Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 9: 9 มิถุนายน (วันอังคาร) [1]
9 มิถุนายน (วันอังคาร)
เช้ารุ่งขึ้น โดยธรรมชาติแล้วเหตุการณ์น่าทึ่งอย่างการที่ถูกปลุกโดยน้องสาวของผมนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเมื่อคืนอายาเสะซังจะอาบน้ำทีหลังผมและเข้านอนทีหลังผม แต่ผมก็พนันได้เลยว่าเธอตื่นก่อนผมแน่นอน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ยูตะ!”
เมื่อผมก้าวไปที่โถงทางเดินผมก็พบกับตัวตลกที่หน้าเปรอะครีมโกนหนวดอยู่ ไม่สิ นั่นมันตาแก่ของผมเองต่างหากล่ะ
“แล้วนี่จะตื่นตระหนกเพื่ออะไรล่ะเนี่ย?”
“ตอนนี้พ่อกำลังโกนหนวดน่ะสิ”
“อ่า ใช่ผมเห็นแล้ว”
“แล้วพ่อก็ได้ยินเสียงน่าสงสัยดังมาจากห้องครัว แล้วพอไปดูก็….”
“?”
อะไรล่ะนั่น เป็นพยานในคดีฆาตกรรมเรอะ?
“ซะ ซะ-ซากิจัง กำลังทำมื้อเช้าอยู่!”
“พูดเหมือนมันเป็นพัฒนาการอะไรที่น่าตกใจเลยนะ”
“ก็เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นไงเล่า! ก็พ่อไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กินมื้อเช้าฝีมือลูกสาวของตัวเองน่ะ!”
ผมเห็นน้ำตาเริ่มก่อตัวขึ้นในส่วนลึกของเบ้าตาของเขา ผมบอกได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังมีความสุขอยู่แต่นี่ครีมโกนหนวดมันกระเซ็นเลอะเทอะไปหมดแล้วไม่ใช่รึยังไงเนี่ย?
“เอาล่ะๆ งั้นช่วยไปล้างหน้าก่อนได้ไหม”
“ทำไมแกเย็นชาอย่างงี้นะ ถ้าแค่น่ารักให้เท่าซากิจังสักหน่อยล่ะก็….”
“น่ารัก? เหมือนอายาเสะซังอ่ะนะ?”
ผมนึกถึงใบหน้าเย็นชาของเธอแล้วเอียงหัวด้วยความสับสน
….ในขณะที่ผมผลักตาแก่กลับเข้าไปในห้องให้ล้างหน้าล้างตาและมุ่งหน้าไปยังห้องนั่งเล่นก็มีกลิ่นหอมๆโชยเข้าจมูกของผม
“ไข่ดาวงั้นหรอ?”
ผมถามออกไป
“มันค่อนข้างดูดั้งเดิมเลยสินะ ชั้นคิดว่านายเองก็คงจะไม่ได้บ่นอิดออดกับอะไรง่ายๆหรอกใช่ไหมล่ะ”
“ก็ไม่หรอกนะ แต่ว่าขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม?”
“ฟังดูเหมือนชั้นจะถูกบ่นเอาทีหลังเลยนะ แต่ก็เอาเถอะพูดเลย”
“ไหงเธอถึงได้มาทำมื้อเช้าล่ะ?”
เมื่อวานนี้เธอไม่ได้ทำ ผมคิดเสมอว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยขนมปังปิ้งกับน้ำชาในตอนเช้าดังนั้นผมจึงไม่เห็นความจำเป็นที่ใครจะต้องมานั่งเตรียมอะไรแบบนี้เลย
“ชั้นหมายถึงนี่มันก็เพื่อสัญญาของเราไงล่ะ”
“ที่พูดกันเมื่อวานน่ะหรอ? ผมคิดว่าเราน่าจะตกลงกันแค่มื้อเย็นเท่านั้นนี่”
“แต่ชั้นคิดว่าชั้นอาจจะต้องทำมื้อเช้าด้วย เมื่อพูดถึงเกี่ยวกับ Give&Take และนี่เองก็เป็นนโยบายชั้นเองที่เลือกจะให้มากกว่า”
“งั้นหรอ…”
อายาเสะซังสวมผ้ากันเปื้อนทับเครื่องแบบไว้โดยที่มีกระทะอยู่ในมือ
การที่ได้เห็นน้องสาวของคุณทำอาหารให้คุณคงจะเป็นภาพที่ผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ได้เจอ
แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงนั้นแตกต่างจากสิ่งที่คุณอ่านหรือได้ยินมา
ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยที่มีแต่อายาเสะซังที่ทำงานแบบนี้เลยคิดว่าจะเข้าไปช่วยอะไรบ้างและสุดท้ายก็จบลงที่แค่เช็ดโต๊ะอาหารเฉยๆ
อายาเสะซังแอบมองผมจากในครัวและอ้าปาก
“ขอบใจนะ….”
