Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 116
การย้ายบ้านในฤดูหนาว
ปกติแล้วเมื่ออากาศเริ่มเย็นขึ้นผู้คนจะหลีกเลี่ยงการย้ายบ้าน เพราะถึงจะมีเหตุผลอันเหมาะสมที่จะย้ายที่พักท่ามกลางลมหนาว แต่ก็มีความเศร้าที่ยากจะอธิบายตามมา
ฮาจุนที่เคยต้องพาแม่และน้องๆ ย้ายไปยังห้องชุดอยู่หลายต่อหลายครั้งก่อนจะลงหลักปักฐานกันในอะพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่ตอนนี้เกลียดการย้ายบ้านในฤดูหนาวจริงๆ
ทำไมพวกเจ้าของบ้านบางคนถึงชอบขอขึ้นค่าเช่าช่วงที่อากาศเริ่มหนาวราวกับว่ารออยู่ มันทำให้เขารู้สึกกลัวช่วงสิ้นปีที่กำลังจะมาถึง ตอนที่เสียบ้านหลังแรกไปและย้ายออกมา เขาก็โทษพ่ออยู่บ่อยๆ ว่าทำไมถึงต้องทิ้งพวกเขาไปตอนฤดูหนาวแบบนี้ด้วย
แม้จะมีบางกรณีที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตามคำพูดของคนพวกนั้นหากพิจารณาตามระยะเวลาสัญญาหรือการขอให้ย้ายออกที่ไม่เป็นธรรม แต่เพราะช่วงที่ย้ายออกฮาจุนยังคงเป็นเด็กนักเรียนที่สวมเครื่องแบบอยู่ พอซักไซ้และลองฟังข้อกฎหมายจากผู้ใหญ่อย่างละเอียดก็ไม่รู้เรื่อง ส่วนแม่เขาเถียงอะไรแบบนั้นไม่เป็น ยิ่งกว่านั้นเจ้าของบ้านที่ยอมมอบห้องเล็กๆ ให้กับครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยากจนพร้อมลูกอีกสามคนเช่าส่วนใหญ่ก็จะมีห้องว่างไม่เยอะ และแม่เขาก็เป็นคนประเภทที่จะตอบรับและเผชิญลมหนาวออกไปหาที่อยู่ใหม่ด้วยนี่สิ
“สวัสดีครับคุณแม่”
“เข้ามาเลยค่ะ นักกีฬาคิม”
“ทำไมเกรงใจอย่างนั้นล่ะครับ เรียกผมว่ามูคยอมเฉยๆ ก็ได้ครับ”
“อุ๊ย เอางั้นเหรอจ๊ะ เข้ามาเลยจ้ะ มูคยอม”
วันนี้เขาตั้งใจว่าจะเก็บข้าวของล่วงหน้าเพื่อย้ายบ้านในช่วงฤดูหนาว ส่วนมูคยอมก็ยืนกรานที่จะช่วยเลยมาที่บ้านหลังจากที่ไม่ได้มาเป็นเวลานาน
ฮาจุนพลาดโอกาสที่จะเข้าไปแทรกระหว่างแม่กับมูคยอม เขาเลยยืนตรงประตูมองภาพของคนทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปพลางถามขึ้นจากข้างหลัง
“มาแล้วเหรอ”
ก่อนที่มูคยอมจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม่ของเขาก็พูดขึ้นมาก่อน
“เจอเพื่อนดีๆ นี่เป็นโชคดีจริงๆ มูคยอม ฝากเจ้าฮาจุนด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนี้เพิ่งเคยใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก ฉันล่ะเป็นห่วงเหลือเกิน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะเหน็บโค้ชอีเอาไว้ที่เอวเลยครับ”
“จ้าๆ แม่เชื่อใจมูคยอมนะลูก”
ฮาจุนทิ้งแม่ที่กำลังยิ้มรับโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรเอาไว้ แล้วรีบคว้าข้อมือมูคยอมลากเข้าห้องอย่างรวดเร็ว
