Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 8: 8 มิถุนายน (วันจันทร์) [4]
“อ่า…..เข้าใจล่ะ นี่นายคิดว่าชั้นจะ ‘ขายตัว’ สินะ?”
“ผมขอโทษ ขอโทษจากใจจริงเลยครับ!!!!!”
หลังจากที่เราได้คุยกัน เราทั้งคู่ก็เริ่มหิวขึ้นมาจึงพากันย้ายสถานที่ไปที่โต๊ะกินข้าวกันเพื่อกินมื้อเย็น
เราก็ได้เจอกับมื้อเย็นที่อากิโกะซังเตรียมเอาไว้ก่อนที่เธอจะไป นั่นก็คือผัดผักกับซุปมิโซะ
และหลังจากที่เราทั้งคู่จิบซุปมิโซะแล้วอายาเสะซังก็พูดขึ้นมาด้วยคำพูดเหล่านั้น และเนื่องจากที่ผมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ จึงได้แต่พนมมือก้มหัวขอโทษส่วนอายาเสะซังเธอก็ดูไม่สบายใจและถอนหายใจให้ผม
“เงยหน้าขึ้นมาเถอะ ชั้นเองก็พอรู้เรื่องข่าวลือที่เกิดขึ้นอยู่ ก็ถ้านายมีท่าทางแบบนี้บ้าง คนเขาจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก ถ้าอย่างนั้น ชั้นเองก็ต้องโทษตัวเองด้วยส่วนนึงเพราะชั้นก็ใช้ข่าวลือนี้เองเพื่อหลีกเลี่ยงพวกที่น่ารำคาญน่ะ”
“อายาเสะซัง……….”
มันไม่ได้รู้สึกว่าเธอกำลังทำตัวแข็งกร้าว ความเฉยเมยนี้ของเธอมันอาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงระหว่างเธอกับคนรอบข้างได้นะ
เธอบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอรู้ตัวดีว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอชวนให้ชาวบ้านเขาเข้าใจผิดได้อย่างนี้แต่ทำไมเธอยังเลือกที่จะแต่งตัวแบบนี้อีกล่ะ?
และเธอเองก็คงเดาได้ว่าผมกำลังมีความคิดสงสัยเช่นนี้ เธอจึงหยุดมือของเธอจากที่กำลังจะหยิบผักกวนเข้าปาก
“ชั้นเข้าใจว่านายกำลังคิดอะไรอยู่นะ ทำไมชั้นถึงยังแต่งตัวแบบนี้ทั้งๆที่มันส่งต่อภาพลักษณ์ของชั้นสินะ”
“อะ-อือ…คือผมก็อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นิดหน่อย”
“ก็นะ คงจะไม่มีใครไปสนามรบตัวเปล่าโดยที่ไม่มีอาวุธเลยสักชิ้นใช่ไหมล่ะ? แล้วนี่แหละก็คืออาวุธยุทโธปกรณ์ของชั้นที่จะอยู่รอดในสังคม”
เธอใช้นิ้วชี้แตะที่ติ่งหูของเธอและแสดงให้เห็นถึงหูที่เจาะ
แม้แต่สาวๆเองก็ยังต้องการที่จะดูมีสไตล์ แต่การเจาะหูมันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำ
ในโรงเรียนมัธยมคุณอาจจะถูกเพื่อนร่วมห้องมองเป็นฮีโร่ แต่ในสายตาผู้ใหญ่และพวกครูมันจัดเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง มันช่างเป็นเรื่องขัดแย้งที่ดูลึกลับดีจริงๆ
เอาตามตรงมันก็เป็นแค่โลหะที่มีขนาดเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้นเอง แต่กลับมาพลังอำนาจมหาศาล
“คือแบบว่าใส่แล้วมันช่วยเพิ่มบัพป้องกันอะไรแบบนั้น? หรือแบบว่ามันสามารถโจมตีแบบติดดับเบิ้ลได้ครับ?”
