Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 7: 8 มิถุนายน (วันจันทร์) [3]
เมื่อผมกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน อากิโกะซังก็กำลังจะออกไปพอดี
“ว่าไงจ้ะ ยูตะคุง”
“กลับมาแล้วครับ”
“ยินดีต้อนรับกลับนะจ้ะ ชั้นทำมื้อค่ำไว้ให้ด้วยนะ”
“ขอบคุณมากนะครับ แต่จริงๆไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ครับ อีกอย่างนี่กำลังจะออกไปทำงานหรอครับ?”
“ใช่แล้วจ้า ว่าจะออกไปพอดีกะจะพักสักหน่อยแต่ก็คงไม่ได้แล้วสิ”
แม่เลี้ยงของผมกำลังเอามือข้างหนึ่งจับแก้มของเธอพลางยิ้มอย่างมีความสุข
เธอสวมเสื้อผ้าราคาแพงที่เปิดเผยหัวไหล่และกลิ่นน้ำหอมที่ออกมาจากตัวเธอนั้นมันก็ฉุนมากพอที่จะทำให้ผมเวียนหัว เป็นดั่งผีเสื้อที่พร้อมโปรยเสน่ห์ให้ทั้งโลกได้เห็น
“ตั้งแต่ที่ตาแก่ของผมมัวแต่วุ่นอยู่กับงาน ตัวผมก็หาอะไรก็ได้ที่หาได้มาเป็นมื้อเย็นเอง ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องทำมื้อเย็นก่อนจะไปทำงานหรอกนะครับ”
“ตอนที่ได้อยู่กันแค่ชั้นกับซากิ ก็ทำแบบนี้มันเลยเป็นเรื่องปกติจ้ะ แต่ตอนนี้เราก็ได้มาอาศัยอยู่ด้วยกันแล้วชั้นก็เลยคิดว่าก็น่าจะทำแบบเดียวกัน”
“ผมไม่อยากให้คุณทำงานหนักเกินไปน่ะครับ ฉะนั้นอย่าทำเหมือนรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำเลยนะครับ”
“อื้ม ชั้นอาจจะต้องขอพึ่งความใจดีนั้นของเธอนับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็แล้วกันนะจ้ะ แถมซากิเองก็ทำอาหารได้เหมือนกัน ดังนั้นชั้นคิดว่าน่าจะฝากฝังกับเธอได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นผมรู้สึกว่าหูของผมมันกระตุกและจินตนาการถึงภาพการทำอาหารของอายาเสะซังและด้วยสัญชาติญาณของผมมันชวนให้คิดว่ามันช่างไม่เข้ากันกับภาพลักษณ์ของเธอเลยจริงๆ และพอได้คิดถึงเธอแล้ว ข่าวลือมันก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเผลอพูดคำพูดเหล่านี้ออกไป
“แล้วคุณทำงานที่ไหนหรอครับ?”
“อ้อ ก็แถวๆย่านช้อปปิ้งที่ชิบูย่าน่ะจ้ะ”
“แล้วเป็นสถานที่แบบไหนหรอครับ?”
“แหม ไม่เอาหน่า นี่เธอคงกำลังมีความคิดแปลกๆอยู่ล่ะสินะเนี่ย”
เธอทำหน้ามุ่ยอย่างกับเด็ก
เอาตามตรงคือผมไม่ได้คิดวางแผนที่จะพูดเรื่องนี้ออกไปเลยด้วยซ้ำ แค่มีข้อสงสัยเล็กๆน้อยๆปรากฏภายในหัวของผมก็เท่านั้น
“มันก็เป็นแค่บาร์ธรรมดาทั่วไปแหละจ้า ไม่มีการบริการอะไรที่ไม่เหมาะสมหรอกนะ ก็คอยต้อนรับที่เค้าเตอร์ด้วย”
“คุณไม่ได้พูดคุยกับลูกค้าเองโดยตรงหรอกหรอครับ?”
“ในแง่หนึ่งชั้นก็ทำแบบนั้นนะ แต่ว่าพูดรวมๆแล้ว ชั้นเป็นบาร์เทนเดอร์น่ะ”
อากิโกะซังทำท่าทางเหมือนกำลังเขย่าขวดเครื่องดื่มซึ่งมันพอจะบอกได้ว่าเธอเคยชินกับการทำสิ่งนี้ ผมจึงยอมรับคำพูดของเธอ
“ผมขอโทษนะครับ ที่คิดอะไรไม่ดีผมแค่….”
