Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 125
“นี่! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาคือฟิตเนสโค้ชคนใหม่ เขาชื่ออีฮาจุน มาจากเกาหลี คิมเป็นคนแนะนำมา”
จากนั้นนักเตะคนหนึ่งก็พูดขึ้น ก่อนที่ฮาจุนจะได้แนะนำตัวเองเสียอีก
“อ๋อ เพื่อนคนนั้นที่บอกว่าจะอยู่กับมูมูน่ะเหรอ”
ได้ยินแล้วมูคยอมที่กำลังฉีกยิ้มและมองฮาจุนอยู่ก็ขมวดคิ้วในทันที
“ขอล่ะ อย่าเรียกฉันว่ามูมู”
“มูคโยมมันยากเกินไป เรียกมูคำเดียวก็ไม่ติดปาก ไม่ถนัด”
“เรียกนามสกุลก็ได้นี่!”
“อืมม คิมก็ธรรมดาเกินไป”
เหล่านักเตะหยอกเหย้ามูคยอมเล่นพลางหัวเราะคิกคัก ในขณะที่ฮาจุนเองก็เอ่ยพึมพำและหัวเราะ
“มูมู”
มูคยอมรีบปรี่เข้ามาหา แล้วพาดแขนลงบนไหล่ของฮาจุน
“ไม่ได้ ไม่ได้ นายห้ามเรียกแบบนั้น”
“ทำไมล่ะ น่ารักออก”
“ก็ฉันไม่ชอบไง”
อย่างที่ฮาจุนรู้ กรีนฟอร์ดมีนักเตะอาวุโสที่เล่นมานานหลายคน และมูคยอมก็ยังอายุน้อยในหมู่ดาวเด่นของที่นี่
เห็นได้ชัดว่าที่นี่อีกฝ่ายได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นเด็กน้อย ต่างจากซิตี้โซลที่มูคยอมวางมาด เพราะตนเองเป็นนักเตะต่างชาติดาวรุ่งที่ถูกยืมตัวมา และมีคนที่อายุมากกว่าตัวเขาอยู่แค่ไม่กี่คน
อันที่จริงคนอย่างกัปตันคงเห็นมูคยอมมาตั้งแต่ตอนอายุสิบเก้า ฮาจุนรู้สึกอิจฉาผู้คนที่กรีนฟอร์ดที่ได้เฝ้าดูอยู่ข้างๆ มูคยอมมาเป็นเวลานานอยู่ในใจ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ จุน”
“เช่นกันครับ ฝากตัวด้วยนะ”
“เช่นกันครับ”
เหล่านักเตะพากันยื่นมือเข้ามาหา ขณะที่ฮาจุนก็ตอบกลับว่ายินดีและรีบจับมือกับพวกเขา พอมูคยอมเห็นแบบนั้น ก็รีบเข้ามาแทรกและปัดมือทันที จนบรรดานักเตะพากันบ่นพึมพำ
“เป็นอะไรของนาย”
“จับเป็นพิธีก็พอ คิดจะจับเรียงคนเลยหรือไง โค้ชคนใหม่ผิวบอบบาง ถ้าจับตามอำเภอใจ เขาอาจจะแพ้ได้ บอกไว้ก่อน”
“ถ้าผิวหนังบอบบางจนแตะไม่ได้ แล้วจะทำงานเป็นฟิตเนสโค้ชได้ยังไง”
[รู้เอาไว้ก็พอ!]
