God of illusions ตอนที่ 48 การเตรียมตัวของเสวี่ยิ่ง!
หลังจากมื้อนี้ หินชิงหลัวที่ป่ายเสี่ยวเฟยได้ปล้นมาในช่วงเวลาสองสามวันหายไปเกือบครึ่ง และหากไม่ใช่เพราะพวกโม่ข่าได้โชคลาภมากมายเมื่อวาน เขาอาจต้องอยู่ล้างจานก็เป็นได้
เมื่อทุกคนกินดื่มจนอิ่มหนําสําราญ พวกเขาเดินกลับไปห้องเรียนเสียงถกเถียงพูดคุยดังไม่หยุดตลอดทางซึ่งไม่ใช่เรื่องอื่นนอก
จาก
จะทําอย่างไรกับการประลอง!
สิ่งที่ทําให้ป่ายเสี่ยวเฟยซาบซึ้งใจคือถึงแม้พวกเขาจะต้องสู้กับศิษย์พี่ ไม่มีใครในกลุ่มถอนตัวสักคนราวกับเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องต่อสู้ร่วมกัน!
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหมดนั่งลง คาบเรียนจะเริ่มแล้ว” เสวี่ยยิ่งพึงพอใจกับท่าทีของทุกคนเป็นอย่างมากไม่ง่ายเลยที่จะเห็นสีหน้านางผ่อนคลายก่อนจะเริ่มเรียน
ทุกคนนั่งลงทันที่สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เสวี่ยอิ่ง สําหรับพวกเขาแล้วการดวลครานี้ขึ้นอยู่กับสามคนเป็นหลัก
คนแรกคือป่ายเสี่ยวเฟย ไม่เพียงเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องที่สําคัญเขายังมีเล่ห์กลมากมายซุกซ่อนอยู่
คนที่สองคือหลินหลี นักเชิดหุ่นอัจฉริยะสายพลังงานระดับปรมาจารย์! หากป่ายเสี่ยวเฟยทําหน้าที่เป็นมันสมองและหลินหลีทํา หน้าที่เป็นมือเท้าไม่ต้องพูดถึงศิษย์ใหม่ ขนาดศิษย์ปีสองยังอาจสู้นางไม่ได้
คนสุดท้ายคือเสวี่ยยิ่ง! หนึ่งเดือน! หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงไม่มีทางทําอันใดได้ในเวลาเพียงเท่านี้ แต่พวกเขาเชื่ออย่างสุดใจว่าเสวี่ยิ่งสามารถฝึกให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมากภายในเวลาหนึ่งเดือนได้แน่นอน!
นี่เป็นสิ่งที่เสวี่ยิ่งอยากจะเอ่ย!
“ข้าไม่รู้ว่าสี่คนที่ฉินหลิงหยานจะพามามีใครบ้าง แต่ถ้าคิดในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พวกเขาทุกคนต้องอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์ระดับเดียวกับข้า” ศิษย์ทั้งสิบหกอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยิน
ยอดปรมาจารย์! หากเป็นศิษย์พี่ในระดับยอดปรมาจารย์พวกเราจะมีโอกาสชนะหรือ?”