เธอพูดขอบคุณที่ดูเชื่องช้ากว่าปกติเล็กน้อยและเอาไข่ดาวสามจานมาให้
หลังจากที่กินไข่ดาวเสร็จเธอก็เอาข้าวขาวและซุปมิโซะมาให้จนทำให้ห้องอาหารอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม
“นี่เธอเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ?”
“ก็เมื่อคืนก่อนนอนน่ะ…..มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมายหรอก”
เธอพูดเหมือนมันไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่สำหรับผมแล้วนี่มันฟังดูเจ็บปวดเกินกว่าที่จะเชื่อ
ผมกับอายาเสะซังนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกันและหันหน้าเข้าหากันพร้อมกับปรบมือเข้าหากันและขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้และพอตาแก่ของผมเดินเข้ามาในห้องพร้อมแต่งตัวเต็มยศ เขาก็นั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“อา…..พ่อกำลังจะร้องไห้แล้ว…”
“ฮะๆ ก็พูดเกินไปหน่อยนะคะ”
อายาเสะซังยิ้มกว้าง
ผมเห็นการแสดงออกที่แตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับการแสดงออกที่ดูเย็นชาตามปกติของเธอแล้วที่เธอแสดงให้ผมได้เห็น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่เธอจะต้องพึ่งพาในอนาคต
ท้ายที่สุดตาแก่ของผมก็เอาแต่พล่ามว่าอาหารมื้อนี้มันอร่อยแค่ไหนและรีบปรี่ออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วหลังจากกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่กินเร็วมากๆ
“มันแย่รึเปล่า?”
แน่นอนว่าผมไม่ได้วางแผนที่จะบอกเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่อายาเสะซังก็เอาแต่จ้องมองอย่างกังวลและได้ข้อสรุปของเธอเองไปแล้ว
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
“นายไม่จำเป็นต้องมาเกรงใจกันเลยนะ ชั้นจะพยายามแก้ไขถ้ารสชาติมันไม่ดีจริงๆล่ะก็”
“ไม่หรอก”
ให้เดาก็คือเธอคงทำตามสูตรอาหารมา ที่ถามก็เพื่อให้แน่ใจว่าการจัดทุกอย่างไว้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่ารสชาติมันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรมากแต่มันก็ดูเข้ากับน้องสาวตัวน้อยในโลกมังงะและอนิเมะดีแต่นั่นคงจะไม่ใช่กับกรณีนี้
แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมตะเกียบของผมมันถึงได้ขยับเขยื้อนช้ากว่าปกติน่ะหรอ?
เหตุผลนั้นง่ายมากๆและผมก็อธิบายให้เธอฟังขณะที่กำลังยัดข้าวเข้าปาก
“ก็แค่ผมเคยกินแต่ไข่ดาวกับโชยุ นั่นแหละคือเหตุผล”
ใช่แล้ว ในความเป็นจริงนั่นคือทั้งหมด
ไข่ดาวของอายาเสะซังปรุงด้วยเกลือและพริกไทยโดยไม่ใช่ส่วนผสมอื่นใด แน่นอนว่าเกลือและพริกไทยมันก็ไม่ใช่อะไรที่ดูแหวกแนวสำหรับการกินพร้อมไข่ดาว ดังนั้นผมจึงสามารถกินไข่ดาวนี้ได้ แต่ถ้าหากเธอเหยาะโชยุลงไปสักหน่อยล่ะก็ผมว่ามันคงจะง่ายขึ้นมากและนั่นแหละคือสิ่งที่ผมคุ้นเคย
“โชยุ….กับไข่ดาวงั้นหรอ…..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยแฮะ..”
