God of illusions - ตอนที่ 51 วิริยภาพของโม่ขา!
God of illusions ตอนที่ 51 วิริยภาพของโม่ขา!
กระถางยามหึมาแทบจะเต็มปริ่มหลังจากทั้งสิบหกคนเทน้ําเข้าไปเป็นอีกครั้งที่ทุกคนสับสนฉงนสงสัยเมื่อเสวี่ยยิ่งเรียกให้พวกเขาขนส่วนผสมยาใส่ไปในกระถาง
“นางจะผสมยา? ยาอะไรที่ใช้น้ํามากมายขนาดนี้? นางทดลองวิธีใหม่หรือ?”
ทฤษฎีต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในหัวทุกคน ไม่มีอันใดเลยที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เสวี่ยิ่งคิด
“โม่ข่า ถึงเวลาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว ต้มน้ําเ” ตาทั้งคู่ของโม่ข่ เบิกกว้างแทบถลนออกมาเมื่อได้ยิน
“ต้ม? ข้าคนเดียว?” โม่ขารู้สึกราวกับได้ยินสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก เป็นเพราะหุ่นเชิดกระถางยามิอาจเพิ่มอุณหภูมิได้โดยไฟหากแต่เป็นปราณกําเนิด! ไม่ต้องพูดถึงต้มน้ําให้เดือดเลย แค่อุ่นกระถางใหญ่ขนาดนี้ก็ทําปราณกําเนิดเขาแห้งเหือดแล้ว!
หินชิงหลัวที่นางริบจากคนอื่นออกมาก่อนจะจัดตั้งค่ายกลง่ายๆ ข้างหน้ากระถางยา
“ค่ายกลรวบรวมกําเนิดจะช่วยให้เจ้าฟื้นคืนปราณกําเนิดเราจะใช้หินชิงหลัวพวกนี้ส่งผ่านปราณกําเนิดเข้าไปในกายเจ้า เจ้ามีงานแค่อย่างเดียวใช้ปราณกําเนิดพวกนั้นต้มน้ํา” สุ่มเสียงผ่อนคลายของนางไม่อาจช่วยให้สีหน้าของโม่ขาดูดีขึ้นได้
ด้วยวิธีนี้เขาไม่ต่างอันใดไปจากตัวกลางส่งผ่านปราณกําเนิดอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยเห็นใครใช้หินชิงหลัวเป็นแหล่งพลังงานมาก่อนเป็นเพราะปราณกําเนิดจากหินชิงหลัวคือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกและมันไม่ค่อยจะสบายตัวสักเท่าไหร่
“อะไร? เจ้ามีปัญหา? มีอะไรอยากพูดก็พูดมาตรงๆ ” น้ําเสียงของเสวี่ยยิ่งเปลี่ยนเป็นเย็นชา ท่าทีของนางราวกับจะสังหารเขาเสียหากเขากล้าตอบว่ามีปัญหา โม่ข่าอยากร้องไห้แทบตายแต่เขาไม่มีแม้แต่น้ําตาให้ร้อง! เขาไม่กล้าปฏิเสธจึงทําได้เพียงยกขาหนักๆของตนไปยังตรงกลางค่ายกล
“หากข้าถูกลิขิตให้ตายวันนี้ เช่นนั้นก็เอาเถิด!”
ด้วยจิตใจมุ่งมั่นที่ราวกับเผชิญหน้าความตายอันหลีกเลี่ยงไม่ได้โม่ข่าเริ่มกระบวนการต้มน้ําอันยาวนาน…
“ด้วยที่เงินทุนของเรามีจํากัด มีบางอย่างที่พวกเจ้าต้องจัดการเอง” เสวี่ยิ่งเรียกทุกคนมาแจกแจงหน้าที่ใหม่
“ข้อแรกคือปัญหาด้านเสบียง ความต้องการทางอาหารของพวกเจ้าจะเยอะเทียบเท่ากับตารางการฝึกน่าเสียดายที่พวกเราไม่มีเงินเหลือพอจะซื้อส่วนประกอบทําอาหาร หากมองในแง่ดีเทือกเขาได้ขอบเขตนี้เป็นดั่งทรัพยากรเสบียงอันไร้ขีดจํากัด” หัวใจของทุกคนแทบทะลักออกมาทางปากเมื่อได้ยิน
“นางจะให้พวกเราไปล่าสัตว์ป่า? สัตว์ป่าในเทือกเขาไร้ขอบเขต…”
พวกเขาทุกคนพลันเข้าใจความรู้สึกของโม่ข่าทันที นอกเหนือจากหลินหลีที่งุนงงกับปฏิกิริยาตอบสนองของคนอื่น
“ข้อสองคือปัญหาด้านความปลอดภัย ถ้าแม้ข้าจะโปรยผงไล่สัตว์ปาไปรอบๆค่ายพักแล้วแต่ก็ยังคงมีสัตว์ป่าหน้าโง่เดินเข้ามาอยู่ดีบวกกับสถานที่ที่พวกเราอยู่ออกจะพิเศษอยู่บ้างจึงจําเป็นต้องมียามรักษาการณ์ในระหว่างที่คนอื่นหลับ”
พูดให้เข้าใจง่ายคือนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นตายของพวกเขาไม่ว่าจะดูอย่างไรเสวี่ยยิ่งก็ไม่มีทีท่าจะช่วยเหลือแม้แต่น้อย นางคาดหวังให้พวกเขาพึ่งพากันและกันเพื่อเอาตัวรอด
“ข้อสุดท้ายและเป็นข้อที่สําคัญที่สุดคือเนื้อหาการฝึกของพวกเจ้า” เสวี่ยิ่งหยุดชั่วครู่ ทุกคนเงี่ยหูตั้งใจฟังทันที
“ข้าจะพาพวกเจ้ากลับสถาบันเพื่อวิ่งรอบจัตุรัสทุกเที่ยงเวลาที่เหลือจะใช้ไปกับการทําภารกิจในอันดับชิงหลัว!” ทุกคนได้แต่เหม่อมองอย่างโง่งมหลังจากฟังนางเอ่ย
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ต้องวิ่งรอบจัตุรัสทุกวัน แต่ภารกิจในอันดับชิงหลัวจํากัดไว้เพียงศิษย์ปีหนึ่งขึ้นไปเท่านั้นที่จะรับภารกิจได้ อีกอย่างภารกิจที่ต้องทําในเทือกเขาไร้ขอบเขตขอบเขตล้วนเป็นระดับความยากปานกลาง มีเพียงศิษย์ปีสองเท่านั้นที่จะเลือกทําภารกิจเช่นนี้ และพวกเขาเป็นแค่ศิษย์ใหม่..