ครั้งนี้ฮาจุนได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะมูคยอมและเหล่านักเตะพูดสวนกันไปมาอย่างรวดเร็ว ราวกับปืนใหญ่ที่รัวยิงกระสุนจนเขาตามไม่ทัน และระหว่างนั้นการฝึกซ้อมก็เริ่มต้นขึ้น ฮาจุนเดินตามหลังโค้ชอาวุโสราวกับเป็นหาง พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และเรียนรู้การทำงานในแต่ละวัน
การซ้อมฟุตบอลนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างกันกับที่เกาหลีมากนัก แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันไปเสียทุกอย่าง อีกทั้งภาษาอังกฤษก็ไม่ได้คล่องแคล่วมากนักแถมยังจับตุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ ได้อีก ถึงแม้ว่าโค้ชรุ่นพี่จะบอกเขาซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งหรือตั้งใจอธิบายอย่างช้าๆ แล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยากจะเข้าใจอยู่ดี บางครั้งมูคยอมก็เดินเข้ามาช่วยล่ามให้เขา แต่อีกฝ่ายก็ต้องซ้อมเหมือนกัน มูคยอมจึงทำแบบนั้นทุกครั้งไม่ได้
ระหว่างนั้นฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ฝนตกลงมาหลายครั้งแล้วนับตั้งแต่เขามาถึงลอนดอน ละอองฝนที่เหมือนกับหมอกหนาฟุ้งกระจายไปทั่ว แม้จะหลบอยู่ใต้ร่มก็ตาม โค้ชรุ่นพี่อย่างแฮร์รี่มองฮาจุนด้วยสายตาเป็นกังวล
“ไม่หนาวเหรอ มีหลายคนเลยนะที่เพิ่งเคยมาลอนดอนช่วงฤดูหนาวครั้งแรก แล้วต้องลำบากเพราะสภาพอากาศ”
“ผมโอเคครับ ผมว่ามันดีกว่าฤดูหนาวของเกาหลีเอามากๆ เลยละ”
การฝึกซ้อมดำเนินต่อไปโดยไม่คำนึงถึงสภาพอากาศ และเมื่อซ้อมเสร็จ ฮาจุนก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงไปหมด
เขามักจะรู้สึกเครียดในวันแรกของการทำงานมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ที่นี่คือต่างประเทศและการจะฟังสิ่งที่คนอื่นพูดให้เข้าใจทะลุปรุโปร่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ฮาจุนจึงพะว้าพะวงตลอดเวลาฝึกซ้อม ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สภาพอากาศที่หนาวเย็นและชื้นแฉะ ก็ทำให้เรี่ยวแรงและสมาธิของเขาหดหายไปอย่างรวดเร็วเป็นสองเท่า
แม้ผู้คนจะเป็นมิตรและบรรยากาศของการซ้อมก็ไปได้สวย แต่ฮาจุนก็ไม่สบายใจ เพราะเขายังปรับตัวไม่ได้ ฮาจุนเดินเข้ามาในร่ม แม้มันจะง่ายดายกว่าที่คิด แต่เขาก็ยังถอนหายใจในใจ หวังว่าภาษาอังกฤษของเขาจะพัฒนาขึ้นเร็วๆ
ทว่าหลังจากเดินเข้ามาในร่มแล้ว สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็กำลังรอคอยฮาจุนอยู่
การตากฝนทำให้ศีรษะของเขาเปียกโชก เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม และถึงจะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน แต่ก็ต้องเปลี่ยนชุดที่นี่อยู่ดี
ฮาจุนลังเล เขาไม่อยากโชว์รอยแผลเป็นที่เอวให้คนที่ยังไม่สนิทเห็น ถึงกระนั้นฮาจุนก็เดินตามรุ่นพี่ เข้าไปในห้องล็อกเกอร์สำหรับสตาฟอย่างเงียบเชียบ แฮร์รี่ถอดเสื้อผ้าออกก่อนในพรวดเดียว
“หืม? จุน จะไม่เปลี่ยนชุดก่อนกลับเหรอ?”
