผม
อีกฝ่ายสวมแค่กางเกงเมื่อเดินออกมาอีกครั้งเผยให้เห็นร่างกายส่วนบน มูคยอมกำลังถือเสื้อเชิ้ตสองตัวที่แขวนอยู่บนไม้แขวนเสื้อ
“อีฮาจุน”
“หือ?”
“ตัวไหนดี”
มูคยอมถามขึ้นพลางยกนิ้วมือทั้งสองข้างที่เกี่ยวไม้แขวนของเสื้อเชิ้ตสีเขียวและสีฟ้าไว้อย่างละข้างขึ้นมาตรงหน้าเขา ฮาจุนเกือบสะอึกออกมาแต่กลั้นเอาไว้ เขากุมหัวใจที่กำลังเต้นแรงเอาไว้ได้ทันและชี้ไปที่เสื้อเชิ้ตสีเขียว
อันที่จริงเขาไม่ได้เลือกอย่างจริงจังนัก เพราะไม่ว่าสีไหนก็เหมาะกับมูคยอมทั้งนั้น แต่เขาต้องรีบเลือกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าปลายนิ้วที่ชี้เสื้อเชิ้ตกำลังสั่นอยู่
“อืม”
อีกฝ่ายตอบตกลงสั้นๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวอีกครั้ง ไม่นานก็เดินออกมาโดยสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวที่ฮาจุนเลือกให้จริงๆ
……………………………………….