“อุ๊ปส์! ฮ่าๆ นี่นายพูดอะไรน่าสนใจดีนี่นา”
เธอหัวเราะเยาะผม
ดูเหมือนความเร็วในการคิดของผมมันจะตามไม่ทันและผมก็เผลอพึมพัมศัพท์ในเกมที่โผล่ขึ้นมาในหัวออกไปแทน
“อืม มันก็อะไรทำนองนั้นแหละนะ เป้าหมายที่ใส่ก็คงเป็นเพิ่มการโจมตีและการป้องกัน”
“ฟังดูอันตรายจังนะ เธอก็รู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่ ณ ตอนนี้มันสงบสุขแล้วนะรู้เปล่า?”
“การต่อสู้น่ะ มักจะเกิดขึ้นในที่ๆนายมองไม่เห็นนั่นแหละ”
อายาเสะซังพูดออกมา ฟังดูเหมือนเธอเป็นนางเอกที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามด้านมืดของโลกใบนี้เลยแฮะ แต่ก็แน่นอนผมรู้ว่าเธอแค่เลือกใช้วาทะศิลป์ในคำตอบกลับมาเท่านั้น
‘ถึงซากิและยูตะคุง เอาไปอุ่นแล้วทานด้วยกันนะจ้ะ’
ก่อนหน้านี้ผมได้เอาแผ่นกระดาษบันทึกออกจากแผ่นฟิลม์พลาสติกหุ้มอาหารและสายตาของอายาเสะซังก็มองลอยคล้อยตามแผ่นกระดาษนั้น
“วันนี้นายเจอแม่รึเปล่า?”
“อื้อ ก็ตอนที่กลับมาถึงบ้านน่ะ”
“เธอเป็นคนที่มีเสน่ห์ดีใช่ไหมล่ะ?”
“อะ-อืม ก็เดาว่า ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”
ผมตอบกลับอย่างน่าอึดอัดใจ
แม้ว่าตอนนี้เธอจะกลายเป็นคุณแม่ของผมไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะพูดยกย่องเธอยังไงดี ต่อหน้าน้องสาวที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดซึ่งเป็นลูกสาวแท้ๆของเธอ
และด้วยเหตุนี้เองอายาเสะซังก็จ้องมองมาที่ผมครู่นึงจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอกำลังจะเล่าเรื่องผี
“แต่ว่าเธอเองก็จบแค่ ม.ปลายเองนะ”
“หืม จริงหรอ?”
เนื้อหาของคำพูดมันฟังดูธรรมดาๆ ทำให้ผมประหลาดใจเล็กน้อย มันเลยทำให้ผมตอบกลับอย่างแห้งๆ แล้วอายาเสะซังก็จ้องมองผมอย่างสงสัย
“แล้วนี่นายไม่ติดใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยงั้นหรอ?”
“ ? ”
“ก็ที่เรียนจบม.ปลาย หน้าตาสวย ทำงานสถานบันเทิงตอนกลางคืน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่านายมีเงื่อนไขทั้งสามข้อนี้ที่มันสอดคล้องกันน่ะ?”