ตอนที่อยู่กันแค่สองคนเค้าไม่รู้สึกอะไร แต่เขากลับรู้สึกอับอายและประหม่าแปลกๆ ตอนอยู่ต่อหน้าครอบครัว เขารู้สึกเหมือนกำลังทำความผิดเวลาฟังแม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรพูดว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อน
ฮาจุนเอาหลังมือกุมแก้มไว้ให้หายเห่อร้อนแล้วหันไปหามูคยอม
“บอกว่าทำคนเดียวได้ก็ยังจะมาช่วยอีก”
“อยากทำอีกสักรอบก่อนที่ห้องจะว่างก็เลยมาไง”
มูคยอมพูดอย่างนั้นพลางหมุนคอหนึ่งครั้ง ฮาจุนคิดว่าบ้านที่เล็กกว่าห้องน้ำบ้านมูคยอมและห้องที่ซ่อมซ่อนั้นไม่มีอะไรน่าดูสักนิด มิหนำซ้ำห้องยังอยู่ในสภาพที่รกรุงรังกว่าปกติจากการแกะของกระจัดกระจายไปทั่ว
“มันต้องใช้คนไง อย่าดื้อ” มูคยอมจิ้มที่แก้มของฮาจุน
“เก็บแค่ของฉัน ไม่ได้ย้ายไปหมดสักหน่อย จะเยอะจนต้องใช้คนเลยเหรอ จ้างคนมาเขาคงขำ”
“คนทำงานชอบงานน้อยๆ กันอยู่แล้ว เพราะยังไงก็ได้เงินเท่าเดิม”
ยังพอเหลือเวลาก่อนออกเดินทางเนื่องจากเรื่องขั้นตอน ฮาจุนเลยจัดกระเป๋าใบใหญ่ไว้ล่วงหน้าและตั้งใจว่าจะส่งไปที่บ้านมูคยอม
พวกเขาสองคนวางแผนอนาคตเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษด้วยกันอย่างตั้งใจ ฮาจุนวางแผนว่าจะเริ่มจากการเรียนภาษาเพราะถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยไปตอนนี้ฮาจุนก็กังวลว่าจะเรียนไม่ทัน
ความสามารถทางภาษาอังกฤษของฮาจุนก็ไม่ได้จัดว่าแย่ ในช่วงหลายปีมานี้เขาทั้งติดตามฟังและอ่านบทความข่าวต่างประเทศกับบทสัมภาษณ์ของมูคยอม ทั้งค้นคว้าข้อมูลเป็นภาษาต่างประเทศอยู่ทุกวันตอนเรียนการฝึกสอน การฟังหรือการอ่านทั่วไปเลยพอรู้เรื่อง เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเรื่องการพูด
ฮาจุนที่มีประสบการณ์เป็นนักกีฬาที่ประเทศเกาหลีใต้และได้รับการยอมรับเรื่องการฝึกสอนเตรียมที่จะเริ่มฝึกงานในกรีนฟอร์ดเร็วๆ นี้ แต่กลับกังวลว่าจะสื่อสารไม่ได้อย่างเต็มที่
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“หือ”
“ทำหน้าเหมือนไม่อยากไป”
มูคยอมถามขึ้นเสียงเบาแล้วแกล้งเอานิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่าย ฮาจุนที่เหม่อไปชั่วครู่และจมอยู่กับความกังวลเล็กน้อยส่ายหัวแล้วรีบยิ้มออกมา
“ไม่อยากไปอะไรล่ะ น่าจะเพราะคาดหวังมากกว่า”
“เครียดแล้วเหรอ”
ฮาจุนไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเขาได้รับโอกาสที่ไม่เคยแม้แต่จะฝันถึง ความกังวลเลยมีมากพอๆ กับความคาดหวังที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา
แต่ก่อนตอนที่เขาเกือบจะได้ไปฝรั่งเศส มันคือการได้รับข้อเสนอให้ย้ายไปยังทีมที่ดีกว่าจากผลงานของตัวเอง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ต่างจากการพึ่งพามูคยอม เขากังวลมากที่สุดเรื่องที่ตัวเองไม่ดีพอสำหรับมูคยอม
