Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 10
“อะไรกัน รักษาระยะห่างอยู่หรือไง”
บางทีอาจไม่ใช่การหลีกเลี่ยง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนชอบเก็บตัว ถ้าจะมองว่าดูเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกแบบนั้นสักเท่าไร แต่ถ้าจะมองจากลักษณะนิสัยของคนอย่างเดียวก็ยากที่จะตัดสินว่าคนคนนั้นมีนิสัยอย่างไร
บางทีที่เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายหลบเลี่ยงเขาในช่วงแรกนั้นก็อาจจะเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ มูคยอมคิดช้าๆ ขณะยืนอยู่ใต้ฝักบัว และเปิดน้ำร้อน
แม้ว่าตอนนี้ความหนาวเย็นได้หายไปหมดแล้ว แต่ในวันที่ฝนตกก็ยังรู้สึกเย็นๆ อยู่ดี เมื่อร่างกายที่เย็นขึ้นเพราะถูกฝนอุ่นขึ้นแแล้ว ก็รู้สึกที่เคยพลุ่งพล่านเย็นลง
ฮาจุนที่มาช้ากว่าเขาไปแค่หนึ่งก้าวนั้นยืนอยู่ใต้ฝักบัวด้านข้างๆ ที่ติดกัน เมื่อดูแล้วเวลาที่ใช้ในการอาบน้ำของพวกโค้ชจะแตกต่างจากบรรดานักเตะ เพราะมีหลายคนที่ไม่อาบน้ำในสนามฝึกซ้อม เพราะฉะนั้นนี่คือครั้งแรกที่มูคยอมได้อาบน้ำพร้อมกันกับฮาจุน
ตอนที่สวมใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ดูงั้นๆ แต่ปกติแล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ออกกำลังกายเลยยังมีโครงอยู่บ้างไม่ได้ผอมแห้งอะไร ไหล่กว้าง ไม่มีไขมันส่วนเกินอย่างพอดิบพอดี มีกล้ามเนื้อตรงส่วนที่ควรจะมี เรียกได้ว่าเป็นคนรูปร่างผอมแต่ก็มีกล้ามเนื้อ
ดูอย่างไรก็ดูเป็นรูปร่างที่สาวๆ ชื่นชอบที่สุดไม่ใช่เหรอ มูคยอมเป็นกองหน้าและยิ่งเขาเพิ่มกล้ามเนื้อมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็มีแรงและความเร็วมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าถามหา ‘รูปร่างที่สวยงาม’ ของผู้ชายที่เป็นที่นิยม ดูเหมือนว่าฮาจุนที่อยู่ข้างๆ จะเป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว
อีกฝ่ายหน้าตาก็ดูงั้นๆ แต่ร่างกายกลับขาวมาก ถ้าถอดรองเท้าแล้วยืนข้างกันอีกฝ่ายคงสูงเกิน 180 เซนติเมตรมานิดหน่อยเองละมั้ง ดูเหมือนว่าฮาจุนจะตัวเล็กกว่าเขาสักประมาณสิบเซนติเมตร อีกฝ่ายหลับตาให้น้ำไหลผ่านทำให้ขนตาใต้เปลือกตาดูยาวยิ่งขึ้น เสยผมที่เปียกไปด้านหลังเผยให้เห็นหน้าผากอันเรียบเนียน สายตาของมูคยอมมองไล่ไปบนสันจมูกโด่งจนถึงคิ้วที่ดูเข้มและอ่อนโยน
ในขณะที่จ้องมองรูปลักษณ์ด้านข้างของอีกฝ่ายที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับมองภาพวาดอยู่ มูคยอมก็เห็นด้วยกับคำพูดของจองคยูที่ว่าหมอนี่คงเป็นที่นิยมของสาวๆ แน่ มูคยอมถามขึ้น ทำลายความเงียบ
“นายยังออกกำลังกายอยู่ไหม”
“หืม”
“ฉันถามว่านายยังออกกำลังกายอยู่ไหม”
“ออกสิ เพราะฉันต้องรับส่งกับนักเตะให้ดี มันถึงจะง่ายต่อการฝึกสอน”
เสียงของพวกเขาสะท้อนนิดหน่อยในห้องอาบน้ำที่เงียบสงัดนี้ มูคยอมไม่ถามอะไรต่อ เขาเงยหน้าสระผมและออกมาก่อน แค่ล้างน้ำฝนออกก็เพียงพอแล้ว เพราะเขาได้อาบน้ำไปแล้วรอบหนึ่ง