“…มะ ไม่ละครับ”
ฮาจุนเผลอจ้องท่อนขาของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มลงมองตามสายตาของฮาจุน และหัวเราะคิกคัก
อ่า นี่เหรอ เมื่อก่อนผมเคยผ่าตัด หลังจากประสบอุบัติเหตุน่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ใช่ครับ ผมขอโทษ ที่เสียมารยาทมองคุณ”
“เห็นครั้งแรกก็ไม่แปลกหรอกที่จะสงสัย อย่าไปใส่ใจเลย”
บนต้นขาด้านซ้ายของแฮร์รี่หลงเหลือรอยแผลเป็นยาวที่ผ่ากลางด้านข้างจนเกือบสุด ฮาจุนลังเลสองจิตสองใจ ก่อนจะถอดเสื้อฟุตบอลและเสื้อเชิ้ตที่ชื้นแฉะออก
รอบนี้แฮร์รี่มองเอวของฮาจุนแล้วยิ้มแหย
“นี่วอร์ดผู้บาดเจ็บสินะ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นี่ ในบรรดาคนที่ทำงานนี้ มีคนที่เคยบาดเจ็บอยู่เยอะเลยละ”
“ผมก็เคยประสบอุบัติเหตุเหมือนกันครับ”
แฮร์รี่พยักหน้า พลางถอดกางเกงนอกและกางเกงในออก ฮาจุนแข็งทื่อไปอีกครั้ง หลังจากได้เห็นแฮร์รี่ในสภาพเปลือยเปล่า
“ผมเข้าไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ครับ”
ฮาจุนพยักหน้า พลางเหม่อมองด้านหลังของผู้ชายที่กำลังเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ
หลังจากนั้นไม่นานเหล่าสตาฟคนอื่นๆ ก็เข้ามา จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าพลางพูดคุยกันเรื่องไร้สาระ ฮาจุนกวาดตามองพวกเขาเหล่านั้น แล้วหันขวับมาทางล็อคเกอร์ของตัวเอง ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะถามเขาที่เอาแต่ยืนมองกำแพง
จุน ไม่อาบน้ำเหรอ”
“อ๋อ ผม…จะกลับไปอาบที่บ้านครับ ผมว่าจะไปเปลี่ยนชุดอย่างเดียว”
หลังจากตอบโดยหลบสายตา ฮาจุนก็รีบเช็ดผมและเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูแห้ง แล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า โชคดีที่สายฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับหมอกนั้นเบาบาง ตัวเขาจึงไม่ได้เปียกแฉะจนถึงกางเกงใน และฮาจุนก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาทันทีหลังจากได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อมาถึงลานจอดรถ รถยนต์ของมูคยอมก็กะพริบไฟหน้าสั้นๆ ก่อนที่ฮาจุนจะรีบก้าวเท้าขึ้นรถ ราวกับว่าเขากำลังวิ่งหนี มูคยอมนั่งแข็งทื่อ และไม่สามารถผ่อนคลายสีหน้าเคร่งเครียดลงได้
ฮาจุนที่เบิกตากว้างตื่นตระหนกขณะกระสับกระส่ายราวกับมีคนไล่ตาม มูคยอมจ้องไปที่เขาก่อนจะเอนตัวเล็กน้อยแล้วถามขึ้น
“เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”
“…หะ”
“ใครรังแกนาย เพราะนายมาใหม่งั้นเหรอ มันเป็นใคร บอกฉันมา ฉันจะไปจัดการมันให้”
ฮาจุนมองมูคยอมที่ว่าอย่างนั้น พลางส่ายศีรษะโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“แล้วยังไงล่ะ”
“…”
“ฮาจุน ทำไมล่ะ”
ใบหน้าของอีกฝ่ายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง มีใครมารังแกและล่วงละเมิดทางเพศลูกวัวที่ไร้เดียงสาของเขางั้นเหรอ เมื่อความสงสัยของมูคยอมเริ่มรุนแรงขึ้น ฮาจุนก็ค่อยๆ เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า