“เปลี่ยนคำพูดไม่ทันแล้วนะ ถ้าไม่มีนายฉันก็เตะบอลดีๆ ไม่ได้ จำได้ใช่ไหม”
ราวกับถูกใจ มูคยอมถูหน้าไปกับคอของฮาจุนแล้วแกล้งทำเป็นออดอ้อนเอาใจ ฮาจุนหัวเราะแล้วตีเข้าไปที่หลังของมูคยอมทันที
“ถูกต้อง ฉันมาเพื่อบอกให้คิมมูคยอมเตะบอลดีๆ ไง”
“อะไรจะสำคัญไปกว่านักกีฬาตั้งใจเตะบอลเพื่อโค้ชล่ะ นายตัดสินใจถูกแล้ว”
มูคยอมพูดอย่างนั้นแล้วประทับริมฝีปากลงบนคอเขาจนเกิดเสียงจุ๊บ ฮาจุนห่อไหล่ด้วยความตกใจเล็กน้อยแล้วกระซิบขึ้น
“อย่าสิ แม่ยังอยู่ตรงห้องนั่งเล่นอยู่เลย”
“จุ๊บทีเดียวเอง ทำหน้าเครียดทำไม
มูคยอมยิ้มออกมาแล้วเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พับแขนเสื้อและค้นดูหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ แต่ฮาจุนก็รีบลากอีกฝ่ายออกมา
“นายเอาของที่ฉันส่งให้จัดใส่ลังก็พอ อย่าจับอะไรซี้ซั้ว”
“ทำไมล่ะ มีอะไรซ่อนไว้หรือไง ไม่ใช่ว่าตอนนี้เรารู้กันหมดเปลือกแล้วเหรอ”
“ถึงจะรู้กันหมดเปลือกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะทำตัวตามใจได้นะ ต่อไปฉันจะแก้นิสัยที่ชอบจับของคนอื่นโดยพลการของนาย”
มูคยอมที่ตั้งใจจะเช็กว่าไดอารี่ยังอยู่หรือไม่เพื่อที่จะเผาทิ้ง กระแอมสั้นๆ เหมือนรู้สึกเสียดายพร้อมกับถามขึ้น
“แล้วจะทำยังไงกับเจ้าพวกนั้น”
สิ่งที่มูคยอมชี้ให้ดูและเรียกว่า ‘เจ้าพวกนั้น’ ก็คือพวกแฟ้มพอร์ตที่ถูกเสียบไว้ตรงชั้นหนังสือ ไม่มีอะไรต้องอายเพราะเนื้อหาทั้งหมดถูกเปิดเผยไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็แอบซ่อนความเขินอายเอาไว้แล้วตอบขึ้น
“ไม่รู้สิ มีหลายเล่มมากเลยว่าจะปล่อยทิ้งไว้น่ะ เพราะยังไงก็ไม่ใช่ของที่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้”
“ไม่ได้ กะแล้วว่านายต้องพูดแบบนั้น วันนี้ฉันเลยเตรียมตัวมาย้ายให้เป็นพิเศษ ฉันจะเอาไปเองตอนไปลอนดอนเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดโดยใช่เหตุระหว่างขนส่ง “
“อะไรจะขนาดนั้น”
“ถึงกับสั่งทำตู้เซฟสำหรับเก็บไว้ให้เลยนะ พอเอาไปแล้วฉันจะเอาไปใส่ไว้ในนั้น เขาบอกว่าเป็นวัสดุที่ถึงจะเกิดระเบิดนิวเคลียร์ก็ไม่แตกสลาย”
“…อะไรจะขนาดนั้น…”
“ถึงแม้ว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นจริงๆ แฟ้มพวกนี้ก็จะยังอยู่ เพราะงั้นก็เลยเลยมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ถึงมนุษย์ล่มสลายไป แต่เรื่องที่นักกีฬาฟุตบอลคิมมูคยอมเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหนก็จะยังอยู่และถูกส่งต่อไปยังโลกที่หนึ่งถึงโลกที่ร้อย ไม่น่าทึ่งเหรอ ถ้ามันกลายเป็นแบบนั้นก็ต้องขอบคุณนายเลยนะ”
ฮาจุนเลิกเถียงต่อแล้วพยักหน้า