“มันก็ช่วยไม่ได้นี่จ้ะ ก็มันฟังดูน่าสงสัยนี่นะ คงไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นๆเขาพูดถึงชั้นยังไงที่ชั้นทำงานกลางคืนหรอกเนอะ แถมเธอเองก็เป็นนักเรียน มันก็อาจจะเป็นเรื่องลำบากใจเล็กน้อย ถ้าเธอรู้ว่าที่เมืองตอนกลางคืนมันมีพวกสถานที่แบบไหนอยู่ด้วยน่ะ”
“อื้อ นั่นก็จริงครับ”
ตอนนี้ผมคิดเกี่ยวกับตาแก่ที่ไม่มีทางจะเลือกผู้หญิงที่บาร์หรือโฮสคลับแน่ๆ
เขาเป็นคนธรรมดาที่นิสัยซื่อสัตย์แถมใจง่าย แต่เขาก็จะไม่มีวันเลือกผู้หญิงจากสถานบันเทิงแบบนั้นแน่ๆ นั่นคือสิ่งที่ผมแน่ใจหลังจากที่ได้เฝ้ามองดูเขาอยู่เรื่อยมานับสิบปี ดังนั้นผมจึงสามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก
“ยังไงซะ ตอนนี้ชั้นต้องไปแล้วนะยูตะคุง ฝากดูแลซากิด้วยนะจ้ะ”
“อ่า…ครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
อากิโกะซังโบกมือลาให้ผมเบาๆ ขณะที่เธอเดินไปตามโถงทางเดินของแฟลตตัวเธอดูเหมือนผีเสื้อที่มุ่งหน้าไปยังเมืองยามราตรี ผมมองดูอากิโกะซังเดินหายเข้าไปในลิฟท์และหลังจากนั้นผมก็ปิดประตูบ้านเข้ามา
ภายในบ้านของผมเอง ภายในห้องของผมเอง แต่ถ้าให้พูดเฉพาะเจาะจงสักหน่อยล่ะก็
ผมควรที่จะผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง แต่มันกลับอดไม่ได้ที่จะตึงเครียดขึ้นมา
ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะพื้นที่ที่อยู่ด้านนอกกำแพงนี้กลายเป็นพื้นที่ของคนอื่นไปเสียแล้ว
ที่ทางเดิน, ห้องนั่งเล่น, ห้องน้ำ มันไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับผมและตาแก่อีกต่อไปแล้ว
การที่ได้ตระหนักถึงความเป็นจริงนี้ ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นการเสียมารยาทดังนั้นผมจึงเพ่งสมาธิให้ความสนใจไปที่หนังสือบนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าของผม
และพอได้มองดูเวลาอีกครั้งนึงมันก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว
สิ่งที่ดึงผมกลับมายังความเป็นจริงก็คือเสียงของประตูทางเข้าที่เปิดออก หลังจากนั้นเสียงฝีเท้าก็เคลื่อนที่ไปตามโถงทางเดินเข้าไปยังห้องข้างๆผม
“ยินดีต้อนรับกลับนะ”
ผมทักทายเบาๆ แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆกลับมา
อืม มันก็ไม่มีทางที่เธอจะได้ยินผมผ่านกำแพงได้หรอกนะ และเนื่องจากผมก็ไม่ได้มีเรื่องด่วนอะไรกับเธอ ผมจึงบอกตัวเองให้ลืมๆเรื่องนี้แล้วหันหลังกลับไปที่โต๊ะ
อีกฟากของกำแพงผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำที่พื้นและเสียงกระเป๋านักเรียนที่ร่วงหล่นกระทบพื้น หลังจากนั้นตู้เสื้อผ้าก็เปิดออก…….
อา นี่มันไม่ดีเลยแฮะ ผมไม่ควรให้ความสำคัญกับเสียงของเธอมากเกินไป
ไอ้แบบนี้มันน่าขยะแขยงใช่ไหมเนี่ย?
ผมบ่นกับตัวเองและรอให้เรื่องของอายาเสะซังหายๆไปจากหัวเสียที
“อาซามูระคุง ชั้นเข้าไปได้ไหม?”
อย่างไรก็ตามขณะที่ทำแบบนั้น อายาเสะซังก็มาปรากฏตัวหน้าห้องของผมและเคาะประตู
“อะ-อ๊ะ ! อื้อได้สิ”
“งั้นก็ขออนุญาตินะ”
“แล้วมีอะไรหรอ?”
