Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 181
เมื่อฮาจุนจ้องอีกคนไม่กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ มูคยอมจึง ‘ฟู่ววว’ พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาราวกับหยุดหายใจไปเมื่อครู่
“…เขินมากกว่าที่คิดนะ”
“อะไร”
มูคยอมเดินเนิบๆ เข้ามาใกล้แล้วคว้าหมับเข้าที่มือของฮาจุนพร้อมดึงไป กระทั่งฝ่ามือของอีกคนก็ยังร้อนวูบวาบ
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน คิมมูคยอมก็แทบจะไม่รู้สึกขวยเขิน เรื่องที่ทำให้คิมมูคยอมคนนั้นเขินอายจนตัวร้อนวูบได้ขนาดนี้คืออะไรกันแน่ มีความรู้สึกอับอายอยู่สินะ ความอยากรู้อยากเห็นของฮาจุนงอกเงยขึ้นราวกับหนวดของแมลง
อีกฝ่ายกำลังเดินไปยังที่หนึ่ง ทั้งสองคนเดินอยู่ในห้องพักกว้างขวางของโรงแรมพร้อมเดินผ่านเฟอร์นิเจอร์หรูหราไปหลายตัว พรมเนื้อดีที่มีลวดลายประณีต เก้าอี้เบาะกำมะหยี่ที่ดูนุ่มละมุน โซฟาบุหนัง โต๊ะเนื้อเรียบตัวกว้าง โทรทัศน์เครื่องใหญ่ เตาผิงประดับห้อง ชั้นวางของขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์น แล้วก็…
“ก่อนอื่นก็… อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ”
มูคยอมบอกแบบนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง แล้วจับฮาจุนนั่งลงบนเก้าอี้เบาะนวมสำหรับนั่งคนเดียว จากนั้นเจ้าตัวก็เดินตัวแข็งทื่ออย่างกับหุ่นยนต์ไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่มีพนักพิงหลัง
เรื่องที่อยากถามไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่อง แต่ฮาจุนก็ปิดปากเงียบไปก่อนตามที่อีกคนบอก ภาพที่สะท้อนเข้ามาในการมองเห็นไม่คุ้นตาจนเหมือนไม่ใช่ความเป็นจริง จึงทำให้เขาสับสนไปด้วยว่าควรต้องพูดเรื่องอะไรก่อน การจับคู่ของสิ่งที่เขาไม่เคยจินตนาการเลยแม้แต่ครั้งเดียวอย่างแท้จริง กำลังแสดงออกมาให้เห็นอยู่ตรงหน้า
สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ที่มูคยอมนั่งคือเปียโน
เปียโน แถมยังเป็นแกรนด์เปียโนที่ดูราคาแพงไม่น้อยด้วย
ถ้าบอกว่าเอามาตั้งไว้เฉยๆ ก็คงคิดว่าเป็นหนึ่งในการตกแต่งภายในของโรงแรมไปแล้ว ของที่ทำให้น่าจะคิดแบบนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮาจุนปิดปากเกร็งโดยไม่รู้ตัวแล้ววางมือลงบนหัวเข่าอย่างเรียบร้อย เขาทำตัวนอบน้อมขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ต่อหน้าภาพฉากที่ต่อให้บอกว่าผิดแผกไปจากที่เคยเป็นก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง และหากให้ใครดูก็คงไม่มีใครเชื่อพร้อมบอกว่ามันเป็นภาพตัดต่อ
ไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนเจียนตัวเข้ามาก็คงจะไม่ตกใจอีกแล้ว ถึงแม้จะเป็นภาพที่เหมือนจับแพะมาชนแกะในศิลปะลัทธิเหนือจริง ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยนำเอาสองสิ่งที่ห่างไกลกันมากที่สุดในโลกมาอยู่รวมกัน แต่ใบหน้าด้านข้างแสนหล่อเหลาและเกลี้ยงเกลาของคิมมูคยอมกับแกรนด์เปียโนกลับเหมาะสมราวกับภาพเขียนชิ้นหนึ่ง เหมาะสมกันกระทั่งท้องฟ้ายามเย็นซึ่งทอแสงสีม่วงเข้มขึ้นทีละนิดด้านหลังอีกฝ่าย
มูคยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเคยเห็นท่าทีอีกคนประหม่าแบบนี้ไหมนะ แม้ลองหวนนึกไปในความทรงจำก็เป็นภาพลักษณ์ที่แทบไม่เคยเห็นชัดๆ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกประหม่าตามไปด้วย ฮาจุนจึงรวบมือทั้งสองข้างที่เคยวางอยู่บนเข่ามากำกันไว้
นิ้วมือยาวที่มีเค้าโครงข้อชัดวางลงบนคีย์บอร์ด จากนั้นโน้ตตัวแรกก็ส่งเสียงดังขึ้น
ต่อเนื่องไปยังตัวที่สอง และตัวที่สาม…
เสียงโน้ตทยอยตามกันออกมา ภายด้านในห้องกว้างที่เงียบเชียบลงราวกับน้ำทะเลที่ซัดขึ้นอย่างสงบ
ต่อให้เป็นแค่การพูดเล่นก็พูดไม่ได้ว่าการบรรเลงของอีกคนยอดเยี่ยม มันตะกุกตะกักและกดโน้ตผิดคีย์เป็นบางครั้ง หรือคร่อมจังหวะไปก็มี
ทว่าเสียงที่คีย์บอร์ดเปียโนคุณภาพดีสรรค์สร้างออกมา แม้บรรเลงจากการมือที่เคลื่อนไหวอย่างไม่เชี่ยวชาญ ก็ชัดเจนและลุ่มลึกอย่างเป็นธรรมชาติมาก เวลาผ่านไปพร้อมกันกับที่มูคยอมเหมือนจะลืมความเขินอายไปทีละนิด อีกฝ่ายจึงกำลังก้มลงมองเปียโนอย่างใจจดใจจ่อด้วยสีหน้าแบบเดียวกับตอนก่อนเตะลูกโทษ
ฮาจุนร้องเพลงฮึมฮัมในใจตามท่วงทำนองที่มูคยอมเล่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจู่ๆ ก้อนอะไรบางอย่างก็ตีขึ้นแล้วจมูกเขาก็ร้อนวูบ ฮาจุนยกยิ้มแบบที่น่าจะไม่มีใครได้เห็น เพื่อควบคุมอารมณ์ที่ทำท่าจะอ่อนไหวลงอยู่เรื่อย
เป็นการบรรเลงที่ใครมาได้ยินก็รู้ชัดว่าเป็นฝีมือของมือใหม่ แต่มูคยอมก็ไม่ได้หยุดกลางคัน อีกคนพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดจนถึงที่สุดแล้วกดโน้ตที่เป็นเหมือนกับจุดฟุลสต๊อบอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงหยุดมือลง
เมื่อเสียงของเปียโนคลายหายไป ความเงียบสงัดก็ปกคลุมลงมาราวกับปิดม่าน เสียงถอนหายใจยาวของมูคยอมเขย่าบรรยากาศนิ่งงันอย่างแผ่วเบา
“อ่า…”
อีกคนหันมามองฮาจุนด้วยสีหน้าหมดแรงพร้อมกับยิ้มแห้ง
“นายว่าฉันทำเรื่องแบบนี้ทำไม”
ต่อให้บอกว่า เป็นการบรรเลงอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ซาบซึ้งใจ
ฮาจุนกำลังจมอยู่ในความรู้สึกที่การบรรเลงเพื่อเขาเพียงคนเดียวเหลือทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองมูคยอมอย่างเหม่อลอย ตอนนั้นเมื่อได้สติกลับคืนมาอย่างฉับพลันจึงปรบมือ
“พูดอะไรของนาย เท่มากเลย จริงๆ นะ นายเล่นดีจริงๆ”
“ก็ขอบคุณที่ชมอยู่หรอก แต่เล่นผิดอยู่ตลอดเลยไม่ใช่หรือไง”
“นายเคยเรียนเปียโนเหรอ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นสักครั้ง”
“ฉันเรียนประมาณสามเดือนมานี้ เขาบอกว่าถึงเป็นมือใหม่ ถ้าท่องจำให้แม่นก็น่าจะเล่นได้สักเพลง เห็นว่าเวลาไปที่ไหนแล้วเปิดเพลงนี้ นายก็บอกว่าชอบตลอดเลย”
ฮาจุนมึนงงขึ้นมาพร้อมอ้าปากลืมตาค้าง
เพลงที่มูคยอมเล่นคือเพลงที่ตัวเอกสองคนขับร้องพร้อมกับดีดเปียโนในหนังที่ดูด้วยกัน เป็นหนังโรแมนติกที่น่าตื้นตันใจพอสมควร ห่างไกลจากความชอบของฮาจุนในยามปกติอยู่นิดหน่อยแต่เพลงเพราะดีและทิ้งอารมณ์ค้างไว้นาน จึงเป็นหนังโรแมนซ์ที่เขาดูแล้วติดตรึงใจอย่างที่ไม่ค่อยจะมีมากนัก
ทว่านับจากวันนี้ไป หากนึกถึงหนังเรื่องนั้น เขาคงจะคิดถึงเสียงบรรเลง
เพลงเพี้ยนๆ ของคิมมูคยอมมากกว่าความประทับใจที่หนังหลงเหลือไว้ให้ ด้านในดวงตาของฮาจุนอุ่นร้อนขึ้นมานิดหน่อย
“นายนี่ทำให้คนอื่นเขาตกใจไม่จบไม่สิ้นจริงๆ…”
เดิมทีมูคยอมก็ชอบสร้างอีเวนต์นู่นนี่อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เปียโน
เนี่ยนะ ถ้าลองคิดดูดีๆ ถึงแม้แบบนี้จะเป็นพื้นฐานและวิธีการมาตรฐานของอีเวนต์ออกเดทที่มูคยอมน่าจะชอบ แต่เปียโนก็เป็นสิ่งของที่ดูไม่สัมพันธ์กับอีกฝ่ายสักเท่าไรจริงๆ
ตอนนั้นฮาจุนถึงได้ร้อยเรียงเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกันออกมาเป็นเส้นเส้นหนึ่งในหัว เขาสบตากับมูคยอมอย่างเต็มตา
“…ถ้างั้นหรือว่า…”
“พี่สาวของร็อบบี้สอนเปียโน พอดีว่าเรียนกับคนรู้จักมันดีกว่ากับคนไม่รู้จักในหลายๆ ด้านน่ะ ฉันสาบานเลย ไม่มีเรื่องที่จะทำให้นายต้องขายหน้าอย่างเด็ดขาด”