“นิทานนั่นดูน่าสนุกดีนะ เอาไปทำหนังกันดีไหม”
ฮาจุนเริ่มเก็บของในตู้เสื้อผ้าระหว่างที่มูคยอมเก็บแฟ้มอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครสั่ง แม้มูคยอมจะคิดว่าค่อยไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเอาไป แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงออกไปไหนในต่างประเทศด้วยตัวคนเดียวไม่ได้จริงๆ
แม้ว่าฮาจุนจะได้เรียนรู้จากมูคยอมเมื่อไม่นานมานี้ว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยแบล็คการ์ดใบเดียวไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่เขาก็ต้องต้องเก็บของตามลำดับขั้นตอนเพื่อความสบายใจของตัวเองและความเป็นระเบียบว่าอะไรจำเป็นและไม่จำเป็น
เอาอะไรไปดีนะ
เขารื้อข้างในตู้เสื้อผ้า แล้วเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดออก เป็นแม่ของฮาจุนที่ยื่นหน้าเข้ามา
“ฮาจุน มูคยอม แม่ออกไปก่อนนะ พอดีมีนัดตอนเที่ยง ทำยังไงดีล่ะ แขกสำคัญมาบ้านทั้งทีแต่ดันไม่อยู่บ้าน”
“ไม่เป็นไรเลยครับคุณแม่ เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“แม่เตรียมมื้อกลางวันไว้ให้แล้ว อีกสักพักถ้าหิวก็กินกันเลยนะ ได้ยินว่ามูคยอมชอบซี่โครงหมูตุ๋นใช่ไหม แม่ทำเอาไว้เต็มเลย ก่อนไปก็กินเยอะๆ ล่ะ”
“จริงเหรอครับ ได้ครับ จะทานให้อร่อยนะครับ”
หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาเช่นกันเมื่อหันไปเห็นสีหน้าดีใจของมูคยอมที่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ จากนั้นก็ก้าวเท้าไวๆ เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
มูคยอมที่เดินออกไปส่งแม่ของฮาจุนถึงประตูหน้าบ้านกลับเข้ามาในห้องแล้วหยิบแฟ้มทั้งหมดออกมา เขาพูดขึ้นเหมือนกับฮัมเพลงออกมา
“เพิ่งเคยเห็นคุณแม่แต่งหน้าครั้งแรก ดูสวยแปลกตาไปเลย ดูเหมือนจะคล้ายกับนายอยู่หน่อยนะ”
“อื้อ หลายคนบอกว่าฉันคล้ายแม่ ส่วนมินคยองกับฮาคยองคล้ายพ่อมากกว่า”
แม้ว่าอันที่จริงฝาแฝดจะสูญเสียพ่อไปตอนอายุ 5 ขวบ เลยจำพ่อได้จากแค่ในภาพถ่ายก็ตาม
“โอ๊ย ตกใจหมด” ฮาจุนที่กำลังเปิดตู้เลือกเสื้อผ้าที่จะเอาไปสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ
มูคยอมที่เดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้โอบเอวเขาไว้จากด้านหลังแล้วจูบที่หลังคอ อีกฝ่ายหัวเราะคิกแล้วถามขบใบหูเขาเบาๆ
“คุณแม่ออกไปแล้ว งั้นแค่จูบคงได้ใช่ไหม”
“อย่ามาเงียบๆ สิ จู่ๆ มายืนข้างหลังฉันตกใจหมด”
“เลือกชุดได้แล้วหรือยัง”
มูคยอมยื่นมือเข้าไปรื้อในตู้เสื้อผ้า แต่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นก่อนที่ฮาจุนจะพูดห้าม
“…นี่อะไรเนี่ย”