“หืม นายกำลังเรียนอยู่งั้นหรอ? ที่พยายามหนักก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ในช่วงสอบเลยด้วยซ้ำนี่นา”
“ผมเดาว่านักเรียนคนอื่นๆก็น่าจะเหมือนๆกันนั่นแหละ”
ผมไม่ได้นั่งเรียนที่บ้านเป็นกิจวัตรหรอกนะ เพราะกิจวัตรปกติของผมก็คือนั่งเล่นเกมแล้วก็อ่านมังงะ แต่เนื่องจากนั่นมันไม่ใช่ภาพที่ผมอยากจะให้คนอื่นได้เห็นเพราะว่าผมก็รู้สึกได้ถึงอายาเสะซังที่อยู่อีกฟากของกำแพง ผมจึงทำเป็นตั้งใจเรียนไป
“ตั้งเป้าจะเข้ามหาลัยดีๆงั้นหรอ?”
“ผมก็ไม่คิดว่าคนเราจะตั้งเป้าไปในที่ๆไม่ดีหรอกนะ”
“อ่าฮะ นายก็เรียนพร้อมกับทำพาร์ทไทม์ไปด้วยนี่นะ”
“แล้วมันเป็นเรื่องแปลกมากๆเลยงั้นหรอที่ทำแบบนั้นน่ะ?”
ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพบเห็นหรือดูแปลกอะไร ที่จะพบเห็นนักเรียนทำอะไรแบบนี้เหมือนๆกันกับผม
“ชั้นหมายถึงการที่นายลงทุนลงแรงใช้เวลาเพื่อหารายได้ แต่นายก็ยังเอาเวลาไปลงทุนกับการเรียนเพื่อที่จะให้ได้ผลลัพธ์มันออกมาดีอีกเหมือนกัน นั่นมันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าการที่ทำเรื่องทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันนั้น ชั้นคิดว่ามันค่อนข้างที่จะยากมากพอสมควรเลยทีเดียวน่ะ”
“เธอนี่คิดถึงเรื่องซับซ้อนพรรณนั้นด้วยหรอ ขนาดผมเองก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ”
ผมยักไหล่
“อืม….ถ้างั้นก็”
ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมา ขณะที่เธอหลบสายตาของผมและเล่นกับผมยาวสลวยของเธอเอง นี่มันอาจจะเป็นเพราะแสงหรือเหตุผลอื่นแต่ตอนนี้แก้มของเธอดูแดงกว่าปกติ
เพียงเพราะบทสนทนาเรื่องนั้นที่ได้ยินมา ในตอนนี้เองผมสามารถบอกได้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับเธอที่โรงเรียนมันดูเหมือนจะเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ
อายาเสะซังดูเหมือนเธอต้องการเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการเตรียมใจ และเมื่อเธอพูดขึ้นมาก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นในสายตาของเธอ
“นายพอรู้เรื่องงานพาร์ทไทม์ที่จ่ายหนักๆกับการทำงานเพียงระยะเวลาสั้นๆบ้างรึเปล่า?”
“มันฟังดูคลุมเครือจังนะ”
“อ๊ะ….เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก”
ผมรู้สึกเสียใจที่ถามย้อนเธอกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
อย่างน้อยมันก็ยังแค่ฟังดูคลุมเครือเฉยๆ เพราะถ้าหากผมโพล่งออกไปว่า ‘ขายตัว’ ล่ะก็ผมคงโดนเอ็ดแหงมๆ
“คือว่าชั้นต้องการเงินน่ะ แต่ก็ไม่อยากเสียเวลามากเกินไป แบบว่าทำแค่ประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมงแล้วได้เงินราวๆหนึ่งหมื่นเยนน่ะ”
“ด้วยการทำงานแบบปกติแล้ว เธออาจจะไม่ได้รับเงินมากมายขนาดนั้นหรอกนะ”
ผมตอบอย่างใจเย็น
ตอนนี้ผมตัดสินใจที่จะเก๊กหน้านิ่งและทำเหมือนกับว่าผมไม่รู้เกี่ยวกับข่าวลือของเธอ
“งั้นหรอ…..งั้นก็เดาว่า การขายคงเป็นทางเลือกเดียวแล้วสินะ…..”
แม้เราอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันแต่เธอก็ยังคงเป็นน้องสาวของผมและผมก็ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ว่าเธอกำลังจะขายอะไรกันแน่? หลังจากเราเป็นครอบครัวเดียวกันได้เพียงแค่สองวันน่ะ
“ถ้าอยากจะได้เงินนักล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็ขายด้วยตัวเองซะสิ มันก็มีหนังสือที่บอกอะไรแบบนี้ไว้อยู่ด้วยนี่นะ”
นั่นมันหนังสือประเภทไหนกันวะเฮ้ย!