“ก็จบม.ปลาย หน้าตาสวย และทำงานสถานบันเทิงตอนกลางคืนไง”
ผมไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอต้องการถามจากผม แน่นอนว่าผมก็คิดอยู่บ้างหลังจากที่ได้ยิน ปัจจัยทั้งสามข้อนี้เมื่อนำมารวมๆกันแล้ว แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรให้ติดใจเป็นพิเศษ
“อืม อาซามูระคุง นายนี่มันเป็นคนที่มีความคิดตื้นเขินดีจริงนะ”
อายาเสะซังพูดพลางหยิบผักเข้าปาก
ผมสงสัยว่าทำไมผมถึงได้เห็นความสุขเล็กๆปะปนอยู่บนสีหน้าที่เฉยเมยของเธอ หรือเพราะบางทีเธออาจจะสนุกที่ได้แหย่ไอ้หนุ่มซิงก็เป็นได้ เพราะผมนั้นไม่คุ้นเคยกับหัวใจของหญิงเอาเสียเลย
“ชั้นคิดว่าไอ้ท่าทางแบบนั้นของนายนี่มันน่าทึ่งจริงๆ”
“ผมล่ะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของเธอที่มีต่อหนุ่มซิงอย่างผมจริงๆครับ”
เนื่องจากเธอพูดความคิดของเธอออกมาจากใจจริง ผมจึงไม่จำเป็นที่ต้องมานั่งคอยวิเคราะห์หาจุดยืนของตัวเอง มันเลยช่วยทำให้การสื่อสารพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น
ครู่นึงดวงตาของอายาเสะซังแสดงออกมาดูเศร้าหมอง บางทีคำว่า ‘ซิง’ มันก้าวล้ำมากไปหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดต่อไปที่ออกมาจากปากของเธอนั้นร้ายแรงกว่าที่ผมคิด….
“พอจบม.ปลายก็ไปทำงานในสถานบันเทิงตอนกลางคืน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว เธอมันเป็นคนที่โง่โดยแท้เลย แถมเอาแต่ใช้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอเป็นอาวุธไว้หารายได้ด้วยวิธีผิดกฏหมายแบบนั้น ชั้นเองก็เคยเห็นแม่ไม่พอใจอยู่หลายต่อหลายครั้งเหมือนกัน”
“เรื่องไร้สาระหน่า”
แน่นอนว่ามันก็มีแนวโน้มในการเปรียบเทียบประวัติการศึกษากับรูปลักษณ์ภายนอกอยู่
แต่อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันสามารถบอกได้ถึงตัวตนและคุณค่าที่แท้จริงของคนๆนั้นได้
ในมุมมองของคนทั่วไปมันก็อาจจะใช่อยู่แต่มันก็มีคนที่มีความแตกต่างอยู่มากมายเมื่อได้ลองดำดิ่งลึกลงไปในพื้นที่ของพวกเขาและด้วยเหตุนี้เองมันจึงไม่มีประโยชน์การเข้าหาคนเพียงคนเดียวแล้วตัดสินเขา
นั่นคือสิ่งที่กล่าวในหนังสือที่ยืมมาจากรุ่นพี่โยมิอุริ ผมว่าอิทธิพลของมันค่อนข้างมากพอสมควรเลยล่ะ แม้แต่ผมที่เป็นเด็กม.ปลาย ยังสามารถพูดได้ราวกับว่ามีประสบการณ์ชีวิตของคนอื่นอยู่บนบ่าและในหัวของผม
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้จากผมใบหน้าของอายาเสะซังก็แดงขึ้นเล็กน้อยและเธอก็จ้องมองมาอย่างซาบซึ้ง
“อื้อ….ก็ถูกของนายแหละ มันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ”
“อื้ม”
“คงไม่ต้องพูดด้วยว่ามุมมองแบบนั้นน่ะมันโลกแคบเกินไป”
“เช่น?”