มือที่ปัดป่ายไปมาภายในตู้เสื้อผ้าหยุดลงแล้วหยิบเสื้อตัวหนึ่งออกมา ฮาจุนอ้าปากเล็กน้อยและมองภาพนั้นด้วยความตกใจ เขายื่นมือเข้าไปห้ามแต่ก็สายเกินไป
“หยิบของตามใจตัวเองอีกแล้ว เอามานี่เลย”
มูคยอมยกแขนขึ้นสูงและไม่ส่งให้ง่ายๆ
เสื้อใหม่ถูกแขวนไว้อยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมและยังไม่ได้ดึงป้ายออก เป็นเสื้อยืดแขนสั้นลายสีขาวกับสีฟ้า หน้าอกข้างซ้ายถูกประดับด้วยลายประภาคารที่คุ้นตามากสำหรับมูคยอม
“โดเวอร์ เรนเจอร์สเหรอ”
มูคยอมพลิกเสื้อด้านหลังมาดู ก็เห็นเลข 19 ซึ่งเป็นหมายเลขเสื้อเก่ากับตัวอักษรชื่อของตัวเองติดอยู่ที่หลัง
“นายมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
มูคยอมรู้สึกทึ่งขณะที่พลิกเสื้อดูอย่างจริงจัง ฮาจุนอยากจะดันมูคยอมออก แต่อีกฝ่ายไม่ขยับเลยสักนิด
โดเวอร์ เรนเจอร์สคือทีมต่างประเทศทีมแรกที่มูคยอมย้ายสังกัดไป ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นทีมที่อยู่ในลีกระดับ 2 แล้วถึงได้เลื่อนชั้นเป็นระดับ 1 จากผลงานอันโดนเด่นของเขา และถึงแม้จะเป็นแค่ตั๋วระดับล่าง แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในระดับ 1 มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่ามูคยอมจะย้ายจากโดเวอร์ที่เป็นเมืองท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลอนดอนไปยังทีมอื่นแล้ว แต่จนปัจจุบันที่นั่นก็ยังชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสปอร์ตบาร์ที่ไหนก็จะมีชุดบอลหรือรูปถ่ายของเขาสมัยอยู่โดเวอร์แขวนเอาไว้
ถัดจากชุดบอลทีมโดเวอร์เรนเจอร์สก็เป็นชุดบอลทีมกรีนฟอร์ดซึ่งเป็นสังกัดในปัจจุบัน รวมถึงเสื้อบอลทีมชาติในแต่ละฤดูกาลที่ถูกแขวนไว้ ไม่ใช่เค่ชุดบอลทีมเหย้าแต่ยังมีชุดบอลทีมเยือนและเสื้อสำรองที่ใช้ใส่ในการแข่งขันนอกบ้านรวมอยู่ด้วย ชุดทุกตัวใหม่เอี่ยมเหมือนแค่ซื้อเก็บไว้และไม่แม้แต่จะลองสวมดูสักครั้ง รวมถึงป้ายเสื้อก็ยังไม่ถูกตัดออก
มูคยอมมองดูชุดบอลหลากสีทีละตัวในขณะที่ฮาจุนส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ด้วยความหนักใจ มูคยอมอุทานขึ้นในระหว่างที่ถือชุดหลายชุดไว้ในมือ
“เยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
เป็นชุดบอลที่อีกฝ่ายสะสมมาประมาณ 10 ปี ปีละสองถึงสามตัว เสื้อแขนสั้นบางๆ ไม่ได้กินพื้นที่ขนาดนั้น แต่พอเอามาวางรวมกันแล้วก็เป็นจำนวนที่มากพอสมควร
“เฮ้อ จริงๆ เลย… ทำไมถึงหยิบของในตู้เสื้อผ้าคนอื่นตามใจ”
“ซื้อไว้ไม่เคยใส่สักครั้งเลยเหรอ เหมือนชุดใหม่ทั้งหมดเลย”
“ไม่ได้ซื้อมาใส่สักหน่อย” ฮาจุนละล่ำละลักตอบ
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ต้องคิดหนักเวลาจะซื้อชุดบอลหลายๆ ชุดแล้ว แต่ในสมัยเรียนเขาค่อนข้างหนักใจกับการใช้เงินซื้อชุดบอลหนึ่งชุดมากทีเดียว