“คิมมูคยอม จริงๆ แล้ว”
“อื้อ”
“ตรงนั้นของคนอื่น ไม่มี… อันนั้น”
หลังจากพูดจบ ฮาจุนก็ปิดปากสนิทอีกครั้ง มูคยอมเอียงศีรษะและขมวดคิ้วไม่เลิก ราวกับไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาพูดถึงอะไร
พูดตรงๆ ก็คือทุกคนไม่ได้เรียบเนียน… เหมือนมูคยอม บางคนก็ยังมีขนอยู่ แต่ที่แน่ๆ คนเหล่านั้นมีการตัดแต่งหรือประดับบางสิ่งบางอย่างด้วย
ส่วนคนที่ปล่อยเอาไว้ราวกับทิ้งให้มันเติบโต มีเพียงเหล่าสตาฟวัยกลางคนที่อายุมากเท่านั้น ไม่มีใครที่ยังหนุ่มเลยสักคน ถ้าเป็นที่เกาหลี คนที่ดึงดูดสายตาคงจะเป็นคนที่ไม่มีขนหรือตั้งใจดูแลตรงนั้นมากกว่า แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะตรงกันข้ามอย่างที่มูคยอมว่าจริงๆ
มูคยอมที่เข้าใจสิ่งที่ฮาจุนพูดช้าเกินไปพลันหัวเราะลั่น ฮาจุนหน้าแดงขึ้นยิ่งกว่าเก่า
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกนายว่ายังไง”
“ฉันนึกว่านายแกล้งฉัน”
“แว๊กซ์ขนจนเกลี้ยงโดยไม่จำเป็นเพื่อแกล้งนายเนี่ยนะ ฉันไม่ว่างขนาดนั้นหรอก”
มูคยอมสตาร์ทรถ แล้วจับพวงมาลัย ก่อนจะพูดขึ้น
“ปล่อยไว้แบบนั้นดีไหม ฉันไม่อยากให้นายถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่น เพราะถ้าปล่อยไว้ โค้ชอีก็คงจะอายและไม่กล้าถอดเสื้อผ้าในห้องล็อคเกอร์ต่อไป ฉันชอบแบบนั้นนะ”
“แล้วจะออกมาเฉยๆ ทุกครั้งได้ยังไง ฉันก็ไม่อยากถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่นเหมือนกัน แต่เวลาทำงาน บางทีมันก็เลี่ยงไม่ได้นี่”
ใช่แล้ว เลี่ยงไม่ได้ คนที่แสร้งทำเป็นล้อเล่นพลางเอ่ยความจริงในใจออกมาอย่างมูคยอมยิ้มแหย
สิ่งที่ทำให้ฮาจุนมาถึงลอนดอนได้มีอยู่สองอย่าง เพราะคิมมูคยอมกับอีฮาจุนต้องอยู่ด้วยกัน และเพราะเขาอยากทำให้ความฝันที่สองของอีกฝ่ายเป็นจริงและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
แต่ทุกคืนในสัปดาห์นี้พวกเขาไม่มีโอกาสได้สวมเสื้อผ้า ร่างกายเปลือยเปล่าตกอยู่ในอ้อมแขน และเมื่อได้มองหน้าของคนที่หายใจสม่ำเสมอ ความต้องการอื่นก็ผุดขึ้นมา กลับกลายเป็นว่ามูคยอมรู้สึกเสียดาย เพราะแม้แต่ตอนที่พวกเขาแยกกัน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาส่วนตัวนั้น มูคยอมก็ยังอยากทำให้มันเป็นเวลาของเขาอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่จู่ๆ เขาก็นึกอยากบอกให้อีกคนลาออกจากการเรียนและการทำงาน และเขาอยากมัดอีกฝ่ายไว้ข้างกาย
แต่มันก็เป็นแค่ความเพ้อฝันของเขาเท่านั้น มูคยอมรู้ว่าถ้าเขาพูดออกไปแบบนั้น ฮาจุนจะต้องโมโหและชกบานประตูด้วยกำปั้นเหมือนวันนั้น เขากลัวจึงไม่กล้าเอ่ยออกไป
และถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้โมโห เขาก็ไม่อยากเป็นคนแบบนั้น
“ถ้างั้น… ต้องทำยังไง ต้องไปที่ร้านเหรอ หรือว่าโรงพยาบาล”