“ก็ถ้าเกิดว่าเธอเป็นพวกฉลาดแต่ดันไม่น่าดึงดูด ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกหน้าขนลุก แต่กลับกัน ถ้าหากว่าไม่ฉลาดแต่ดันมากเสน่ห์ ก็จะถูกคนอื่นมองว่าใช้ร่างกายเพื่อแลกกับจุดยืน ณ ปัจจุบันของเธอเอง พวกเขาก็จะโมเมว่าเธอใช้ร่างกายเข้าแลก แล้วพอถึงเวลาที่จะทำงานด้วยลำแข้งของตัวเองคราวนี้ก็จะถูกเยาะเย้ยและอาจจะไม่มีผู้ชายคนไหนเลยที่เธอจะไปพึ่งพาเขาได้นะ”
“งั้นหรอกหรอ ก็พอเข้าใจว่านายหมายถึงอะไร”
“และผมก็แน่ใจด้วยว่าเรื่องแบบนี้เองก็เกิดขึ้นกับผู้ชายด้วยเหมือนกัน”
“ก็นะ แน่นอนว่าถ้าหากพยายามที่จะเข้าหาผู้หญิงที่เรารู้สึกดีด้วย ก็จะถูกเรียกว่าเป็นพวกน่าขยะแขยงและถูกตีกรอบตราหน้าว่าเป็นพวกอาชญากร แต่ถ้าหากโยนเรื่องรักๆใคร่ๆทิ้งไปแล้วล่ะก็จะถูกล้อเลียนว่าเป็นไอ้หนุ่มซิงติ๋มๆแทน”
“มันฟังดูเหมือนว่ามันจะเป็นประสบการณ์ตรงของนายเองเลยนะ”
“พอดีไปอ่านเจอในเน็ตน่ะ ครั้งแรกที่อ่านเจอก็รู้สึกไม่อยากให้เกิดกับตัวเองเลยแหละ ฟังดูน่าปวดหัวจะตายไป”
“อ้อหรอ โอเคชั้นเข้าใจ”
“และก็นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมชั้นถึงได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์นี้”
เราย้อนกลับไปยังหัวข้อสนทนาเดิมของเรา
“มีสไตล์ในระดับที่ไม่มีใครบ่นได้ และได้รับปฏิบัติว่าเป็นสาวสวยจากคนอื่นๆ มันเป็นการสร้างเสน่ห์ภายนอกให้กับตัวเองและก็เกี่ยวกับเรื่องการเรียน, การทำงานเองก็เหมือนกัน นี่น่ะคือก้าวแรกเพื่อที่ชั้นจะได้กลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น ไอ้พวกที่ใช้ชีวิตที่คอยเอาแต่อคติกับภาพลักษณ์ของคนอื่นน่ะ ชั้นจะทำให้พวกนั้นหุบปากให้ได้เลยคอยดู”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสตามปกติแต่ก็มีอารมณ์ที่รุงแรงแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ
นี่มันตรงกันข้ามกับผมเลยแฮะ…
ผมคิดว่ามันน่ารำคาญและพยายามหนีจากมัน แต่อายาเสะซังกลับพร้อมที่จะถ่มน้ำลายออกมาต่อหน้าคนทั้งโลก แต่อย่างไรก็ตามผมรู้สึกได้ถึงอันตรายที่ออกมาจากท่าทางแบบนั้นของเธอ
“แล้วเธอดูโอเครึเปล่าล่ะ? นั่นมันก็ฟังดูเหนื่อยแย่เลยนะ”
“ถ้าหากว่าชั้นสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเหนือกว่าโดยแลกกับหยาดเหงื่อของตัวเองล่ะก็ นั่นก็จัดว่าสมบูรณ์แบบล่ะนะ”
แล้วพิสูจน์กับใครล่ะ? ความสงสัยมันก็ผุดขึ้นมาในใจของผมแต่ว่าผมก็ไม่อยากถูกมองว่าเป็นไอ้คนขี้สงสัยก็เลยขอกลืนไอ้ความสงสัยนี้ลงไปแทน อย่างไรซะผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เธอมีค่านิยมที่ดูไม่เข้ากับวัยของเธอเลยแบบนี้ อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากพ่อแท้ๆของเธอ อดีตสามีของอากิโกะซัง และถ้าเป็นอย่างนั้นผมจึงต้องการที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปเหยียบกับระเบิดลูกนั้นเข้า
“ไม่ใช่ว่าเราเองก็เหมือนกันงั้นหรอกหรออาซามูระคุง?”