ชุดบอลของแท้ที่เขาสะสมมาทีละตัวด้วยเงินที่ออมมาในช่วงที่เรียกได้ว่าไม่มีเงินเหลือใช้ ตอนกลางวันเขาเตะฟุตบอล ส่วนตอนกลางคืนก็ไปช่วยงานพิเศษของแม่ และในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือเมื่อมีเวลาว่างเขาก็จะทำงานพาร์ทไทม์ระยะสั้นๆ พอสุดท้ายที่พลาดช่วงฤดูกาลไป ก็เลยมีพวกชุดที่ซื้อมาด้วยเงินค่าขนมหลังจากที่สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นด้วย
มันไม่ใช่ของที่เขาซื้อมาใส่เอง
“ไซส์ดูใหญ่นะเนี่ย” มูคยอมชูเสื้อตัวหนึ่งจากชุดที่หยิบออกมาแล้วเอามาแนบกับตัวของฮาจุน
“…ไม่ได้ซื้อมาใส่ก็เลยไม่ได้ซื้อไซส์ตัวเองน่ะ”
มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วถามขึ้นขณะเดินเข้ามาใกล้ฮาจุน
“รู้ไซส์ฉันได้ยังไงเหรอ ไซส์ชุดไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการนะ”
“ดูข้อมูลส่วนตัวก็พอรู้นะ แล้วก็เอามาเทียบกับไซส์ตัวเอง…”
“งั้นเหรอ เลือกจากการตัดสินด้วยสายตาว่างั้น”
ฮาจุนที่เคยหลบสายตาของเขาอยู่ราวกับเขินอายหันกลับมามองอีกครั้งด้วยท่าทางที่เหมือนจะถามว่า ‘แล้วยังไง’
“มันแปลกมากขนาดนั้นเลยเหรอที่ฉันรู้ไซส์นาย ยังไงก็เก็บตัวด้วยกันตั้งหลายครั้ง”
“แอบดูไซส์ฉันเหรอ เจ้าเล่ห์นะเนี่ยโค้ชอี”
มูคยอมอมยิ้มแล้วก็ดึงป้ายของชุดที่ถืออยู่ออก มูคยอนที่กำลังยิ้มอยู่ต่างจากสีหน้าของฮาุนที่ซีดเผือก ฮาจุนอ้าปากค้างทำตาโต
“ดึงออกทำไม!”
“ให้ตัวใหม่อีกตัวก็ได้นี่ ฉันมีชุดฤดูกาลแบบละหลายตัวอยู่ที่บ้านในลอนดอน”
ฮาจุนเงียบไปเหมือนกับพูดไม่ออก แต่สีหน้าก็ยังคงแสดงถึงความไม่พอใจ
“เขินอะไรเล่า”
มูคยอมหัวเราะออกมาพลางจิ้มแก้มอีกฝ่าย ที่อีกฝ่ายทำแบบนี้เพราะรู้สึกอับอาย ฮาจุนจะทำหน้าบึ้งเมื่อรู้สึกอับอายหรือเขิน เลยกลายเป็นว่าอีกฝ่ายมักจะบึ้งตึงใส่เขาอยู่บ่อยๆ ขัดกับเวลาปกติที่เป็นคนยิ้มเก่ง
“ลองใส่ดูสิ” มูคยอมยื่นเสื้อบอลที่ดึงป้ายออกแล้วมาให้
“ทำไมล่ะ”
“ลองใส่ดู เร็วๆ”
ฮาจุนมองค้อนที่อีกฝ่ายสั่งอะไรยิบย่อยแต่ก็รับเสื้อมาถือไว้ หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออกรวดเดียว เผยให้เห็นร่างขาวเปลือยเปล่า ฮาจุนสวมเสื้อผ่านศีรษะเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องการเปิดโอกาสกระตุ้นสายตามูคยอม
เสื้อบอลที่มีขนาดใหญ่กว่ารูปร่างของฮาจุนเลื่อนลงมาคลุมร่างกายแบบหลวมๆ อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
“ใหญ่ไปหน่อยจริงด้วย”
ฮาจุนลองสวมมันเป็นครั้งแรกหลังจากดูแลราวกับเป็นเจ้านายมาหลายปี เขาอุทานออกมาเบาๆ เมื่อมองลงไปยังแขนเสื้อหลวมๆ ที่คลุมอยู่ตรงแขนตัวเองและชุดโคร่งๆ ที่ห้อยอยู่บนตัว