มูคยอมลูบหน้าราวกับกำลังล้างหน้าแบบไม่ใช้น้ำ
“เพื่อจะทำเรื่องแค่นี้ ฉันเลยทำให้นายเดือดเลยไม่ใช่เหรอ ถึงฉันจะคิดเองก็รู้สึกโง่เง่านิดๆ พอจะพูดอธิบาย เดี๋ยวแผนก็แตกหมดอีก แล้วยังเสียดายที่ทุ่มเทไปสามเดือนด้วย… เมื่อวานฉันเลยไม่กล้าพูดออกมา”
“เรื่องแค่นี้งั้นเหรอ คิมมูคยอม นายเท่มากจริงๆ เรียนสามเดือนแต่ได้ถึงขนาดนี้เนี่ย นาย… ไม่มีอะไรที่นายทำไม่ได้เหมือนที่นายพูดเลย”
คราวนี้น้ำตาคลอขึ้นมาแล้วจริงๆ เมื่อเช็ดมันอย่างฉับไวก่อนที่จะไหลลงมา มูคยอมจึงยิ้มพร้อมกับกวักมือ
ฮาจุนรีบลุกขึ้นเดินไปอยู่ข้างๆ อีกคน เมื่อนั่งลงเคียงข้างอีกฝ่ายบนเก้าอี้เปียโนตัวยาว มูคยอมก็โอบแขนรอบไหล่ของเขา
“พอฟังได้ไหม”
“นายไม่มีความรู้เฉพาะทางด้านดนตรี… แต่สำหรับฉันมันยอดเยี่ยมที่สุดเลย ฉันจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต”
แน่นอนว่าคืนนี้ รวมถึงทุกวันพิเศษที่ใช้เวลาร่วมกัน ทั้งหมดเลย
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่สงสัย…”
“ขอโทษอะไรเล่า สถานการณ์มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นอยู่หรอก เป็นเกียรติจริงๆ ที่รู้ว่าอีฮาจุนก็หวงฉันถึงขนาดนั้น”
ฮาจุนประทับริมฝีปากลงบนแก้มของมูคยอม ตอนนั้นมูคยอมจึงป้อนจูบกลับมาหลายครั้งด้วยใบหน้าที่ฉายชัดให้เห็นถึงความอิ่มอกอิ่มใจมากยิ่งกว่าความเขินอาย จากนั้นก็ถอยออกไปด้านข้างอีกนิดพร้อมกับชี้เปียโน
“นายก็ลองเล่นดูสิ”
“หา?”
“นายบอกว่าเคยเรียนตอนเด็กนี่”
“จะเป็นไปได้ยังไงเล่า ลืมไปหมดแล้ว เล่นครั้งสุดท้ายก็ผ่านมาเกินสิบปีแล้ว”
ฮาจุนส่ายหน้า แต่มูคยอมก็ตื๊อ บอกให้ลองวางมือลงสักครั้งก็ยังดี ฮาจุนเอาชนะคำรบเร้าของอีกคนไม่ได้จึงยกแขนขึ้นมาวาง
“ไม่มั่นใจเลยแฮะ น่าจะเล่นได้แค่ ‘ช็อปสติกส์’ นะ…”
ฮาจุนเอียงหัวพร้อมกับพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดด้วยสีหน้าลังเล เมื่อทำแบบนั้น ท่วงทำนองสนุกสนานที่มีจังหวะรวดเร็วพอสมควรก็เรียงร้อยออกมาจากปลายนิ้ว ในขณะที่ฮาจุนขยับนิ้วอยู่ก็ยังงุนงงกับตัวเองแล้วเบิกตากว้าง
เขาเพียงแค่เล่นท่อนเริ่มต้นสั้นๆ เท่านั้น ไม่นานก็หยุดมือก่อนที่การบรรเลงจะซับซ้อนขึ้น แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถปิดดวงตาตกตะลึงได้ มูคยอมพูดชื่นชมออกมาอย่างใหญ่โต
“โอ้โห อีฮาจุน! อะไรกัน! นายเล่นเก่งสุดๆ ไปเลยนี่!”