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล จากที่ข้ารู้ มีน้อยกว่าห้าคนในสถาบันที่ฝ่าทะลุด้านที่สามของระดับปรมาจารย์ได้ อีกอย่างพวกเขาทั้งหมดล้วนชอบเก็บตัวฝึกตน ไม่ว่าฉินหลิงหยานจะมีอิทธิพลมากเพียงใดนางก็เป็นแค่ศิษย์ปีหนึ่ง โอกาสที่นางจะรู้จักพวกเขามีน้อยนิดยิ่งนัก”
“บวกกับหากมองในแง่ของคนธรรมดา ระดับปรมาจารย์ห้าคนของด่านที่หนึ่งถึงด่านที่สามก็เพียงพอที่จะจัดการพวกเจ้าทั้งหมด”
ระดับปรมาจารย์คือตัวแบ่งระหว่างนักเชิดหุ่นระดับต่ํากับนักเชิดหุ่นระดับสูง การเป็นปรมาจารย์นักเชิดหุ่นถือได้ว่าคนผู้นั้นได้ก้าวเท้าเข้าสู่โลกของนักเชิดหุ่นเต็มตัว
ตั้งแต่ระดับปรมาจารย์ขึ้นไปทุกระดับจะแบ่งออกเป็นหลายด่านระดับปรมาจารย์มีทั้งหมดสามด่าน
ด่านแรกคือมองทะลุแก่น การมองเห็นเส้นโคจรปราณภายในร่างกายตนเองคือมาตรฐานของการเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ปายเสี่ยวเฟยทําได้แล้ว เขาแค่มีปราณกําเนิดในร่างไม่พอ
ด่านที่สองคือควบคุมปราณกําเนิด นอกเหนือจากการมองทะลุแก่นแล้วผู้ที่อยู่ในด่านที่สองของระดับปรมาจารย์สามารถควบคุมความเร็วในการไหลเวียนโคจรของปราณกําเนิด ดังนั้นพวกเขาสามารถควบคุมความแรงของการโจมตีโดยไม่ต้องพึ่งพาวิชาฝึกปรือเพื่อส่งผ่านปราณกําเนิด
ด่านที่สามคือบัญชาปราณกําเนิด นอกจากพื้นฐานของการควบคุมปราณกําเนิดแล้ว ปรมาจารย์นักเชิดหุ่นสามารถควบคุมปราณกําเนิดได้ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นจากจุดปราณบรรจบทั้งเจ็ดเมื่อคนผู้หนึ่งถึงระดับนี้พวกเขาสามารถใช้งานปราณกําเนิดในหลา กหลายวิธีมากกว่าเดิม
จากคําพูดของเสวี่ยอิ่ง คนในด่านทั้งสามพวกนี้คือกําลังรบหลักที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้าในหนึ่งเดือน!
“หากเป็นศัตรูระดับปรมาจารย์ พวกเจ้ายังพอสู้ได้!” สีหน้าของเสวี่ยิ่งปรากฏความเย่อหยิ่งมั่นใจ ทุกคนในห้องตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยิน
ศิษย์ใหม่ต่อสู้กับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ !
พวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร!? แต่พวกเขาสับสนไม่น้อยหลังจากใจเย็นลงแล้วเพราะพวกเขารู้ความสามารถของตนเองดี
“อะไรกันแน่ที่ทําให้นางมั่นใจถึงเพียงนี้?
สายตาทุกคู่จ้องเขม็งที่เสวี่ยิ่ง
“ข้ากะไว้ว่าจะค่อยๆ ฝึกพวกเจ้าไปเรื่อยๆ แต่เนื่องจากสถานการณ์ไม่คาดฝันคงได้แต่บีบอัดแผนการฝึกให้พวกเจ้า ข้ารู้ว่ามันยากเป็นอย่างมากแต่นี่คือหนทางเดียวของพวกเจ้า!” ทุกคนนั่งเหม่อมองอย่างโง่งม
“บีบอัดแผนการฝึก? อย่าบอกนะว่าแผนแรกยังไม่หนักพอ?”
“ยังยากได้กว่านี้อีกหรือ!??
แทบทุกคนรู้สึกเสียใจภายหลังในตอนนี้ แต่พวกเขากระโดดลงหลุมไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะบินกลับขึ้นมา
“พี่หญิงเสวี่ย พวกเราควรทําเช่นไร?” ฟางเยถามเสียงแผ่วเบาปลดชนวนระเบิดที่เสวี่ยยิ่งเตรียมไว้
“ไม่ต้องถามข้าก็จะช่วยพวกเจ้า” เสวี่ยิ่งถมือสองข้างเข้าด้วยกันใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนที่มากความหมาย
“เจ้ามีค่าขนมต่อเดือนเท่าไหร่?” ทุกคนมีสีหน้าประหลาดกระทั่งฟางเย่ยังยืนเหม่ออยู่นาน เขาไม่คาดคิดว่านางจะถามเขาตรงๆ
เช่นนี้
“ หนึ่งหมื่นเหรียญอเมทิสต์” ฟางเยู่พูดออกมาช้าๆ นอกจากหวังหางแล้วทุกคนสูดหายใจเข้าลึกทันที
“ชีวิตของคนรวยเป็นเช่นนี้ ช่างแตกต่างกับพวกเราเหลือเกิน..