ฮาจุนที่เข้าไปช้ากว่าหนึ่งก้าวเมื่อตอนออกมาก็ช้ากว่าหนึ่งก้าวเหมือนเดิม ฮาจุนออกมาตอนที่มูคยอมเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าตัวใหม่ และเช็ดผมอยู่หน้ากระจก ฮาจุนที่สะท้อนผ่านกระจกรีบเร่งเดินไปยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์อย่างเขินอาย หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดตัว แล้วรีบใส่เสื้อผ้า มูคยอมยกยิ้มหัวเราะ
‘ยังจะมาอายอะไรอีกกับการแก้ผ้าในกลุ่มผู้ชาย ยังไงเมื่อครู่ก็อาบน้ำด้วยกันมาแล้ว’
ตอนที่ทั้งสองคนออกมาจากอาคารฝนก็ยังคงตกอยู่ และตกอย่างหนักเสียด้วย คราวนี้มูคยอมตั้งใจจะเดินไปที่ลานจอดรถ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของฮาจุนดังขึ้นมา
“คิมมูคยอม”
“หืม”
ฮาจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เรียกเขาแต่กลับไม่ได้พูดออกมาในทันที มูคยอมรออีกฝ่ายพูดอย่างไม่รีบร้อนและดูค่อนข้างผ่อนคลายเมื่อเทียบกับตอนก่อนเตะบอล อย่างไรก็ตามฮาจุนพูดตะกุกตะกักกว่าเดิมเล็กน้อยโดยไม่ค่อยผ่อนคลายเท่ากับเมื่อครู่
“ฉันรู้ว่าช่วงนี้นายจิตใจว้าวุ่นมาก… ถ้าให้พลังแก่นายได้ก็คงดีนะ”
“…”
“ใครๆ ก็รู้ว่าผู้จัดการทีมเป็นผู้มีพระคุณของนาย ฉันตกใจที่เห็นผู้จัดการทีมล้มลงไป นายเองก็คงจะพูดไม่ออกเหมือนกันใช่ไหม ดูเหมือนว่านายจะคิดมาก แต่ถึงยังไงนายก็ตัดสินใจที่จะลงเล่นกับทีมนี้เป็นเวลาหนึ่งฤดูกาลแล้ว เพราะงั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนหรอก”
ดูเหมือนว่าฮาจุนจะพยายามปลอบมูคยอม ฮาจุนรู้สึกเขินอายขณะที่พูดจึงกลั้นหายใจสักพักแล้วเงยหน้าขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้
มูคยอมเคยเห็นนักเตะหลายคนได้รับการปลอบโยนหลายครั้งเกี่ยวกับความกังวลหรือเรื่องที่ยากลำบากจากฮาจุน ทุกครั้งฮาจุนจะหัวเราะราวกับว่าไม่กังวลใจอะไรเลย แต่ท่าทางของฮาจุนในครั้งนี้ดูแปลกตาราวกับว่ากำลังฝืนใจปลอบประโลมผู้อื่น
ผมหน้าม้าที่ถูกปัดขึ้นไปนั้นไหลลื่นลงมาที่หน้าผากอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความมืดมิดใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนมีเลือดฝาดแวบๆ เหมือนกับตอนอยู่ในวงเหล้า
“นายรู้ไหมว่าทำไมผู้จัดการทีมถึงเป็นผู้มีพระคุณของฉัน” มูคยอมเอียงคอถาม
“ผู้จัดการทีมเจอนายตอนที่นายเรียนมัธยมต้น ดังนั้นนายจึงคิดว่าเขาเหมือนกับพ่อของนาย นายเคยบอกว่าก่อนที่จะเริ่มเตะบอลชีวิตของนายลำบากมากเลยนี่นา ดังนั้นฉันคิดว่าถ้าไม่ใช่ผู้จัดการทีมแล้วละก็คงจะไม่สามารถช่วยใครได้ตลอดหรอก”
“นายรู้ด้วยเหรอว่าก่อนที่ฉันจะเริ่มเตะฟุตบอลฉันเคยทำอะไรมา”
“…ฉันแค่ได้ยินมาว่านายลำบากมาก”
มูคยอมพยักหน้าแล้วพูดเสริมคำพูดของฮาจุนในตอนท้ายที่มันดูเลือนราง
“ถ้าฉันไม่ได้เล่นฟุตบอลตอนนี้ฉันคงอยู่ในคุก ชายหนุ่มที่ไร้พ่อแม่เข้าๆ ออกๆ ที่สถานีตำรวจมากกว่าสิบครั้งเนื่องจากเรื่องขโมย เรื่องทะเลาะวิวาทและเรื่องอื้อฉาวทั้งปวง เป็นเพราะว่าฉันยังเด็กเลยได้รับการปล่อยตัวน่ะ ถ้าตามกฎจริงๆ ฉันต้องเข้าสถานพินิจแล้ว ต้องเข้าสถานพินิจอย่างเดียวหรือเปล่านะ หลังจากนั้นก็คงเข้าเรือนจำทั่วไปแหละ”
สิ่งที่มูคยอมพูดถึงคือเรื่องราวของเขาเอง แต่ฮาจุนก็รีบแทรกขึ้นมาเพื่อเข้ามาแย้งทันที อีกฝ่ายขึ้นเสียงด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่าเป็นทนายความของมูคยอม
“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่มันก็โอเคแล้วไงที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเด็กมันเลยยากและลำบากมาก”
“นายบอกว่านายรู้งั้นเหรอ”
ฮาจุนเงยหน้ามองตรงไปข้างหน้าพร้อมกับเบิกตากว้างเล็กน้อยกับคำถามที่ย้อนกลับมาของมูคยอม มูคยอมขมวดคิ้วลงเล็กน้อยและมองไปที่ฮาจุน
“นายรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”
“…”
มูคยอมเห็นริมฝีปากและดวงตาของฮาจุนแข็งทื่อ อีกฝ่ายเผยให้เห็นความรู้สึกผ่านใบหน้าที่บ่งบอกว่าตนเองนั้นพลั้งปากไปแล้ว
“ดูท่าทางนายคงจะสนใจฉันพอสมควรเลยสินะ”
อย่างไรก็ตามหลังจากคำพูดนั้นของมูคยอมดวงตาของฮาจุนก็เบิกโพลง ริมฝีปากที่เคยปิดสนิทก็เปิดกว้างเล็กน้อย อีกฝ่ายตอบอย่างเร่งรีบราวกับจะแก้ตัว
“เรื่องแค่นี้ใครๆ ก็รู้ มันเป็นเรื่องที่นายเคยพูดตอนสัมภาษณ์ และมันเป็นเรื่องที่เคยออกรายการด้วย…”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของมูคยอม ฮาจุนก็ทำหน้าเหมือนนักโทษที่โดนไต่สวนแล้วหันหน้าหลบเลี่ยงสายตาของมูคยอม แม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้ถามคำถามที่ถามไม่ได้ แต่ใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความอักอ่วนและอับอายจนแทบไม่สามารถซ่อนได้ราวกับตาข่ายที่พันกันอย่างยุ่งเหยิง
มูคยอมเดินเข้าไปใกล้ฮาจุนหนึ่งก้าวแล้วโน้มตัวลงไป อีกฝ่ายผลักใบหน้าของมูคยอมให้มองตรงไปข้างหน้าเพื่อที่จะได้หลบหน้าเขา
“อีฮาจุน”
“…”
“อะไรของนาย”
มูคยอมขมวดคิ้วพร้อมกับอมยิ้ม ฮาจุนเหลือบมองโดยไม่พูดอะไรด้วยสีหน้าพะวักพะวนราวกับว่าเดาไม่ออกเลยว่ามูคยอมกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงลดสายตาเหลือบมองข้างล่างอีกครั้ง ดูเหมือนว่าฮาจุนกำลังมองหาคำตอบที่จะตอบ แต่เพราะหาคำตอบที่เหมาะสมไม่ได้ง่ายๆ อีกฝ่ายจึงมองไปมองที่ไหนสักแห่งในอากาศด้วยนัยน์ตาที่มีความไม่สบายใจ
เมื่อไม่นานมานี้มูคยอมมีความคิดแปลกๆ เหมือนว่าเป็นความรู้สึกด้านตรรกะมากกว่าด้านผลลัพธ์
ถ้าหากถามว่ามันเป็นลางสังหรณ์ของคนเจ้าชู้หรือเปล่า จะว่าอย่างนั้นก็ได้ หรือถ้าถามว่ามันเป็นความรู้สึกของผู้ชายที่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ก่อขึ้นมาโดยฉับพลันหรือเปล่า หากจะว่าอย่างนั้นก็ได้เช่นกัน มันเป็นความสามารถในการตัดสินชี้ขาดที่เขาได้จากการฝึกภาคสนาม
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้พบกับอีกฝ่าย มูคยอมก็ไม่เคยคิดถึงสัญญาณอันแข็งแกร่งของความเป็นไปได้เลยสักครั้ง
“เงยหน้าขึ้นมาสิ”
มูคยอมใช้สองมือกอบกุมใบหน้าของฮาจุนแล้วเชยคางของเขาขึ้นเบาๆ ฮาจุนไม่ได้ปัดมือคู่นั้นออก และยอมให้สัมผัสใบหน้าโดยดี ดวงตาที่สบสายตากันนั้นจ้องเขม็งอีกครั้ง เป็นเพราะว่ารอบด้านมืดลงจึงไม่สามารถอ่านความคิดจากสายตาคู่นั้นได้ ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ค่อยๆ โน้มศีรษะเข้าหาใบหน้าขาวใสของอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจของตนเอง ตาขาวที่ดูขาวสะอาดและตาสีดำกลมโตของฮาจุนที่จ้องมองกลับไปนั้นไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย มูคยอมที่กำลังจ้องมองอีกฝ่ายก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างน่าเบื่อหน่าย
จุ๊บ
เมื่อเทียบกันแล้ว เสียงริมฝีปากของมูคยอมที่สัมผัสกับริมฝีปากของฮาจุนแล้วผละออกมานั้นเบากว่าเสียงฝนเสียอีก อย่างไรก็ตามแทนที่จะเงยหน้าขึ้นในทันที มูคยอมก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ ราวกับว่าเขากำลังจะแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอีกครั้ง
มูคยอมไม่แม้แต่จะหลับตา ในขณะที่เขากำลังพิจารณาสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฮาจุน เขาก็เงยหน้ากลับขึ้นไปเช่นเดิมอย่างช้าๆ ฮาจุนที่ถูกจูบอย่างกะทันหันไม่ขยับร่างกายแล้วเงยหน้าขึ้นมองมูคยอมอย่างไม่กะพริบตาราวกับตกตะลึง
แม้ว่ามูคยอมจะจูบฮาจุนตามอำเภอใจตนเอง แต่เขาก็ไม่มีข้อแก้ตัวหรือคำขอโทษให้อีกฝ่ายเลยสักคำ เขาได้แต่สบตาของฮาจุนและหันใบหน้าด้านข้างพร้อมกับยิ้มจางๆ อย่างไร้ยางอาย
ทำอย่างไรดี
ฮาจุนคอตกส่ายหน้าอย่างช้าๆ ราวกับถามออกไปเช่นนั้น มูคยอมมองไม่เห็นสีหน้าของฮาจุน มือของอีกฝ่ายที่ตกลงข้างเอวนั้นสั่นเบาๆ เขามองเห็นมือนั้นกำลังกำหมัดแน่นอยู่
โกรธเหรอ
นี่เขาคิดไปเองหรอกเหรอ
นี่อีกฝ่ายกำลังจะต่อยเขาหรอกเหรอ
ในขณะที่มูคยอมค่อยๆ ลืมตาเรียวขึ้นและประเมินถึงบรรยากาศของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง ฮาจุนก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มือที่กำหมัดแน่นเมื่อครู่นี้ได้จับแก้มทั้งสองข้างของมูคยอมเอาไว้ และเลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ๆ เพื่อเตรียมจะบดขยี้อย่างเต็มสูบ
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ริมฝีปากของฮาจุนเท่านั้น แต่แรงผลักของอีกฝ่ายที่โถมเข้ามาทั้งตัวทำให้มูคยอมต้องถอยไปหนึ่งก้าวและเอนหลังพิงกำแพงเอาไว้ ฮาจุนโถมริมฝีปากราวกับจะกลืนกินมูคยอม แต่เขาไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปด้วยเหตุผลบางอย่าง แค่หยอกล้อกับจูบที่เป็นเพียงแค่การสัมผัสริมฝีปากเพียงเท่านั้น
มูคยอมค่อยๆ ลูบท้ายทอยของฮาจุนจนอีกฝ่ายเลินเล่อ เขาจึงได้สอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปาก ทันใดนั้นลิ้นร้อนชื้นที่ซ่อนอยู่ภายในก็เข้าไปเกี่ยวพันกับลิ้นของมูคยอมอย่างรีบร้อนและยินดีกับการบุกรุกนี้ ขยับเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อนราวกับลูกนกที่ถูกป้อนอาหารมากกว่าการจูบกันเสียอีก
“อือ อื้ม…!”
เมื่อฝ่ายตรงข้ามทำตัวรีบเร่งโดยไม่จำเป็น เขาก็ได้เพลิดเพลินกับความรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น และเมื่อดูดคลึงลิ้นอย่างช้าๆ ก็เกิดเสียงครวญครางอันร้อนแรงขึ้น มูคยอมเกือบจะหัวเราะกับปฏิกิริยาที่กระตือรือร้นนั้นโดยไม่รู้ตัว ความตื่นเต้นเร้าใจก่อเกิดขึ้นเมื่อเขาไล้ปลายนิ้วลูบผมไปจนถึงกระหม่อมของฮาจุน
จับลมหายใจแล้วลองยิงประตู ความรู้สึกพออกพอใจเหมือนกับตอนที่ยิงเข้าประตูพอดี ถึงเขาจะเคยมีเซ็กส์กับผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกปลาบปลื้มได้เท่ากับตอนนี้มาก่อน
เพราะว่าสัญญาณของอีฮาจุนมันยากที่จะรู้ได้ มูคยอมจึงนำสิ่งที่อีกฝ่ายปกปิดและหลีกเลี่ยงเอาไว้ออกมาอย่างช้าๆ วิธีที่คนเราจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และชัยชนะก็คือตอนที่เราได้ค้นพบสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างหนาแน่นมากกว่าตอนที่ได้ครอบครองสิ่งที่มันเปิดเผยอยู่ต่างหาก มูคยอมส่ายหน้าอยู่ในใจพร้อมกับโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
พูดไม่ออกเลย เกือบโดนหลอกเข้าไปเต็มเปาแล้วสินะ
อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายอาจจะเรียบร้อยเกินสำหรับกองหลัง
“อ๊ะ อื้อ”
ไม่เลวเลยที่ได้ยินเสียงครวญครางของชายหนุ่มที่พรั่งพรูมันออกมาทุกครั้งที่เขาสอดลิ้นเข้าไปในปากแล้วถูไถมันไปทางด้านขวา ไม่รู้ว่าจงใจหรือทำไปด้วยจิตใต้สำนึก มูคยอมเอาแต่เกาะร่างของอีกฝ่ายไว้ในแขนด้วยความเต็มใจ และยังเอาหัวไปซุกไว้ที่หลังคอของฮาจุนเป็นบางครั้ง ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นมือของฮาจุนที่จับชายเสื้อของมูคยอมอยู่จะเกร็งขึ้น
อากาศในวันที่ฝนตกเย็นสบาย ความหนาวเย็นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นสำหรับทั้งคู่ที่ผมยังชื้นเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่ทว่าข้างในปากของฮาจุนนั้นช่างร้อนแรง ทุกๆ ครั้งที่กระหวัดเกี่ยวลิ้นนุ่มของอีกฝ่าย มูคยอมก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขานั้นร้อนขึ้น
ทันทีที่ใช้ปลายลิ้นฟาดราวกับดุอีกฝ่ายที่เร่งขออาหาร อีกฝ่ายก็แน่นิ่งราวกับเข้าใจความหมายที่จะสื่อ จากนั้นสิ่งที่อยู่ในปากก็สงบลง อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าถ้าหากกดริมฝีปากลงไปแรงๆ หมายถึงให้อ้าปากออกมา หรือทำไปเพียงเพราะเป็นสัญชาตญาณ มูคยอมดูดลิ้นที่รอคอยอยู่ข้างในนั้นจนคนในอ้อมแขนไหล่สั่นระรัว มูคยอมรู้สึกพึงพอใจกับปฏิกิริยาอ่อนไหวนั้นขึ้นเรื่อยๆ
“อือ อื้อ…”
เมื่อลิ้นและริมฝีปากประกบกันมูคยอมก็ได้ยินเสียงชื้นเบาๆ ข้างในหูที่ดังกว่าเสียงฝนที่ตกกระทบพื้นดิน มูคยอมดึงผมด้านหลังแล้วเอียงศีรษะของฮาจุน เมื่อลิ้นร้อนสอดเข้าไปในริมฝีปากแล้ว เสียงครางของมินจุนก็ถูกส่งผ่านออกมาระหว่างรอยแยกของริมฝีปาก
“อือ อื้อ”
เสียงครางหวานละมุนราวกับว่าเขาได้ดื่มน้ำหวานผ่านทางใบหู รู้สึกหอมหวานแม้กระทั่งภายในหัวของเขา ทั้งสองลุ่มหลงอยู่ในรสจูบจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว มูคยอมที่สอดลิ้นลึกเข้าไปยังจุดที่ลึกที่สุดภายในริมฝีปากหลายต่อหลายครั้ง พลันคิดได้ว่าจูบนี้ดูจะยาวนานเกินไปแล้ว
มูคยอมกวาดลิ้นรอบๆ คอจนทั่วปาก ในขณะที่ริมฝีปากของฮาจุนอ้าออกเขาก็หายใจออกมาอย่างร้อนรุ่ม ค่อยๆ ใช้ฟันดึงริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายเพื่อปิดท้ายการจูบ ชายหนุ่มที่ถูกกัดริมฝีปากสะดุ้งในอ้อมกอดของมูคยอม และแล้วใบหน้าที่ห่างออกไปก็ยังไม่ได้ตั้งสติเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระอย่างมึนงง
มูคยอมมองลงไปที่ฮาจุนที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในอ้อมแขนของตนเองราวกับมองดูอะไรที่น่าทึ่ง ตอนนี้ใบหน้าของฮาจุนไม่ได้แสดงสีหน้ายิ้มแย้มแบบที่อีกฝ่ายทำให้เห็นต่อหน้าคนอื่นเสมอๆ และก็ยังไม่ได้ทำหน้าตาเคร่งขรึมเหมือนเวลาที่อีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าเขาด้วยเช่นกัน
ปากของอีกฝ่ายเปียกชื้นและบวมขึ้นเล็กน้อยเพราะโดนกัดไปเมื่อครู่หนึ่ง อีกทั้งดวงตาปรือที่กำลังมองมูคยอมอยู่นั้นก็สั่นระริก อาจจะเป็นเพราะอารมณ์หรือเป็นเพราะอากาศชื้น เพราะแม้กระทั่งผิวสีขาวก็ดูนุ่มลื่นมากกว่าปกติก็ดึงดูดสายตาของเขาได้อย่างน่าทึ่ง
ฮาจุนที่กำลังมองมูคยอมราวกับมองภาพหลอนรู้สึกเขินอายช้าไปหน่อยจากสายตาที่มูคยอมจับจ้องตนเองอย่างพิจารณา ฮาจุนจึงรีบปิดปากตนเองอย่างรีบร้อน ฮาจุนพยายามเอาร่างกายที่โดนกอดอยู่ในอ้อมแขนนั้นถอยหลังออกมายืน มูคยอมรั้งแผ่นหลังของฮาจุนเข้ามาหาตนเองในขณะที่อีกฝ่ายพยายามที่จะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดอันคุ้นเคย และไล่ต้อนอีกฝ่ายราวกับว่าจงใจจะซักไซ้
“จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ”
“…หะ”
“ทีนี้จะเอายังไง จูบกันแล้วช่างมันงั้นเหรอ”
ขณะนั้นเองดวงตาของฮาจุนก็สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายคงหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่ได้อีกแล้วสินะ ถึงได้ปิดปากเงียบอย่างนั้นและจ้องมองไปที่บริเวณหน้าอกของมูคยอมด้วยสายตาที่อ่อนล้า ในขณะที่อีกฝ่ายตกอยู่ในห้วงความคิด มูคยอมก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย
‘จะทำยังไงดีล่ะตัวฉัน’
………………………………………………………