ฮาจุนไม่เคยจัดการกับขนบนร่างกายเลยสักครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าต้องทำที่ไหนหรือทำอย่างไร ถึงกระนั้นเขาก็เคยได้ยินเรื่องการแว็กซ์ขนอยู่บ้าง เขาเดาว่ามันน่าจะมีร้านเฉพาะทาง เหมือนร้านทำเล็บหรือสกินแคร์
แต่มูคยอมกลับหัวเราะคิกคัก
“ร้านเนี่ยนะ นายจะยอมให้คนอื่นดูแลส่วนล่างของนายเหรอ”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ”
มูคยอมชูมือทั้งสองข้างขึ้นมาข้างหน้า เหมือนกับคุณหมอที่กำลังจะผ่าตัด
“ฉันทำเอง”
“…ทำเป็นเหรอ”
“เรียนมา ในเมื่อคุณแฟนมา ฉันก็จะทำให้เอง”
“ทำ… ได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ มันเป็นงานที่คนอื่นทำแล้วได้เงินนี่”
“ทำได้ซี่”
รถยนต์เริ่มเคลื่อนตัว มูคยอมปรายตามองฮาจุน
“มีอะไรที่มูคยอมทำไม่ได้บ้างล่ะ”
ฮาจุนจ้องมองมูคยอมด้วยสายตาไม่มั่นใจ แต่อีกฝ่ายกลับฮัมเพลง ขณะที่รถแล่นไปตามถนน
ฮาจุนไม่รู้ว่าต้องถามอะไร ถามอย่างไร เพราะเขาไม่รู้อะไรเลย เป็นไปได้ยังไงเนี่ย ไม่นานเขาก็ยอมแพ้ และเอนหลังฝังลงกับเบาะที่นั่ง
* * *
เมื่อกลับมาถึงบ้านฮาจุนก็อาบน้ำทันที จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมบางๆ ตัวหนึ่ง และเดินเข้ามาในห้อง
ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของมูคยอมนั้นมีทุกอย่าง รวมถึงห้องนวดด้วย ห้องนั้นเป็นห้องที่ใช้ เวลาเรียกนักกายภาพบำบัดหรือหมอนวดมารับการรักษาที่บ้าน เมื่อเร็วๆ นี้ฮาจุนก็ใช้ห้องนี้เพื่อตรวจสภาพร่างกายของมูคยอมหลังซ้อมเสร็จ หรือนวดให้อีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน
“มานี่สิ”
ทว่าวันนี้กลับต่างจากทุกวัน มูคยอมตีที่เตียงนวด พลางโน้มน้าวให้ฮาจุนนอนลง ขณะที่ฮาจุนยังคงมองอีกคนด้วยสายตาฉงน
“นายทำเป็นจริงๆ ใช่ไหม”
“บอกแล้วไงว่าเรียนมา ไม่รู้เหรอว่าฉันมีฝีมือ เชื่อสิ ฉันทำได้ละเอียดเลยละ”
ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ไม่ได้นอนลงบนเตียง เขายังคงยืนอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้าไม่ยินดี สุดท้ายแล้วคนที่ลังเลก็ขมวดคิ้วและถามออกมา
“นายเรียนยังไง”
“หืม”
“ถ้าเรียนจริง ก็ต้องฝึกปฏิบัติไม่ใช่เหรอ แล้วนายทำให้ใคร”
มูคยอมเหม่อมองฮาจุน ก่อนจะวางเจลแว็กซ์ที่ถืออยู่ลง เขาเดินเข้าไปใกล้ฮาจุนที่ยืนอยู่ที่เดิม แล้วยิ้มน้อยๆ
“เป็นอะไรไป โค้ชอี หึงเหรอ”
“ตอบสิ”
มูคยอมไม่ยอมให้เขาไปที่ร้าน พลางถามว่าจะยอมให้คนอื่นจัดการกับส่วนล่างได้ยังไง ในขณะที่มูคยอมได้เห็นและสัมผัสส่วนลับของคนอื่น โดยใช้เรื่องเรียนแว็กซ์ขนเป็นข้ออ้าง พอคิดแบบนั้นแล้วใจเขาก็ร้อนรุ่มไปหมด
เขารู้ว่ามันคือขั้นตอนที่ต้องทำ หากต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิค ระหว่างการฝึกซ้อม ถึงแม้จะไม่ใช่หว่างขา แต่บางครั้งเขาก็ต้องนวดบั้นท้าย หรือขาหนีบของบรรดานักเตะด้วยเหมือนกัน
แต่ที่ฮาจุนทำก็เพราะมันคืองาน ส่วนมูคยอมถึงไม่เรียนเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ
“จะใครซะอีก ฉันให้พวกที่เจอก่อนหน้านี้นอนลง แล้วลองฝึกดู”
“…ก่อนหน้านี้?”
“พวกเขาก็ทักทายนายแล้วไง พวกที่เจอที่สนามซ้อมน่ะ”
“อ๋อ”
ฮาจุนย้อนนึกถึงนักเตะกลุ่มหนึ่งที่จับมือกับเขาที่สนามซ้อม ในขณะที่มูคยอมกลับขมวดคิ้วและส่ายศีรษะ ราวกับนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย
“สิ่งที่ฉันได้รู้แจ่มแจ้งเลยก็คือ จู๋ที่ไม่ใช่ของนายมันน่าอ้วกไปหมดเลย ฉันทำไปด่าไป นึกว่ามือกับตาฉันจะเน่าซะแล้ว”
“…ถ้าเกลียดขนาดนั้นแล้วจะเรียนไปทำไม”
“ฉันทนไหวแค่ให้นายอาบน้ำต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น คนอื่นห้ามแตะต้องตรงนี้ของนายเด็ดขาด เว้นแต่ว่านายจะบาดเจ็บ”
มูคยอมกวาดมือลูบหว่างขาของฮาจุนรอบหนึ่ง และจูงมืออีกคนเข้ามาอีกครั้ง
“นอนลงเร็วเข้า”
ครั้งนี้ฮาจุนยอมแพ้และยอมนอนลงบนเตียง มูคยอมหมุนฝาเจลเปิดออก พลางพูดคนเดียวราวกับกำลังฮัมเพลง
“พอโดนแฟนที่ละเลยหึงเข้า ถึงได้รู้ว่าการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มันมีประโยชน์จริงๆ”
“ฉันละเลยนายตอนไหน”
“เพราะโค้ชของฉันเอาแต่ยุ่งกับเรื่องเรียนและดูแลครอบครัวไง ฉันสามารถให้เวลาของฉันกับนายได้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาที่เตะฟุตบอล แต่นายทำไม่ได้”
“ฉันเลี่ยงไม่ได้เพราะมันคืองาน… ส่วนครอบครัวก็…”
น้ำเสียงของฮาจุนเบาลง หลังจากที่พูดอ้ำอึ้ง ทันใดนั้นมูคยอมก็ยิ้มเยาะ
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ ยิ่งค่าตัวแพงก็ยิ่งมีเสน่ห์”
มูคยอมแกะเสื้อคลุมของฮาจุนเปิดออก แล้วหยิบถุงมือลาเท็กซ์เนื้อบางออกมา ฮาจุนกลืนน้ำลายหนืดลงคอ มันก็เป็นแค่การกำจัดขน แต่เขากลับเครียดเหมือนกำลังผ่าตัดจริงๆ
“เอาละ เจ้านี่”
มูคยอมวางก้อนนุ่มนิ่มลงบนหน้าอกของอีกคน ในขณะที่ฮาจุนเบิกตากว้างและทอดสายตามองมัน มันคือตุ๊กตาวัวสีขาวที่มีเขา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงจะเป็นเบาะรองนั่งที่เหมือนกับตุ๊กตาสินะ
“นี่มันอะไรเนี่ย”
“เพื่อนนาย มันอาจจะเจ็บนิดหน่อย กอดเอาไว้นะ”
พอได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาว่า มันอาจจะเจ็บ เขาก็ยิ่งเครียดหนักกว่าเก่า ฮาจุนปิดปากและกอดหมอนบนหน้าอกไว้แน่นตามที่มูคยอมสั่ง ฮาจุนกลัวจนเขาไม่แม้แต่จะมองลงไปด้านล่าง
มือของมูคยอมลูบลงบนเส้นขน ฮาจุนที่รู้สึกจั๊กจี้ จึงหุบขาเข้าหากันพลางส่งเสียงครางออกมา
“ขนนุ่มสวยเพราะเป็นขนกระต่าย ไม่ใช่ขนธรรมดา พอจะแว็กซ์เข้าจริงๆ ก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อยแฮะ”
“ขนกระต่ายสำหรับคน อะไรอีกล่ะเนี่ย…”
ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ว่ามือของมูคยอมค่อยๆ เกลี่ยสิ่งที่เหลวและเหนียวลงบนผิวหนังส่วนล่างอย่างระมัดระวัง มือของอีกฝ่ายสัมผัสส่วนนั้นของเขาจนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่เขาเครียดก็เพราะจุดประสงค์ต่างหาก
มูคยอมหัวเราะเบาๆ
“ขนไม่ได้เยอะเลย คงไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก “
“อ๊าก!”