“…ตอนนี้ก็ยังเล่นได้อยู่เหรอเนี่ย แต่ฉันจำได้ถึงแค่ตรงนี้เอง”
“อันนี้อะไรน่ะ เพลงอะไร”
“ชื่อว่า ‘โซนาต้าหมายเลขเก้า’… ตอนเด็กฉันเคยฝึกเอาไว้ไปแข่ง”
“มันให้ความรู้สึกกรุ๊งกริ๊งๆ ดี เหมาะกับลูกวัวเลย”
มูคยอมยิ้มยิงฟัน สีหน้าไร้เดียงสาราวกับเด็กหนุ่ม
การบรรเลงเพลงอันติดขัดของมูคยอม เปียโนที่ได้ลองเล่นในรอบสิบกว่าปี และรอยยิ้มของอีกฝ่าย ทำให้หัวใจของฮาจุนเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาพยายามบรรเทาหัวใจที่เต้นถี่รัวแล้วยกยิ้มพร้อมกับลูบไล้แก้มสีเกรียมแดดกว่าเขา
“แอบไปเรียนมาตั้งสามเดือนแต่ฉันดันไม่รู้ได้ยังไงนะ… ฉันละเลยเรื่องการเอาใจใส่คิมมูคยอมเกินไปหรือเปล่า”
“รับรู้ถึงความร้ายแรงแล้วเหรอ โค้ชน่ะปล่อยฉันเป็นอิสระมากเกินไป ลองคุมฉันให้เข้มขึ้นอีกสักหน่อยดูสิ”
มีเพียงเสียงริมฝีปากประกบกันอย่างหยอกล้อราวกับเครื่องเคาะจังหวะดังอยู่เรื่อยๆ แทนเสียงเปียโน ถึงลุกขึ้นยืนแล้วก็ยังสวมกอด บดเบียดริมฝีปากพร้อมเดินไปจนถึงเตียงอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนนั้น มูคยอมหัวเราะคิกคักราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“เพราะอีฮาจุน ฉันถึงได้ลองเล่นเปียโนจนจบเพลง ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องให้ได้แตะมันมาก่อนในชีวิต แต่พี่สาวร็อบบี้ก็บอกว่าฉันมีพรสวรรค์นะ บอกว่ามือใหญ่ก็เลยดีสำหรับการเล่นเปียโน”
“ฉันมากกว่าเถอะ… ถ้าไม่ใช่เพราะนายก็คงไม่รู้เลยว่าตัวเองยังจำวิธีเล่นเปียโนได้อยู่”
“ถ้านายเรียนอีกครั้ง แป๊บเดียวก็น่าจะเล่นเก่งเลยนะ”
“อืม… แต่ฉันไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ตอนเด็กก็ไม่ได้เรียนอย่างสนุกสนานอะไรขนาดนั้น ถึงไม่เรียนก็งานยุ่งมากอยู่แล้ว ไม่เอาดีกว่า”
ฮาจุนพูดอ้อมแอ้มพร้อมยิ้มเขิน แต่ก็ครุ่นคิดอยู่รางๆ ว่าแอบไปเรียนมาเซอร์ไพรส์เหมือนมูคยอมดีไหม ไม่สิ มูคยอมเลือกใช้เปียโนไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหาอะไรอย่างอื่นแทน
ฮาจุนคิดแผนลับในใจพร้อมกับกอดมูคยอมแน่น วินาทีนี้ที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเกินตัวอย่างหอมหวานโดยมีอีกคนอยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกมีความสุขราวอยู่ในสรวงสวรรค์
ฮาจุนลองนึกถึงตัวเองเมื่อประมาณสองปีก่อน ก่อนที่จะก้าวออกมาจากความสัมพันธ์ที่เคยทอดสายตามองเพียงฝ่ายเดียวแล้ว ‘เผชิญหน้า’ กับคิมมูคยอมอย่างจริงจัง มันเป็นคืนวันที่เขาเคยพยายามไม่คาดหวังว่าวันข้างหน้าคงดีกว่าตอนนี้ ช่วงเวลาที่ความเหนื่อยล้า ความไม่ยินดีและความหวาดกลัว ถาโถมเข้ามาเป็นความรู้สึกแรกๆ ในการกระทำที่ซุกซ่อนความปรารถนาไว้ จุดไหนสักจุดตรงส่วนปลายสุดของร่างกายยังคงจดจำความรู้สึกในตอนนั้นได้
ทั้งตอนเริ่มความสัมพันธ์ที่คาดไม่ถึงกับคิมมูคยอม และตอนที่เขาลังเลเพราะอีกคนทำตัวแปรปรวน สลับไปมาระหว่างเย็นชากับอบอุ่น แต่แล้วก็ทำใจกล้าสารภาพรักออกไปอย่างไม่สมกับเป็นตัวเอง กระทั่งตอนที่เขาเคยเดือดดาลเพราะการกระทำที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ของมูคยอม ช่วงเวลาเหล่านั้นก็ยังดีกว่าตอนก่อนได้พบเจอกับอีกฝ่าย
เพราะว่าอย่างน้อยหลังจากที่ได้เจอกับมูคยอม เขาก็มองดูตัวเองอย่างละเอียดพร้อมกับขบคิดอย่างหนัก มันดีกว่าตอนที่เขาเฝ้าสังเกตชีวิตของตัวเองราวกับว่ามันเป็นของคนอื่น พร้อมทั้งพยายามที่จะปิดบังความอ่อนแอด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
ถ้าให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับช่วงความรักจืดจาง ช่วงเวลานั้นต่างหากที่เป็นช่วงจืดจางของอีฮาจุน ช่วงเวลาแห่งความจืดจางที่เกิดขึ้นระหว่างกลางชีวิตกับตัวเขาเอง เขาไม่เคยแม้แต่คิดฝันว่าวันที่เจิดจรัสแบบนี้จะมาถึง
ยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงเวลาจุดพลุฉลองปีใหม่ แต่ก็ยังเร็วเกินกว่าจะกินมื้อเย็น พวกเขาตรงมายังโรงแรมทันทีหลังฝึกซ้อม อีกทั้งคงเพราะตื่นเต้นไปกับการแสดงดนตรีอันกะทันหัน ทั้งสองคนจึงรู้สึกเหนื่อยกันนิดหน่อย
พวกเขาอาบน้ำที่สนามฝึกเสร็จแล้วค่อยมา แต่ก็แช่ตัวในอ่างอาบน้ำอีกหนึ่งรอบแล้วถึงออกมาเอนตัวบนเตียงโดยใส่ชุดคลุมอย่างไม่เรียบร้อยนัก ริมฝีปากชื้นบรรจบกันอย่างเชื่องช้าราวหยุดพักชั่วคราว ในระหว่างนั้น ฮาจุนก็นึกเรื่องที่สมองหลงลืมไปขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
“แกะของขวัญกันเถอะ”
“ของขวัญเหรอ”
“วันนี้ได้มาไง ที่แลกกันในทีม”
คำพูดนั้นทำให้มูคยอมยิ้มเจื่อนพร้อมดันตัวขึ้น
“อย่าคาดหวังอะไรเป็นพิเศษล่ะ มีแต่ของไม่มีประโยชน์ใส่มาทุกปี ปีก่อนฉันจับได้อะไรรู้ไหม ไอ้เจ้าเอร์นันเอากางเกงในสกรีนหน้าตัวเองอัดใส่มาจนเต็มกล่อง ของแบบนั้นใครจะไปใส่ลง”
“ยังไงฉันก็อยากรู้อยู่ดี”
สำหรับมูคยอม มันอาจเป็นเรื่องที่เกิดซ้ำๆ ทุกปี แต่สำหรับฮาจุน มันเป็นงานปลายปีของกรีนฟอร์ดที่เขาได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรก มูคยอมบอกว่าเอาสิ พร้อมดันตัวลุกขึ้น แล้วทั้งสองคนก็เอากล่องของขวัญของแต่ละคนมาที่เตียง
กล่องของมูคยอมใหญ่นิดหน่อย ส่วนของฮาจุนเล็กกว่าเมื่อเทียบกัน พวกเขาลองแกะโบว์ของขวัญของฮาจุนก่อน
“ว้าว”
ฮาจุนลืมตาโต มูคยอมเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน จากนั้นไม่นานก็ขมวดคิ้วพลางบ่นงึมงำ
“เดี๋ยวสิ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีของธรรมดาๆ ใส่ไว้นี่นา…”
สิ่งที่ใส่อยู่ในกล่องของขวัญของฮาจุนคือกล่องดนตรีเซรามิก มันถูกห่อไว้หลายชั้นเพื่อกันแตก
พอเปิดฝา เสียงเพลงที่ไม่รู้จักชื่อก็ดังออกมา มันดูราคาสูงทีเดียวและดูเป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างมีรสนิยมและพิถีพิถันเป็นอย่างมาก
“สวยจัง ถ้าวางตกแต่งบ้านก็น่าจะเข้านะ ต้องวางไว้ในห้องฉันซะแล้ว”
“น่าจะเป็นของที่สต๊าฟเตรียมมานะ ในกลุ่มนักกีฬา ไม่มีทางที่จะมีใครเตรียมของขวัญธรรมดาแบบนี้แน่”
“นายจับได้แต่ของแปลกๆ มาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เหรอ นายก็ลองแกะดูเร็ว”
มูคยอมเขม้นมองกล่องของขวัญที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ ไม่นานก็แกะโบว์ออก เมื่อเปิดฝากล่องของมูคยอม ฮาจุนเองก็ก้มหัวลงไปมองของที่อยู่ในนั้น
“นี่อะไรน่ะ”
ในกล่องอัดแน่นไปด้วยสิ่งของเล็กใหญ่หลายอย่าง แต่ละอันถูกห่อแยกไว้อีกชั้น มองผ่านๆ จึงไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร ฮาจุนหยิบของที่วางไว้บนสุดขึ้นมาแกะห่อออก
สิ่งของที่หน้าตาเหมือนไมโครโฟนโผล่ออกมา มันมีด้ามจับยาว เชื่อมกับหัวทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่และโค้งมน เมื่อกดสิ่งที่ดูจะเป็นสวิตช์เปิดจากหลายๆ ปุ่มที่ติดอยู่กับด้ามจับ หัวของมันก็เริ่มสั่นพร้อมส่งเสียงครืดคราด
“เครื่องนวดหรือเปล่า แรงสั่นพอใช้ได้แต่เสียงดังไปหน่อยนะ”
ฮาจุนพูดพร้อมกับเอาส่วนหัวที่สั่นครืดๆ มาวางบนไหล่ของตัวเอง มูคยอมก็เอียงหัวราวกับไม่แน่ใจตัวตนของมันเช่นกัน จากนั้นก็หยิบของในกล่องขึ้นมาทีละอย่าง
ทุกครั้งที่แกะห่อ สิ่งของที่ไม่รู้วิธีการใช้สอยเลยก็ปรากฏออกมา สีหน้าของฮาจุนกับมูคยอมดูไม่แน่ใจมากขึ้นทีละนิด มูคยอมทำหน้าแบบนั้นอยู่ แล้วชั่วขณะหนึ่งก็ขมวดคิ้วเขาหากันทันควัน
“โว้ย ไอ้บ้าคนไหนเนี่ย”
มูคยอมตะโกนเสียงดัง เมื่อฮาจุนกะพริบตาปริบ มูคยอมก็เอาของในกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมายื่นให้ ดวงตาของฮาจุนก็เบิกโพลง
“นั่นอะไรน่ะ”
“ดูเหมือนอะไรล่ะ”
สิ่งที่อยู่ในมือของมูคยอมคืออวัยวะบ่งบอกความเป็นชาย
ไม่สิ พูดให้ถูกคือของปลอมที่ทำขึ้นเลียนแบบเครื่องเพศของผู้ชาย มูคยอมเขวี้ยงมันลงพื้นอย่างรวดเร็วแล้วปัดมือพึ่บพั่บราวกับจับของสกปรก