อายาเสะซังพึมพัมออกมา
ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจละก็คงจะเป็นการที่เธอกินไข่ดาวที่มีแต่เกลือกับพริกไทยนั่นแหละ
สีหน้าของอายาเสะซังไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักแต่ว่าน้ำเสียงของเธอดูเหมือนว่าเธอกำลังรู้สึกหดหู่อยู่หน่อยๆ
“ขอโทษที พอดีว่าชั้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความชอบของนายก็เลยเผลอทำออกมาในแบบที่ชั้นกินเองน่ะ”
“ไม่ๆ ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกนะ ถ้ามีอะไรที่ที่ผมจะรู้สึกแย่ล่ะก็มันก็คงจะเป็นการที่ผมไม่ได้บอกเธอล่วงหน้าแต่ยังมาบ่นอิดออดนี่แหละ”
“งั้นไว้ครั้งหน้าชั้นจะถามก่อนก็แล้วกันนะ”
“อื้อ ไว้ผมเองก็จะบอกเธอก่อนเหมือนกันนะ”
นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากไปกว่านี้ เราเป็นเพียงแค่คนสองคนที่พยายามจะจัดเตรียมเรื่องต่างๆเพื่อผลประโยชน์ของอีกฝ่ายเท่านั้น ว่าตามตรงมันก็ไม่ได้รู้สึกแย่สักทีเดียว จากมุมมองของคนภายนอกแล้วการพูดคุยของเราอาจจะดูเฉยเมยและคล้ายกับหุ่นยนต์ไปหน่อยแต่ยังไงซะผมก็รู้สึกโล่งใจและผ่อนคลายกับเรื่องนี้
หลังจากใช้เวลาร่วมกันในตอนเช้าไปแล้ว ผมกับอายาเสะซังก็ออกจากบ้านในช่วงเวลาที่แตกต่างกันอีกครั้งเป็นมาตราการด้านความปลอดภัยเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่มีข่าวลือแปลกๆเกิดขึ้นที่โรงเรียนและพวกเราก็จะไม่ทำตัวใกล้ชิดกันมากจนเกินไปถึงแม้ว่าเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแต่ถ้าก็ยังเป็นเพศตรงข้ามที่อายุพอๆกันอยู่ดี การเอาใจใส่กันในบ้านมันก็เรื่องหนึ่งแต่การที่จะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ตอนที่อยู่ข้างนอกมันเป็นอะไรที่โครตเหนื่อยเลยจริงๆ ต้องใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่าที่สุด เนื่องจากเราทั้งคู่ต่างเคารพในแนวคิดนี้ผมก็เลยรู้สึกว่าพวกเราอาจจะเข้ากันได้ดีก็ได้ในอนาคต
“ระหว่างเหรียญคริปโตกับการเป็นYoutuber นายคิดว่าอะไรมันดีกว่ากันอ่ะ?”
“ชั้นคิดว่าควรจะปล่อยวางมันไปทั้งคู่นั่นแหละ”
ในช่วงเวลาก่อนที่จะเริ่มโฮมรูมเมื่อได้เผชิญกับคำถามที่ผมถามออกไปเมื่อครู่ เจ้ามารุเจ้าเพื่อนยากที่ไว้ใจได้ของผมก็พูดออกมาอย่างเย็นชาและเกรี้ยวกราดหน่อยๆ
“การที่บุ่มบ่ามตัดสินใจรวดเร็วแบบนี้ก็สมกับการเป็นแคชเชอร์ของชมรมเบสบอลดีนะ”
“ใครที่ได้ยินแบบนั้นก็คงพูดไม่ต่างกันกับชั้นหรอกนะ แล้วว่าแต่ไปทำอีท่าไหนถึงเอาเรื่องพรรณนี้มาคิดกันล่ะ อาซามุระ?”
“พอดีชั้นกำลังคิดวิธีการหารายได้ที่มีประสิทธิสูงสุดโดยการใช้เวลาในการทำงานที่สั้นที่สุดอยู่น่ะ”
ผมเลือกที่จะใช้คำพูดอย่างระมัดระวังโดยบอกเจ้ามารุเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพราะผมไม่สามารถทำผิดสัญญากับอายาเสะซังได้และผมก็ไม่สามารถเล่าเรื่องราวที่ผมกับอายาเสะซังคุยกันให้เขาฟังได้เช่นกัน ดังนั้นผมจึงต้องระมัดระวังคำพูดของตัวเองอย่างมากแต่ก็แน่นอนว่ามันไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้ามารุได้เลยและเขาก็กำลังชำเลืองมองผมด้วยความสงสัยอยู่
“อาซามุระ……….นี่แกโดนพวกมาเฟียเงินกู้ตามล่าตัวอยู่รึไง?”
ไหงถึงได้เกริ่นมาด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายโครตๆแบบนั้นล่ะเฮ้ย!