“ผมไม่ได้แข็งแกร่งแบบอายาเสะซังหรอกนะ ผมไม่รู้สึกอยากจะต่อสู้กับมุมมองของสังคมอะไรแบบนั้น”
“แต่ที่สำคัญที่สุดคือนายไม่ต้องการให้คนอื่นมีความคาดหวังอะไรในตัวนาย เพราะว่านายเองก็ไม่เคยมีมันเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
อ่า ใช่แล้ว นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรกที่ร้านอาหารครอบครัวตอนนั้นเราถึงได้เข้ากันได้ดี
“จากมุมมองของคนอื่นแล้ว หากต้องการที่จะได้รับการปลดปล่อยจากความคาดหวังต่างๆนาๆจากพวกเขา นายเองก็ต้องมีความเข้มแข็งในการใช้ชีวิตด้วยตัวของนายเองซะก่อน”
“งั้นหรอ ผมว่าผมก็พอเข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงอยากหางานที่มีรายได้ดีๆล่ะนะ”
“หืม…นายเองก็เซ้นต์ดีนี่นา”
“ผมหมายถึงด้วยคำใบ้ที่เธอพยายามจะสื่อทั้งหมดนี่ แม้แต่คนอย่างผมก็ยังคิดได้”
ผมยักไหล่แล้วพูดต่อ
“เพื่อที่เธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระใช่ไหมล่ะ?”
“ถูกต้อง…แล้วก็ ขอโทษนะ”
อายาเสะซังพูดและหลับตาลงด้วยน้ำเสียงขมขื่น
ผมจะไม่ขอถามว่าทำไมเธอถึงพูดขอโทษออกมา
สำหรับอายาเสะซังที่ไม่เคยทำงานพาร์ทไทม์มาก่อนจนถึงตอนนี้ มันก็พอเป็นเหตุผลได้ว่าทำไมตอนนี้เธอถึงได้กระเสือกกระสนพยายามหางานที่ได้ค่าตอบแทนดีๆและเป็นงานง่ายๆ
และในช่วงเวลาที่เธอได้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วย พวกเราเองก็ไม่ได้ขุดคุ้ยหรือตั้งคำถามอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วย
ไม่พึ่งพาคนอื่นและไม่หวังสิ่งใดจากคนอื่น
ทั้งหมดนี่เพื่อที่จะให้เธอสามารถยืนหยัดได้ด้วยสองเท้าของตัวเธอเอง
สาเหตุที่ทำให้เธอหมดหวังขนาดนี้ก็คงจะเป็นเพราะว่า “คนแปลกหน้า” ที่จู่ๆก็เดินเข้ามาในชีวิตของเธอ ทั้งๆที่เธอได้ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตด้วยสองเท้าของเธอไปแล้วแท้ๆ
แต่เธอก็เกือบที่จะต้องพึ่งพาพวกเขาแทน
“อันที่จริงมันไม่มีงานพาร์ทไทม์ที่ไหนที่จะทำให้เธอหาเงินได้ง่ายๆหรอกนะ และก็คงพูดไม่ได้ด้วยว่างานที่ร้านหนังสือของผมจ่ายเงินให้ดีซะด้วยสิ”
“งั้นหรอ..”
อายาเสะซังพยักหน้าด้วยสีหน้าเสียใจ
“ถ้าอย่างนั้นชั้นเดาว่าก็คงเหลือแค่ต้องยอมแพ้แล้วสินะ….”
“แล้วไม่ได้ดูอย่างอื่นไว้อีกหรอ?”
“ก็ถ้าขืนชั้นใช้เวลาไปเสาะหาบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป เวลาเรียนมันก็ลดน้อยลงพอดี ชั้นน่ะมาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำงานพาร์ทไทม์ก็เลยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แน่นอนว่าการทุ่มทุนหาตอนเวลาเหมาะๆมันก็อาจจะเจออยู่หรอกแต่ว่าไอ้ชั้นเองก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไรเหมือนกัน ดังนั้นมันก็อาจจะต้องเสียสละบางอย่างไป ไม่งานพาร์ทไทม์ ก็ต้องเป็นเกรดการเรียนนี่ล่ะ”
“อ่าฮะ เพราะงี้ก็เลยมาหาผมที่มีประสบการณ์เพื่อหาข้อมูลสินะ”
คือมันก็ไม่ใช่ว่าผมจะอวดว่าตัวเองเป็นคนมีเพื่อนเยอะอะไรหรอกนะ แต่ถ้าให้พูดล่ะก็ผมว่าผมก็อาจจะดีกว่าอายาเสะซังอยู่ในเรื่องนี้
“ผมอาจจะช่วยเธอได้นะ”
“จริงหรอ?”