“เจ้าขอมากกว่านี้ได้หรือไม่?” ทุกคนในห้องแทบล้มคะมพื้นทันทีเมื่อได้ยิน
“นางต้องการทําอะไรกันแน่? ตบตีพวกฉินหลิงหยานด้วยเงินรึ?”
ฟางเยู่มีสีหน้าเคร่งขรึม เพราะเขาเป็นเพียงนักเชิดหุ่นสายจู่โจมระยะไกลระดับฝึกหัด ถึงแม้เขาจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เรื่องเงินแล้วเขาไม่ทําตัวเหลาะแหละแน่นอน
“ข้ามีเงินเก็บอยู่ห้าแสนเหรียญอเมทิสต์ ถ้าหากบอกท่านพ่อว่าข้าต้องจ่ายค่าเล่าเรียน เขาคงให้ข้าได้มากกว่านี้ แต่เขาบอกว่าเขาอยากเห็นผลลัพธ์ของข้าก่อน” ฟางเยได้เริ่มคิดวิธีหลอกพ่อของเขาแล้วแต่เขาไม่มีทางคาดฝันได้แน่ว่าเสวี่ยิ่งจะตรงไปตรงมาขนาดนี้
“บอกเขาว่าเจ้าอยากติดสินบนข้าและขอเงินให้ได้มากที่สุด ข้าสัญญาว่าเจ้าจะอยู่ในระดับรอบรู้ขั้นสุดยอดภายในเวลาหนึ่งเดือน!” ทุกคนตะลึงทันทีเมื่อได้ยิน ไม่เว้นแม้แต่ฟางเย่
เขาตื่นตระหนกถึงขั้นพูดลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยก่อนจะกล่าวคํา
สั้นๆ
“ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด”
คําสัญญาของเสวี่ยิ่งที่จะทําให้เขากลายเป็นนักเชิดหุ่นระดับรอบรู้เย้ายวนใจเขาอย่างมาก
ไม่ใช่ว่าการแข็งแกร่งขึ้นเป็นเหตุผลหลักที่เขามาเรียนที่นี่หรอกหรือ!?
“ป่ายเสี่ยวเฟย หินชิงหลัวที่เจ้าปล้นมาทั้งหมดจะต้องถูกยึด!”หลังจากกล่าวกับฟางเย่จบ เสวี่ยิ่งหันมามองป้ายเสี่ยวเฟย น่าแปลูกที่ครั้งนี้สีหน้ายิ้มแย้มไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป นางใช้น้ําเสียงสั่งการกับป่ายเสี่ยวเฟยแทน
1 22 แต้งบอมตราหมอจนเสก
งไม่เต็มใจ
“พวกเจ้าทั้งสามด้วย!”
โม่ข่าและพวกที่ตอนแรกคิดว่าตนได้รอดพ้นภัยพิบัติพลันเผยสีหน้าขมขึ้นโดยพร้อมเพรียงก่อนจะยื่นตราหยกให้ป่ายเสี่ยวเฟย
“เหอเหอ พันกว่าก้อน? หากข้ารู้ตั้งแต่แรกข้าคงไม่พาพวกเจ้าไปกินที่บ้านร้อยรส” เสวี่ยิ่งถอนหายใจยาวเหยียดสีหน้าเผยความรู้สึกขาดทุนแตกต่างจากศิษย์นักเรียนจากห้องคนเถื่อนที่ตกตะลึงพรึงเพริด
“หินชิงหลัวพันกว่าก้อน!?”
สายตาของทุกคนหันไปมองกลุ่มทั้งสี่ของป่ายเสี่ยวเฟยราวกับจะถามว่า
“พวกเจ้าทําอะไรมาในช่วงหลายวันมานี้!?”
“ยังไม่พอ ข้าคงต้องหาทางอื่น” คําพูดของเสวี่ยิ่งดึงสติทุกคนกลับสู่ตัวก่อนจะทําให้พวกเขาตะลึงอีกครา
“ยังไม่พอ!!!???
MANGA DISCUSSION