ทำไมหนังสือพรรณนั้นมันถึงเข้าถึงเด็กนักเรียน ม.ปลายได้ล่ะเนี่ย?
แล้วอีกอย่างผมก็เคยเห็นหนังสือแบบนั้นตอนที่ทำงานพาร์ทไทม์ของผมอยู่เหมือนกัน ดังนั้นผมจึงไม่สามารถเถียงออกไปได้อย่างแน่นอน
“อืม…อายาเสะซัง คือที่ผมจะพูดมันก็ออกจะเสียมารยาทไปหน่อยนะ แต่ว่า….”
“เชิญเลย พูดต่อได้เลย ไหนๆชั้นก็เป็นคนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเองด้วย”
“ผมคิดว่าเธอควรจะรักนวลสงวนตัวให้มากกว่านี้นะ”
“แล้วทำไมนายต้องทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยล่ะ? คนอื่นๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ทำแบบนี้เหมือนกันนี่”
“สิ่งที่เธอจะทำด้วยตัวของเธอเอง มันไม่เห็นจะโยงไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยนะ”
“ชั้นดูแลตัวเองได้หน่า นั่นแหละถึงเป็นเหตุผลที่ชั้นต้องการหาเงินให้ได้เยอะๆ”
พอได้เผชิญหน้ากัน ผมก็พยายามโน้มน้าวเธอด้วยตระกะของตาแก่
ส่วนเธอก็ดูจริงจังอย่างน่าประหลาดใจ
การที่ออกเดทการโดยการจ่ายเงินเนี่ย ผมคิดว่าที่หญิงสาวหลายๆคนทำมันเพราะด้วยความเบื่อหน่ายหรือเพราะคิดว่าพวกเธอทำได้ แต่อย่างไรซะ รู้สึกว่าอายาเสะซังน่ะมีเจตนาที่จะทำเรื่องนี้อย่างชัดเจนเนื่องจากคำพูดของเธอมีความมั่นใจและฟังดูขึงขังอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และที่พูดมาทั้งหมดไม่ว่าเธอจะจริงจังแค่ไหนก็ตาม ผมจะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งตอนนี้ที่เธอได้กลายเป็นน้องสาวของผมไปแล้วด้วย
เมื่อผมนึกถึงคำขอของอากิโกะซังเรื่องที่ว่าฝากดูแลอายาเสะซังแล้ว
ผมก็รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ยอมเร่งเร้าเรื่องนี้ให้มากกว่านี้
“แล้วนี่เธอได้พูดแบบนี้ต่อหน้าอากิโกะซังด้วยรึเปล่าล่ะ?”
“พูดงั้นหรอ? ถ้าเธอจะพูดอะไรกลับมาก็คงจะเป็นการสรรเสริญชั้นที่กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวล่ะมั้ง”
“นี่ระบบการศึกษาในหัวของเธอนี่มันถูกสาปรึยังไงกัน”
“แล้วมันแตกต่างจากครอบครัวของนายตรงไหนล่ะ? ชั้นคิดว่าพ่อของนายเองก็น่าจะดีใจนะ เมื่อนายเริ่มทำอะไรด้วยตัวของนายเอง อาซามูระคุง”
“มันก็จะเป็นปัญหาอย่างนึงเลยล่ะถ้าเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็จริงอยู่ที่ตาแก่ของผม เขาเป็นผู้ชายที่หวังพึ่งอะไรไม่ได้เกือบจะตลอดเวลา แต่ว่าถ้าหากว่าลูกของเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เขาก็จะต้องเสียใจมากๆอย่างแน่นอน”
“เอ๋ แล้วเมื่อวานนี้ นายไม่ได้ไปทำงานพาร์ทไทม์ของนายงั้นหรอ?”
“งานพาร์ทไทม์?”
“ใช่ พาร์ทไทม์”
ความเงียบสงัดได้เกิดขึ้นมาระหว่างเราสองคน เห็นได้ชัดเลยว่าเราทั้งคู่พยายามจะนึกคิดสืบหาต้นตอของบทสนทนาของเราที่ทำให้ความเงียบนี้เกิดขึ้น
“นี่นายคิดว่าชั้นกำลังคุยเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย?”
อายาเสะซังพูดออกมาขณะเธอหรี่ตาลง
“ก็….ขายบริการทางเพศ โดยที่มีเงินจำนวนมากมาเกี่ยวข้องอะไรทำนองนั้นน่ะ…..”
“ห๋า?………………..”
เสียงของอายาเสะซังเย็นชาอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน