Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 16
เขาไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย ไม่นึกเลยว่าเขาคิดอยากจะทำมันอีกครั้ง
ภาพของฮาจุนที่กำลังพูดคุยกับโค้ชคนอื่นๆ อย่างจริงจังปรากฏอยู่ในกรอบสายตา อีกฝ่ายพลิกสมุดบันทึกขณะที่ดวงตาก็มองดูสิ่งที่เคยจดบันทึกลงไปด้วย เหมือนกับกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างกันอยู่
ฮาจุนดูเกลี้ยงเกลาเรียบร้อย แม้ไม่ผ่านการปรุงแต่ง อีกฝ่ายเป็นคนที่ขยันขันแข็ง ซื่อตรงและรับผิดชอบในทุกๆ งานอย่างกระตือรือร้น แต่ทำไมเขาถึงประทับใจตอนที่อีกฝ่ายหมดแรงทรุดลงเมื่อถูกสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่รู้ มูคยอมนึกสงสัยว่าเขาเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกแบบนั้น หรือว่าคนอื่นก็รู้สึกเหมือนกัน และที่มูคยอมจินตนาการแบบนั้นได้ อาจเป็นเพราะเขาได้เห็นภาพตอนที่อีกฝ่ายหมดแรงทรุดลงบนเตียง หรือพูดให้ชัดก็คือบนโซฟาก็ได้
มูคยอมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงสมัยที่เป็นนักกีฬาอาชีพ แต่ตอนนี้ฮาจุนก็ไม่ได้ย้อมผมเป็นสีสว่างหรือตัดแต่งอะไร ทรงผมก็เป็นทรงที่เรียบง่าย ไม่มีแม้แต่รอยสักที่เห็นได้ทั่วไปเวลาถอดเสื้อผ้า ถึงแม้ว่าจะมีรอยแผลเป็นที่ชัดเจนเสียยิ่งกว่ารอยสักหลงเหลืออยู่ก็ตาม
อาจเพราะรูปลักษณ์ของฮาจุนเป็นแบบนั้น บรรยากาศที่เรียบง่ายจึงแผ่กระจายออกมายามที่อีกฝ่ายมีสีหน้าไร้อารมณ์หรือกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง แต่หลังจากที่มูคยอมได้เห็นตอนที่อีกฝ่ายนอนแผ่ยับเยินอยู่เบื้องล่างตนครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็เอาแต่นึกถึงตอนนั้นอยู่บ่อยครั้งดั่งภาพฝันที่ติดตา ทั้งที่เคยไปเวิลด์คัพเหมือนกันมาแท้ๆ แต่กลับนึกไม่ออกเลย
***
“โค้ชอี ทานข้าวด้วยกันสิครับ”
มูคยอมเรียกฮาจุนที่ถือถาดอาหาร และทำท่าจะเดินไปยังที่นั่งของโค้ชในตอนเที่ยงเหมือนทุกวันให้หยุดลง จองคยูที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันเบิกตากว้างคล้ายกับจะถามเขาว่าเรียกทำไม มูคยอมคิดว่าอีกฝ่ายจะหลบหน้าตนอีกครั้ง แต่แล้วฮาจุนก็ยืนขึ้นก่อนจะเปลี่ยนทิศทาง และเดินมายังโต๊ะที่มูคยอมนั่งอยู่
หัวข้อสนทนาที่ไม่ได้พูดถึงในห้องล็อกเกอร์ถูกนำขึ้นมาพูดเล่นหยอกล้อเบาๆ ท่ามกลางโต๊ะทานอาหารที่มีมูคยอมนั่งอยู่ตรงกลาง แต่เพราะเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทสนมและคุ้นเคยกัน พวกเขาจึงไม่สามารถสะกดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นในสายตาเอาไว้ได้ ชายคนหนึ่งในนั้นชวนฮาจุนคุย
“โค้ชเองก็เห็นแล้วเหมือนกันใช่ไหมครับ”
“อะไรเหรอ”
“รูปหลุดของพี่มูคยอมไงครับ”
ฮาจุนขมวดคิ้ว
“จะพูดเรื่องนั้นต่อหน้าเจ้าตัวทำไม”
“ทำไมครับ แล้วไงล่ะ พี่มีอะไรต้องอายด้วยเหรอ ที่เกิดเรื่องแบบนั้นก็เพราะเขาหล่อเกินไปน่ะสิ”
ท่ามกลางชายหนุ่มที่กำลังอมยิ้ม ฮาจุนตาสบตากับมูคยอมแวบหนึ่งด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะหยิบช้อนตักอาหารโดยไม่ตอบอะไร ในขณะที่มูคยอมก็ส่ายศีรษะไปมา
“วันนี้โดนด่าไปเยอะแล้ว ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก”
“ฉันพูดอะไรไปเหรอ ใครได้ยินเข้า เดี๋ยวเขาจะคิดว่านายเป็นคนที่เชื่อฟังคำพูดของคนอื่นนะเนี่ย”
“วันนี้พวกพ่อครัวแม่ครัวไม่คุยกับฉันเลย เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาที่นี่เลย”
“ไม่ใช่เพราะที่ฉันพูด แต่เพราะโดนเมินแบบนั้นเองสินะ”
จองคยูหัวเราะคิกคัก ขณะที่มูคยอมย่นคิ้วน้อยๆ
“รอบนี้ฉันก็ตกใจเหมือนกัน ถูกปล่อยภาพเลยนะ เรื่องปกติที่ไหนวะ”
“ใครเหรอครับ ไม่รู้จักกลัวเลยจริงๆ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
เมื่อมูคยอมตัดบท ชายหนุ่มที่ลอบถามก็หุบปากทันที
“ยังไงซะ ฉันก็อยากเปลี่ยนการใช้ชีวิตอยู่เหมือนกัน คงต้องลงหลักปักฐาน… อย่างที่จองคยูพูดแล้วละ”
“ว่าไงนะ”
เมื่อมูคยอมพูดอย่างนั้น จองคยูที่ชอบบ่นเขาว่า ไปหาคู่ซะ คบใครเป็นตัวเป็นตนสักที เหมือนเป็นพ่อสื่อก็ตกอกตกใจและส่งสายตาไม่น่าไว้ใจมาให้ ในขณะที่ฮาจุนก็เบิกตากว้างราวกับตกใจพร้อมกับมองไปที่มูคยอม มูคยอมเอียงแก้วน้ำและเอ่ยต่ออย่างจริงจัง
“ถึงจะไม่ชอบเสียงเอะอะ แต่ฉันก็ไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนกัน ถือโอกาสนี้หาคู่ดีๆ สักคนก็คงไม่แย่เท่าไร”
“เออ คิดดีแล้ว นายเอาแต่พูดว่าสนุก แต่พอผ่านไปวันสองวันก็บอกว่าเริ่มเหนื่อยไง รู้ไหมว่าความรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้อยู่กับคนที่ชอบ มันดีแค่ไหน”
“ลูกพี่จองคยูกับพี่สะใภ้คงรักกันดีมากๆ เลยนะครับ”
ขณะที่จองคยูพูดถึงข้อดีของการแต่งงานและความรักที่มั่นคง มูคยอมก็มองไปที่ฮาจุน ฮาจุนยังคงทานอาหารต่อไปโดยไม่พูดอะไร ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจบทสนทนานี้มากนัก จองคยูกระแทกไหล่พลางบีบนวดให้มูคยอม
“มีใครในใจไหม หรือให้ฉันแนะนำคนที่โอเคให้ไหม”
“มีอยู่แล้ว”
“อะไร โห ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไอ้หนู ถ้ามีคนในใจแล้ว ต้องบอกลูกพี่ก่อนสิวะ”
“ก็ฉันยังไม่ได้คุยกับคนนั้นนี่หว่า เก็บไว้ในใจฝ่ายเดียว”
“พี่ จริงเหรอครับ แล้วเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ที่อังกฤษเหรอ หรือว่าเป็นผู้หญิงเกาหลีครับ”
เมื่อโต๊ะอาหารเริ่มเสียงดังวุ่นวาย ผู้คนที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นก็พากันหันมามอง ตอนนั้นเองฮาจุนที่ทานอาหารโดยไม่พูดอะไรสักคำก็ดันเก้าอี้และลุกขึ้นราวกับจะตัดบรรยากาศที่กำลังตื่นเต้นลงฉับ
“ฉันอิ่มแล้ว เจอกันตอนฝึกรอบบ่ายนะ”
“อ๋อ อือ โอเค ฮาจุน”
ฮาจุนขยับตัวลุกออกไป ขณะที่จองคยูบอกลาอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามฮาจุนก็พูดขึ้นเบาๆ
“พี่ฮาจุน ไม่สิ โค้ชคงไม่ชอบคุยเรื่องแบบนี้แน่เลยครับ”
“เขาไม่ใช่คนที่ชอบซุบซิบนินทา ต่อหน้าฮาจุนพวกนายก็ระวังปากด้วยละ โดยเฉพาะเรื่องด่าลับหลัง”
มูคยอมมองแผ่นหลังของฮาจุนแล้วยิ่งรู้สึกพอใจ อีกฝ่ายพูดน้อยและไม่ชอบซุบซิบนินทา
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ มันจะไม่มีทางรั่วไหลออกมาแน่ เหตุการณ์อย่างเช่น ถูกปล่อยภาพคงไม่มีวันเกิดขึ้น การสานสัมพันธ์กับฮาจุนในระยะยาวนั้น ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่สมบูรณ์แบบ
การฝึกภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้น และมูคยอมก็ฝึกอย่างเอาจริงเอาจัง เหล่านักกีฬายืนต่อแถว วิ่งระยะสั้นไปกลับจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมาย เลี้ยงลูกแบบซิกแซกผ่านสิ่งกีดขวาง และฝึกส่งลูก โดยที่เหล่ากองหน้าซึ่งรวมถึงมูคยอมต้องฝึกความเร็วแยกต่างหาก และสุดท้ายก็รวมทีมซ้อมแข่งขัน ในขณะเดียวกันฮาจุนก็คอยจดบันทึกหรือให้คำแนะนำและอยู่ซ้อมด้วยกันจนจบ
“โค้ช”
ทันทีที่ซ้อมเสร็จ นักเตะก็รีบแยกย้ายกลับบ้าน แต่ฮาจุนกลับยืนถือสมุดบันทึกเหมือนยังมีอะไรที่ต้องตรวจสอบอีก ทันทีที่มูคยอมเดินเข้ามาใกล้ ฮาจุนก็หันมองอย่างหน้าตาย
“ทำไม”
“ฉันเจ็บข้อเท้านิดหน่อยตั้งแต่ฝึกเลี้ยงบอลเมื่อกี้”
ทันทีที่มูคยอมเบ้หน้าและพูดขึ้น ดวงตาของฮาจุนก็พลันเบิกกว้าง
“ว่าไงนะ”
“ดูให้หน่อยได้ไหม”
“ต้องดูสิ ไม่ ไม่สิ รอเดี๋ยว ฉันดูไม่ได้หรอก ต้องเป็นทีมแพทย์”
“ดูให้ก่อนสิ นายรู้เรื่องข้อเท้าฉันดีที่สุดแล้วนี่”
ประโยคนั้นเหมือนจะทำให้ฮาจุนงุนงงแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าลง
“นั่งลงสิ”
มูคยอมทรุดนั่งลงและเหยียดขาบนสนามหญ้า ก่อนที่ฮาจุนจะทาบมือลงบนท่อนขาของมูคยอมโดยไม่ลังเล ทันทีที่มือขาวสัมผัสบริเวณข้อเท้าอย่างระมัดระวังและเริ่มออกแรงกด มูคยอมก็รู้สึกถึงความพึงพอใจอย่างที่เคยรู้สึกอีกครั้ง
“โค้ช”
“หืม”
ฮาจุนไม่หันไปตามเสียงเรียกของมูคยอมราวกับกำลังจดจ่ออยู่กับข้อเท้า และเอ่ยตอบรับโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่ามูคยอมจะเรียกอีกฝ่ายและไม่พูดอะไรต่อ แต่ฮาจุนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ มูคยอมจึงหรี่ตาและมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย
“หัวเข่ามีปัญหา…”
ฮาจุนพึมพำพลางใช้มือกดกล้ามเนื้อยาวบริเวณแข้งและยกขึ้น ไม่ว่าจะมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เมื่อไหร่ก็ตามที่กดลง อีกฝ่ายก็บอกว่าเจ็บ มูคยอมขมวดคิ้วนิ้วหน้าน้อยๆ ฮาจุนทาบมือลงบนหัวเข่า และใช้นิ้วหัวแม่มือกดเบาๆ ที่ต้นขาด้านใน อีกฝ่ายเอาแต่มองขา แพขนตางอนบนใบหน้าที่ก้มลงเล็กน้อยขยับขึ้นลงโดยไร้เสียง
การตรวจโรคด้วยมือแบบง่ายๆ ของโค้ช มันทำให้รู้สึกวาบหวิวได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“เวลาคนเรียกก็มองหน้าหน่อยสิ”
“หืม”
ตอนนั้นเองฮาจุนถึงได้หันมาสบตากับมูคยอม และก่อนที่มูคยอมจะได้พูดอะไรต่อ ฮาจุนก็ดูเหมือนจะจับได้ในทันทีว่าเขาป่วยการเมือง
ฮาจุนเบิกตากว้าง จ้องเขม็งพลางตีต้นขาเขาดังเพี๊ยะ จนเสียงกรีดร้องเบาๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของมูคยอม
“อ๊ะ!”
“ไอ้คนแกล้งป่วย นายชอบล้อคนอื่นเล่นแบบนี้เหรอ”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ นายก็ชอบหลบหน้าฉันไม่ใช่หรือไง”
ฮาจุนทำหน้าเหลือเชื่อและย้อนถาม
“ฉันจะหลบหน้านายทำไม”
“ฉันก็อยากถามเหมือนกัน”
“เราเพิ่งกินข้าวกลางวันด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าหลบหน้ากันแบบเปิดเผย มันจะชัดเจนเกินไป นายก็เลยมาอยู่ใกล้ๆ แล้วก็หลบหน้ากัน เป็นกลวิธีอำพรางประเภทหนึ่งใช่ไหมล่ะ”
“ตอนนี้ฉันก็อยู่ตรงหน้านายนี่ไง”
“เพราะฉันบอกว่าเจ็บ นายในฐานะ Fitness Coach ก็เลยไม่มีข้ออ้างให้หลบหน้าน่ะสิ”
ฮาจุนถอนหายใจราวกับเอือมระอาพลางเสยผมด้านหน้าของตัวเอง
“นายน่ะ ฉันไม่ยุ่งกับนายมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ… ชอบคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อจังนะ”
“เพราะเรื่องวันนั้นเหรอ”
ฮาจุนที่ก้มหน้าอยู่เหลือบมองมูคยอมด้วยสายตาที่คล้ายกับกำลังตำหนิเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่มูคยอมไม่สนใจแล้วพูดว่า
“นายไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะมันยิ่งกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิมซะอีก”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ จะพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกทำไมตอนนี้”
ฮาจุนผุดลุกขึ้นพรวดพราดและเริ่มเดินออกไปเหมือนโมโห มูคยอมจึงรีบลุกขึ้น ไล่ตามหลังไป
“ได้ยินเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม”
“อะไร”
“ที่บอกว่าตอนนี้อยากลงหลักปักฐานเป็นตัวเป็นตนไง”
“อืม ก็เป็นความคิดที่ดีนะ ถ้ามีข่าวออกมาอีก ทีมก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย”
มูคยอมยืนขวางอยู่ตรงหน้าฮาจุน ขณะที่ฮาจุนเบนสายตาไปมองท้องฟ้าว่างเปล่าด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นมูคยอมก็ถามขึ้นโดยไม่สนใจ
“แล้วเรื่องที่ฉันมีคนในใจล่ะ”
“มีหูก็ต้องได้ยินสิ แล้วจะพูดถึงทำไม”
“เพราะคนคนนั้นก็เป็นคนที่นายรู้จักไง”
ประโยคนั้นทำให้ฮาจุนทำได้เพียงสบตากับมูคยอม ความอยากรู้อยากเห็นที่ปิดไม่มิดคลออยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย แต่มันก็แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ไม่นานนักฮาจุนก็ขมวดคิ้วและเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม ราวกับจะบอกว่าอย่าทำให้ขำหน่อยเลย
“ฉันรู้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่พวกเราสองคนรู้จักคุ้นเคยกันเลย”
“ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”
คำตอบสั้นๆ ของมูคยอมทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง เช่นเดียวกับสีหน้าสะเทือนใจน้อยๆ ที่ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ฮาจุนเลียริมฝีปากราวกับเป็นการกระทำจากจิตใต้สำนึก หลังจากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้น
“…คนในทีมเราเหรอ”
“ใช่”
“นายบอกว่าผู้ชาย….”
นายบอกว่าฉันคือผู้ชายคนแรกไม่ใช่หรือไง มูคยอมได้ยินสิ่งที่ฮาจุนกำลังจะเอ่ยออกมาแต่ก็หยุดลงกลางคัน
เขาพูดแบบนี้แล้ว อีกฝ่ายก็น่าจะเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าฮาจุนจะไม่ได้คิดเลยว่าคนที่เขาพูดถึงคือตัวเอง ใบหน้าที่เคยคิ้วขมวดแสดงสีหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่มูคยอมพูด กลับแปรเปลี่ยนเป็นเฉยเมย เศร้าหมองโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้มูคยอมรู้สึกอึดอัด
“ไม่อยากรู้เหรอ”
“อะไร”
“ไม่อยากรู้เหรอว่าใคร”
“…ฉันไม่สน ถ้าจะขอให้แนะนำให้ล่ะก็ ไปพูดกับจองคยูเถอะ จองคยูเก่งเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอ”
มูคยอมยืนแนบชิดข้างๆ ฮาจุนที่ขยับฝีเท้าอีกครั้ง
“นายมันทึ่ม หรือว่าเสแสร้งกันแน่”
“อะไร”
“ลองคิดดูสิว่าในบรรดาผู้ชายในทีมเดียวกันที่นายรู้จัก มีใครที่พอจะเป็นคนในใจของฉันได้บ้าง”
“ฉันไม่รู้เลย”
ขี้โกหกจังเลยนะ หลังจากทำแบบนั้นกับเขาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกฝ่ายจะไม่รู้เลยได้ยังไงกัน
มูคยอมเริ่มโมโหขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบรั้งผู้ชายตรงหน้าเอาไว้
“อีฮาจุน”
“ทำไม”
“นายไง”
“อะไร”
“เข้าใจสักทีเถอะ คนคนนั้นก็คือนายไง”
ประโยคนั้นทำให้ฝีเท้าของฮาจุนพลันหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับมูคยอม
นักกีฬาและโค้ชทุกคนพากันออกจากอาคารและกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน เหลือเพียงคนทั้งคู่อยู่ในสนามหญ้าที่ว่างเปล่า แต่เพราะตอนนี้เป็นเวลากลางวัน จึงไม่แปลกที่จะได้ยินเสียงเซ็งแซ่จากทุกทิศทาง ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนรอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง
มูคยอมอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ฮาจุนกลับมองเพียงเบื้องหน้า ก่อนจะเริ่มขยับฝีเท้าอีกครั้ง คนที่สับสนงุนงงกลับกลายเป็นมูคยอม เขาเดินตามไปขนาบข้างพลางเอ่ยกระตุ้นฮาจุน
“ทำไมไม่ตอบล่ะ”
ไม่มีคำตอบจากฮาจุน อีกฝ่ายเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นพร้อมกับบอกเขาว่า
“อย่าตามมา”
“โค้ชอี คิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อสินะ ฉันก็ต้องไปทางนี้เหมือนกัน”
ทั้งสองเดินเหมือนกำลังแข่งขันกันอย่างเงียบๆ แม้แต่ตอนที่เข้าไปในอาคารก็เดินคู่กันไป แต่เดินไปได้ไม่เท่าไร ฮาจุนก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องทำงานโค้ช ถ้าจะไปที่ห้องล็อกเกอร์ต้องเดินต่อไปอีก
ฮาจุนพยายามจะคว้าลูกบิดประตูอย่างว่องไวแต่มูคยอมกลับเร็วกว่า มือของมูกยอมคว้าข้อมือของฮาจุนเอาไว้ ฮาจุนพยายามออกแรงรั้งไปยังฝั่งตรงข้ามและเอื้อมมือไปยังลูกบิดประตูอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับดึงกลับมาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกับไม่ใช่แรงของคนที่เคยเล่นกีฬามาก่อน มูคยอมกระชากแขนของอีกฝ่ายอีกครั้ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ยอมตามมาเถอะน่า ทำแบบนี้นายจะเจ็บ”
“นายนั่นแหละปล่อยฉันก่อนที่จะเจ็บ”
“ใครทำอะไรเล่า ฉันแค่อยากคุยด้วย ทำไมต้องปฏิเสธขนาดนี้”
เสียงหอบหายใจของคนทั้งคู่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งพยายามจะเอื้อมไปทางลูกบิดประตู ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็ขัดขวางมันเอาไว้ ราวกับกำลังต่อสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรี
“…พวกนายทำอะไรกัน”
น่าเวทนาที่ประตูถูกเปิดออกมาจากด้านในพร้อมกับโค้ชคนหนึ่งที่ก้าวออกมา โค้ชคนนั้นพ่นลมหายใจออกมา พอเห็นฮาจุนกับมูคยอมที่ยื้อยุดกันราวกับเล่นมวยปล้ำกันกลางอากาศ และกำลังจับมือกันก็หัวเราะขึ้นจมูก
“ฉันรู้ว่าสนิทกันมากเพราะอายุเท่ากัน แต่พวกนายก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ… อย่าเล่นกันที่ทางเดิน รีบกลับได้แล้ว”
“ครับ โค้ชก็กลับดีๆ นะครับ”
ฮาจุนรีบสะบัดมือและคำนับบอกลา จากนั้นก็ลอดช่องว่างระหว่างประตูที่เปิดออกเข้าไปในห้องทำงาน
“อีฮาจุน!”
ตอนที่มูคยอมเรียกชื่ออีกฝ่าย ประตูบานนั้นก็ปิดลงแล้ว มูคยอมที่พลาดเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าขมวดคิ้วและครางในลำคอ ก่อนจะเดินไปยังห้องล็อกเกอร์ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
……………………………………….