“ชั้นไม่ได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องอาชญากรรมหรืออะไรพรรณนั้นหรอกนะ ที่ชั้นพูดไปน่ะหมายถึงไม่ว่าจะทำงานที่บริษัทหรือธุรกิจใหญ่ๆทุกวันนี้มันไม่มีอะไรรับรองความปลอดภัยและความมั่นคงได้เลยจริงๆแล้วก็การที่จะไปเป็นคนของหน่วยงานรัฐก็ดูท่าจะยากไปหน่อย ชั้นก็เลยหาทางคิดวิธีที่จะได้ประหยัดเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้น่ะ”
“นั่นคือแผนชีวิตวัยเรียนของนายเรอะ?”
“ก็ถ้าเป็นไปได้ชั้นอยากได้งานแบบที่ไม่กำหนดวันเงินเดือนออกด้วยน่ะ”
“นั่นก็อยู่ในช่วงตัวเลือกของนายด้วยงั้นหรอ?……..อืม”
มารุมองผมอย่างสงสัย
“เมื่อวานแกถามชั้นถึงเรื่องอายาเสะ แต่พอมาวันนี้แกกลับมานั่งหางานทำเพิ่มที่ฟังดูคลุมเครือๆอยู่งกๆแบบนี้มัน……..อย่าบอกนะว่า…”
“ไม่! ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ”
ผมรีบปฏิเสธความคิดของเขาทันที ก่อนที่เขาจะคิดเองเออเองไปกันใหญ่ซึ่งความคิดของหมอนี่มันอาจจะฟังดูน่าขยะแขยงมากกว่าสิ่งอื่นใด ผมเองก็ไม่สามารถที่จะนั่งเฉยๆทนฟังเขาพูดมันออกมาได้
มารุจ้องมาที่ผมและขณะที่ผมกำลังกลืนน้ำลายอยู่มารุก็ค่อยเปิดปากของเขาอย่างช้าๆ
“ล้มเลิกเถอะนะ….ไม่มีใครเขาอยากจะมาซื้อกินกับพวกผู้ชายขายตัวหรอกนะเว้ย หัดส่องกระจกดูตัวเองบ้างดิเพื่อนยาก!”
“เฮ้อ…….”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ความรู้สึกตึงเครียดในร่างกายของผมหายไป ต้องขอขอบคุณจริงๆที่บางครั้งเจ้ามารุก็หัวทึบได้โล่ห์จริงๆ
“นี่แกแค่ล้อเล่น แค่ปั่นหัวชั้นเล่นเฉยๆใช่มะ?”
“ไม่ล่ะ”
ผมพูดโกหกออกไป
ไม่สิ ผมไม่ได้โกหกและก็ไม่ได้ปั่นหัวพูดเล่นกับหมอนี่สักหน่อย เอาจริงๆก็รู้สึกขอบคุณหมอนี่ด้วยซ้ำ
การที่เป็นหนุ่มแว่นพร้อมกับเป็นแคชเชอร์ให้กับทีมเบสบอลนั้น ดูเหมือนว่าไอ้เจ้าเพื่อนรักของผมมันจะเป็นพวกมีฝีมือในการช่างสังเกตุคนจริงๆแถมเซ้นต์การคาดเดาเรื่องต่างๆก็ยังแม่นอีกด้วยแต่ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็ยังไม่ได้จินตนาการถึงอายาเสะซังถึงขั้นบริบทของ ‘น้องสาว’ ของผมอยู่ดี
ตรงส่วนนี้มันบอกผมได้แค่ว่ายัยสาวแกลคนนี้อยู่ภายใต้ข้อสงสัยต่างๆนาๆของคนอื่นที่ว่าเธอยอมไปออกเดตโดยใช้เงินเป็นการแลกเปลี่ยนแบบนั้นในสายตาของคนอื่นคงจะไม่สามารถที่จะเป็น ‘ยัยน้องสาว’ ของใครได้
“แต่ยังไงก็เถอะ”
มารุเริ่มพูดต่อและยกนิ้วหนึ่งนิ้วพร้อมบรรยาย
“อย่างแรกเลยคือเลิกคิดว่าจะสามารถหาเงินก้อนโตด้วยการไปเป็น Youtuber หรือการหาเหรียญคริปโตอะไรพรรณนั้นซะ มันฟังดูเป็นพวกอ่อนต่อโลกเกินไป”
“จะ-จริงดิ?”
“อ่า แน่นอนว่าในการทำให้มันประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่น่ะ มันต้องใช้ลงทุนลงแรงกับการใช้เวลาอย่างบ้าคลั่งเหมือนๆกับการเล่นกีฬาที่เราต้องคอยเดิมพันอยู่ตลอดว่าเราจะหวดลูกยังไงและหวดไปที่ไหนนั่นแหละ”
“อ่า มันก็ฟังดูมีเหตุผลดีนะ”
เจ้ามารุที่ฝึกเล่นเบสบอลมาเป็นระยะเวลานานพอพูดแบบนี้มันก็ฟังดูน่าเชื่อถือแปลกๆ
ยังไงซะในขณะที่ผมค้นพบเหตุผลในคำพูดของเขามันก็มีความขัดแย้งมาดึงดูดความสนใจของผมเช่นกัน
“แต่ถ้ามันมีคนที่ยอมเดิมพันด้วยเวลาสิบปีเพื่อที่ท้ายที่สุดจะได้เงินก้อนโตแต่มันก็ยังมีคนที่ใช้เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นที่ทำแบบเดียวกัน แต่ดันได้เงินก้อนโตเหมือนกันอยู่ใช่ไหมล่ะ? แล้วอะไรคือข้อแบ่งแยกระหว่างสองคนนี้ล่ะ? ชั้นคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องของเวลาที่พวกเขาใช้ในการลงทุนนะ”
“มีเคล็ดลับอยู่งั้นสินะ….”
“บางทีมันเป็นแค่ทัศนคติในจิตใจของนาย พ่อแม่ของชั้นเองก็เป็นพวกคลั่งไคล้ประวัติศาตร์ ชั้นก็เลยมักจะได้ฟังเรื่องราวทุกประเภทตั้งแต่สมัยรัฐสงครามยันสามก๊กเลยล่ะ มันก็เลยเป็นเหตุที่ชั้นรู้เรื่องแบบนี้พอตัว แต่ก็…”
“บางทีแกนี่เหมือนจูกัดเหลียงเลยแฮะ…..”
(TL NOTE: เป็นอีกชื่อของขงเบ้งผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องมากๆคนนึงในเรื่องสามก๊ก แต่แอดไม่ได้อ่านลงลึกฉะนั้นอธิบายคร่าวๆพอละกันนะ)
เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ผมได้พูดคุยกับเจ้ามารุ ผมก็พอเห็นแววว่าหมอนี่มันเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากลอยู่หรอก ในช่วงเทศกาลงานกีฬาฟุตบอลปีที่แล้วหมอนี่ก็รวบรวมข้อมูลของห้องอื่นๆก่อนลงแข่งและสั่งสอนพวกเขาด้วยวิธีทำนองนี้ และด้วยเหตุนี้เองทำให้ห้องของเราคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งมาได้อย่างง่ายดาย นั่นมันก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้นั่งอยู่ในตำแหน่งแคชเชอร์ของชมรมเบสบอลก็เป็นได้
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แต่ก็นะ….ชั้นก็พอได้อิทธิพลพื้นฐานเรื่องการเตรียมพร้อมเพื่อตั้งรับศึกมาพอตัวเลย”
“ตัวอย่างเช่น?”
“ก็ข้อมูลและความรู้นั้นแหละที่เป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนายเองยังไงล่ะ”
“การที่รู้จักศัตรู รู้จักตนเอง รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้งว่างั้น?”
“ก็อะไรทำนองนั้นแหละ ทหารของศัตรู ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของศัตรู อาวุธที่ชอบใช้และจำนวนทหารที่มีประสบการณ์ในการฝึกภาคปฏิบัติ ทั้งหมดทั้งมวลมันฟังดูเหมือนเป็นแค่เรื่องยิบย่อยใช่ไหมล่ะ? แต่พอเอาสิ่งเหล่านี้มารวมกันแล้ว มันทำให้พวกเขากลายเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งได้เลยแต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะต่อให้มีทหารที่ถือขวานที่มาพร้อมกับมันสมองที่เฉลียวฉลาดก็มิอาจสามารถเอาชนะคนที่ถือปืนได้หรอกนะ”
“ชั้นเข้าใจนายเลยกำลังเปรียบเทียบเรื่องนั้นกับการหารายได้สินะ….นายกำลังบอกว่าชั้นกำลังขาดความรู้เรื่องเงินงั้นเรอะ?”
“ก็อาจจะใช่ ชั้นรู้สึกว่ายิ่งแกรู้วิธีการทำงานของสังคมและสถานการณ์ของตลาดมากเท่าไหร่ แกก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น”
ก็สมกับเป็นหมอนี่ดีที่ให้คำแนะนำด้วยตัวอย่างรูปแบบของหมอนี่เอง ผมตั้งใจฟังทุกอย่างที่เขาพูดและหลังจากนั้นก็จดคำพูดเอาไว้ในใจ