“อื้ม ผมมีเพื่อนที่โรงเรียนที่หูไวตาไวเกี่ยวกับแวดวงข่าวสารอยู่น่ะ”
อีกอย่างคือเขาเองก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมอีกด้วย
“รุ่นพี่ในที่ทำงานของผมเองก็อาจจะรู้อะไรบางอย่างเหมือนกัน ไว้พรุ่งนี้เข้างานแล้วผมจะถามให้นะ”
“ขอบใจนะ แต่มันก็รู้สึกไม่ยุติธรรมเลยที่นายต้องเป็นธุระให้ชั้นแบบนั้นน่ะ….”
อายาเสะซังจิบซุปมิโซะขณะที่เธอครุ่นคิดเรื่องนี้
“ซุปมิโซะ”
“เอ๋?”
“ผมอยากให้เธอทำซุปมิโซะให้ทุกวัน”
ในขณะที่เรานั่งทานมื้อเย็นที่โต๊ะอาหาร ผมก็มองไปยังผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าของผมซึ่งไม่นานมานี้เธอเป็นแค่คนแปลกหน้าอยู่เลยแท้ๆ
และเมื่อมองฉากที่ดูผิดปกติ คำพูดเหล่านี้หลุดออกไปโดยที่ผมไม่ทันได้คิด
และอายาเสะซังก็เอาชามยกขึ้นมาปิดปากของเธอและกระพริบตาด้วยความสับสน
“นี่เป็นการสารภาพรักงั้นหรอ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย..”
ผมจะกล่าวโทษเธอก็ไม่ได้เพราะคำพูดของผมไม่ว่าจะฟังยังไงมันออกแนวดูเหมือนว่าผมกำลังขอเธอคบอยู่ชัดๆเลย!
ที่ผมหมายถึงน่ะคือที่อากิโกะซังบอกว่าการทำมื้อเย็นทุกๆวันเป็นเรื่องที่ลำบากนั่นแหละ
นั่นหมายความว่าผมต้องทำมันด้วยตัวเองนับตั้งแต่ที่ผมได้อยู่กับตาแก่มาและจนถึงตอนนี้ตัวผมเองก็พอใจกับการที่ได้กินอาหารจากร้านสะดวกซื้อ
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมคิดว่า….ถ้าผมมีเวลาเตรียมอาหารตอนที่กำลังเรียนอยู่, ทำงานพาร์ทไทม์ก็คงจะดี และไหนยังต้องการเวลาให้กับตัวเองอีก นอกจากนี้นี่มันก็นานกี่ปีแล้วนะ?
ที่ผมได้กินซุปมิโซะทำมือที่อร่อยกว่าไปซื้อแบบสำเร็จรูปมากินน่ะ
ความคิดต่างๆนาๆเหล่านี้ปะปนอยู่ในหัวของผมจนทำให้ผมพึมพัมด้วยความงุนงง
“ก็นะ ไม่เป็นหรอก ชั้นเองก็ไม่ได้เกลียดการทำอาหารและก็พูดได้ว่าเรื่องนี้ชั้นเองก็ทำได้ดีเลยทีเดียว”
ดูเหมือนว่าเธอจะโอเคกับมันนะ
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่ให้เธอหารายได้ๆไวๆก็แล้วกันนะ”
“และชั้นก็จะทำอาหารให้นายเอง”
แม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาท แต่เราทั้งคู่ก็ยืนชี้หน้ากันและยืนยันกับคำมั่นสัญญานี้