“ไม่ต้องห่วง ข้าได้แจ้งท่านเจ้าสถาบันไปแล้ว พวกเจ้าทุกคนได้รับอภิสิทธิ์ในการรับภารกิจ และหินชิงหลัวกับแต้มคุณูปการจะถูกจัดสรรเป็นรางวัลให้ตามปกติ” คําอธิบายของเสวี่ยยิ่งไม่ช่วยปัดเป่าความกังวลในใจของพวกเขาแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากังวลด้
“อาจารย์ ท่านแน่ใจว่าท่านไม่ได้ทําเช่นนี้เพียงเพราะอยากใช้พวกเราหาหินชิงหลัว!?”
ทุกคนบ่นพึมพําในใจ แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดออกมาในขณะนี้พวกเขาก็ไม่ต่างอันใดจากลูกไก่ในกํามือนาง พวกเขามี แต่ต้องทําตาม
“แต่พี่หญิงเสวีย ร่างกายของพวกเราคงทนไม่ได้…” จูนิ้วเอ่ยเสียงอ่อน ไม่ต้องพูดถึงภารกิจชิงหลัว แต่วิ่งรอบจัตุรัสก็เพียงพอให้นาง เป็นลมแล้ว
“ด้วยมีข้าอยู่ที่นี่ ร่างกายของพวกเจ้าจะไม่เป็นไร!” ประกายแห่งความคาดหวังแวบผ่านนัยน์ตาของนางขณะมองดูโม่ขาต้มน้ํา
“พี่หญิงเสวี่ย ข้ามีคําถาม” ป่ายเสี่ยวเฟยยกมือขึ้นถาม
“พูด แต่ข้าจะไม่ตอบคําถามไร้สาระ
“พี่หญิงเสวี่ยเพิ่งมาเป็นอาจารย์ได้ไม่นาน ท่านคิดค้นวิธีการฝึกพิเศษนี้เช่นนี้ได้อย่างไร?” เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่นางให้พวกเขาทําปายเสี่ยวเฟยสังเกตเห็นว่าเสวี่ยิ่งมีเป้าหมายอันหนักแน่นทุกคราราวกับนางได้ใช้วิธีการเช่นนี้มานานแล้ว ไม่เหมือนกับกําลังทดลองสักนิด
แต่ปายเสี่ยวเฟยร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าสีหน้าเสวี่ยิ่งจะเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้ นางไม่ได้เป็นดั่งพี่สาวขี้เล่นข้างบ้านยามพวกเขาอยู่ตามลําพัง และยิ่งไม่ใช่อาจารย์ผู้น่ายกย่องนับถือ ยามนางสอน แต่นางกลับปลดปล่อยรังสีสังหารอึมครึมออกมาแทน
“ข้าไม่อยากตอบคําถามนี้!” เสียงเย็นเยียบราวกับเนื้อนกระดูกขาดได้ดังออกมา เสวี่ยิ่งหันหลังกลับปล่อยให้ศิษย์นักเรียนตกตะลง
“พี่หญิงเสวี่ยนาง…” สือเฉินที่นั่งข้างป่ายเสี่ยวเฟยถามเขาด้วยเสียงแผ่วเบา สัญชาตญาณของนางบอกว่ามีบางอย่างผิดไป
“ข้าไม่รู้ แต่นางต้องนึกบางสิ่งออกแน่” ป้ายเสี่ยวเฟยตอบแก้ตัวแต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจของเขาคือสีหน้าระลึกความหลังของนางสีหน้าเช่นนี้มีให้เห็นได้ทั่วไปในหุบเขาวีรบุรุษเขาจึงคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างมาก
ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ โม่ข่ายังคงอดทนกับการทรมานต่อไป เขาไม่คาดคิดว่าการเป็นตัวกลางส่งผ่านปราณกําเนิดจะเจ็บปวดขนาดนี้หลังจากปราณกําเนิดในร่างของเขาถูกใช้จนหมด เขารู้สึกราวกับ มีมดนับพันนับหมื่นกัดกินอวัยวะภายในไปทั่ว
กาลเวลาผ่านพ้นพร้อมกับสติของโม่ข่าที่จางหายไปเรื่อยๆ สิ่งที่ทําให้เขาตื่นได้อยู่คือความคิดเดียวในหัว!
“ข้าเป็นศิษย์ระดับท้ายๆ ในห้อง และนี่คือสิ่งเดียวที่ข้าทําให้ทุกคนได้”
ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ โม่ข่าอดทนจนกระทั่งเขาสลบจากความเจ็บปวดแต่ก่อนที่เขาจะหมดสติ เขาได้ยินเสียงน้ําเดือดภายในกระถางยาเป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่เขาเผยรอยยิ้มจากใจออกมา