Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 3: 7 มิถุนายน (วันอาทิตย์) [2]
ร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟชิบูย่า พอเดินข้ามสี่แยกที่มีเหล่านักท่องเที่ยวและ Youtuber ที่แห่กันมาถ่ายรูปจำนวนมากแล้ว มันก็จะอยู่ตรงหน้าของคุณ ด้วยโฆษณาเกมมือถือ ที่คุณจะได้ยินตอนขึ้นไปยังอาคารแปดชั้น ซึ่งนั่นก็คือที่ๆผมทำงานในฐานะพนักงานร้านหนังสือ
ตัวผมเป็นคนชอบหนังสือมาตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกวรรณกรรมสำหรับเด็ก หรือ จากต่างประเทศ ผมก็ได้ลองอ่านทุกประเภทที่มี
ตัวผมไม่ได้เพียงแค่อ่านเท่านั้น แต่เรียกได้ว่าซึมซับมันเข้าไปเลยล่ะ
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงได้เลือกทำงานในสถานที่ดังกล่าวที่มีการเปิดตัวผลงานใหม่ๆอยู่รอบๆตัวผม ที่นี่มันเหมือนจึงเปรียบเหมือนกับสวรรค์
หนังสือคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม เพราะมันแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้อื่นในทุกรูปแบบ
ซึ่ง อาซามูระ ยูตะ คนนี้ไม่สามารถที่จะลิ้มรสประสบการณ์แบบนั้นได้
ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ตั้งแต่ผมเริ่มเข้ากะทำงานตอนหกโมงเย็น และ สองชั่วโมงก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ต้องรับมือกับลูกค้ามากมายช่วงสุดสัปดาห์ เวลานี้ลูกค้าเริ่มทยอยน้อยลงแล้ว ในที่สุดก็ได้พักหายใจให้ทั่วท้องเสียทีนึง เหลือเพียงแค่จัดพวกปกและลงทะเบียนหนังสือ และผมก็ถูกขัดจังหวะ
“วู้ว คนสวย เธอนี่ตรงสเป็คชั้นเลยแฮะ เห็นครั้งแรกก็ปิ๊งเลยล่ะ!”
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้ากำลังหาหนังสือเล่มใดอยู่หรือเปล่าคะ?”
“นี่เธอน่ารักขนาดนี้ได้ไงเนี่ย? เราไปหาอะไรกินกันหลังจากงานเสร็จนะจ้ะ แล้วว่าแต่จะเสร็จเมื่อไหร่หรอ?”
“พอดีดิชั้นจำชื่อเรื่องแบบนั้นไม่ได้ รบกวนคุณลูกค้าบอกรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยนะคะ”
“นี่เธอพูดอะไรอยู่เนี่ย ตลกจัง ฮ่าๆๆ”
ผู้ชายที่ออกแนว กุ๊ย ทำตัวเสเพล กำลังพยายามอย่างหนักที่จะจีบพนักงานหญิงคนนั้น
ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ดูไม่สะทกสะท้านอะไร
นี่เป็นภาพที่คุ้นเคยกันดีที่ชิบูย่า แต่พอได้เห็นมันเกิดขึ้นในร้านแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นภาพที่แสนดุเดือดที่หาดูได้ยากจริงๆ
ตัวเธอมีผมยาวสลวยสีดำ ออกแนวหญิงสาววรรณกรรมอันแสนบริสุทธิ์ที่วางตัวได้เหมาะสม
ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามกับกลิ่นหอมหวานที่ลอยอยู่รอบๆตัวเธอมันแตกต่างจากผู้หญิงทั่วๆไปที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าช่วงนี้หล่อนจะโดนแบบนี้อยู่บ่อยๆก็เถอะ แต่เธอก็ยังคงเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่เสมอ ช่างเป็นการ “เซอร์วิส” ที่สมบูรณ์แบบอะไรเยี่ยงนี้
ผมไม่อยากมีเรื่องนะ แต่….
ด้วยความคิดเหล่านี้ผมจึงเดินมุ่งหน้าไปพร้อมกับลิตส์รายการหนังสือในมือ
“โยมิอุริซัง มีบางอย่างที่ผมอยากขอให้คุณช่วยหน่อยครับ”
“อะ-อื้อ แล้วมันคืออะไรหรอ?”
“เกี่ยวกับรายชื่อของพวกรายการที่ออกใหม่น่ะครับ ผมไม่รู้วิธีตรวจสอบข้อมูลด้วยจากคอมพิวเตอร์”
“อ้อ เข้าใจแล้วจ้ะ งั้นเดี๋ยวชั้นไปนะ”
“ฮะ-เฮ้ เดี๋ยวเซ่!”
ดูเหมือนเธอจะเข้าใจสิ่งที่ผมพึ่งเล่นละครไป และ เดินออกมาจากที่ตรงนั้นทิ้งไอ้ผู้ชายที่ทำท่าทางลุกลี้ลุกลนไว้ และเขาก็พยายามเอื้อมมือมาจับข้อมือเรียวยาวของเธอ แต่ก็มาโดนมือของผมแทน
“ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับ [โยมิอุริซังของผม] อีกรึเปล่าครับคุณลูกค้า?”
“เอ๊ะ?”
แน่นอนว่าพวกเราไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์แบบนั้นกัน แต่แค่เล่นละครให้เขา ยอมแพ้เท่านั้น หลังจากที่เขาอ้าปากค้างเสร็จ เขาก็ปรบมือเข้าหากัน แล้วก้มหัวลงขอโทษ
“พอดีชั้นเป็นคนอ่านอารมณ์คนไม่เก่งน่ะ ต้องขอโทษด้วย ก็ต้องแน่อยู่เเล้ว ที่สาวสวยอย่างเธอคงจะต้องมีแฟนอยู่แล้วน่ะ”
“อะ-อื้ม ใช่แล้วล่ะ”
เอาตามตรง ผมงงไปหมด เมื่อพิจารณาจากการกระทำของเขาแล้ว เขาน่าจะแสดงอารมณ์ก้าวร้าวใส่พวกเราหรือดูถูกอะไรทำนองนั้นสิ?
แต่เอาเข้าจริงๆกลับสลัดออกไปง่ายดายเหลือเกิน
“เพื่อนเอ๋ย เอาเป็นว่ารักเธอให้มากๆล่ะ ขอให้มีความสุข!”
เขาทิ้งคำพูดไว้แล้วก้าวออกจากร้านไป
เมื่อเสียงรบกวนหายไปแล้ว ความเงียบก็กลับมาที่ร้านอีกครั้ง และ เมื่อรู้ว่าพวกเราได้รับความสนใจจากลูกค้าคนอื่นๆ ผมจึงก้มหน้าก้มตา ซ่อนใบหูที่แดงเรื่อของผมเองกลับไปทำงานลงทะเบียนต่อ
“ขอบใจนะรุ่นน้องคุง ช่วยเอาไว้จริงๆ อืม…..นอกจากนี้ ถ้าอีตาคนนั้นจะยอมแพ้ง่ายซะขนาดนี้ ไหงทีแรกถึงได้ดื้อรั้นจังนะ เนอะๆใช่ไหมคะ คุณแฟนขา?”
“ขอล่ะช่วยหยุดทีเถอะครับ…..”
“อะไรกันคะ นี่ความรักของเรามันอยู่ได้ไม่ถึงนาทีเลยหรอคะ? ช่างน่าเศร้าอะไรอย่างนี้”
เมื่อเราอยู่ด้วยกันสองคนอีกครั้ง รอยยิ้มที่คอยบริการลูกค้าของเธอก็หายวับไปทันที
และเธอก็แลบลิ้นออกมาพร้อมกับยิ้มล้อเลียนผม
ดูเหมือนเธอไม่ได้ติดแผ่นป้ายชื่อไว้แต่แรก และตอนนี้เธอวางมันไว้ข้างๆด้านขวาของเธอ ซึ่งผมอ่านจับใจความได้ว่า “โยมิอุริ ชิโอริ”
“ไม่ใช่ว่า เราควรติดแผ่นป้ายชื่อเอาไว้ตลอดระหว่างเข้ากะทำงานหรอครับ?”
“นี่น่ะ แค่ตอนเฉพาะกิจเท่านั้นแหละจ้ะ”
รุ่นพี่โยมิอุริวางนิ้วชี้บนริมฝีปากของเธอ พร้อมกับขยิบตาราวกับจะบอกให้ผมเก็บเป็นความลับ
“กฏน่ะ มีไว้เพื่อให้องค์กรสามารถเดินหน้าต่อได้ใช่ไหมล่ะ? แต่ถ้าหากเขาเอาชื่อของชั้นไปกระจายบอกต่อให้คนอื่นรู้อีกล่ะก็ อีกไม่นานเดี๋ยวก็มีคนแบบเขาแห่กันมาเต็มร้านหรอกนะจ้ะ”
“อ่า นั่นก็ดูมีเหตุผลดีครับ”
เห็นได้ชัดเลยว่าเธอจงใจปล่อยให้ไอ้หมอนั่นเข้ามาเต๊าะเธอ
เอาตามตรงผมคิดว่าเรื่องความคิดที่เจ้าเล่ห์เจ้ากลแถมหัวหมอนี่แหละ คือ เสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ แต่ผมก็เดาว่าผู้ชายส่วนใหญ่บนโลกนี้คงไม่เห็นด้วยกับผมหรอก….
“นั่นน่ะ รอบที่ 3 ของเดือนนี้แล้วนะ เฮ้อ…”
“นี่ขนาดแค่วันที่ 7 ของเดือนเองนะครับ เล่นโดนเต๊าะวันเว้นวันแบบนี้เลย”
“โดน 3 รอบ ขณะที่ทำงานอยู่เนี่ย แล้วแบบนี้ ชั้นจะมีสมาธิทำงานได้ยังไงกันล่ะเนี่ย!”
รุ่นพี่โยมิอุริ หลบซ่อนตัวจากสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ และถอนหายใจอย่างพ่ายแพ้
“ผมก็พยายามช่วยรุ่นพี่เสมอแบบนี้ แต่พอช่วยเสร็จก็แกล้งผมต่อ แต่ช่างเถอะผมชินแล้วล่ะ”
“ก็ต้องขอขอบคุณนายเหมือนเคยนะ นายนี่เป็นคนที่ไว้ใจได้จริงๆเลยนะ รุ่นน้องคุง”
“ขอโทษทีนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจให้รุ่นพี่รู้สึกว่าติดหนี้ผมหรอกนะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย นายเองก็ช่วยชั้นไว้เยอะนี่นา ชั้นก็ติดหนี้นายอยู่จริงๆนั่นแหละ”
รุ่นพี่โยมิอุริ อาจดูเหมือนคนเนิบๆธรรมดาๆ แต่เมื่อไหร่ที่อยู่กันแค่พวกเราสองคน เธอก็มักจะพูดติดตลกพร้อมกับใช้น้ำเสียงสบายๆ
ในทีแรกผมก็หลงไปกับระยะห่างระหว่างความรู้สึกที่คลุมเครือของเธออยู่เหมือนกัน
หรือจะเป็นการที่เราได้แตะเนื้อต้องตัวกันบ่อยครั้ง แต่ทันทีที่ได้เข้าใจว่านั้นคือ นิสัยของตัวเธอเอง มันก็เลยง่ายที่จะเข้ากันได้กับเธอ
“รุ่นพี่นี่ก็เนื้อหอมอย่างเคยเลยนะครับ บางทีอาจจะเป็นเพราะรุ่นพี่สวยมากๆนั่นแหละ”
“นี่ รุ่นน้องคุง ขืนยังเอาแต่ยอชั้นแบบนั้นอยู่อีกล่ะก็ ตอนนี้นายเองก็อาจจะกลายเป็นแบบคนพวกนั้นไปแล้วก็ได้นะ”
“อย่าพูดให้ผมรู้สึกกลัวแบบนั้นได้ไหมครับ”
“งั้นหรอกหรอ ชั้นไม่คิดว่าเป็นเพราะหน้าตาของชั้นหรอกนะ ไม่ใช่แค่ว่าชั้นเป็นคนที่ดูเต๊าะง่ายๆหรอกหรอ?”
“ดูง่ายเรอะ…….”
เนื่องจากวิธิการที่ใช้ถ้อยคำที่แสนจะตรงไปตรงมาของเธอ ทำให้ตัวผมสูญเสียคำพูดไป
แน่นอนว่าเธออาจะดูไร้เดียงสา แต่ตัวเธอเองก็เป็นผู้ใหญ่มากๆ ผมเดาว่าในเมืองชิบูย่านี้มันมีอะไรสักอย่างอย่างที่ดลบันดาลให้ผู้ชายคนนั้นเข้าใจผิด ผมนึกภาพออกเลยว่าผู้ชายหลายคนพุ่งเป้าใส่ผู้หญิงที่ไร้เดียงสาไม่มีประสบการณ์กับผู้ชายมาก่อน และ สามารถจับพวกเธอได้ง่ายๆด้วยการกดดันพวกเธอเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“นี่…..พูดมาซะ รุ่นน้องคุง ชั้นได้กลิ่นผู้หญิงมาเจอตัวนายอยู่ตลอดเลย นี่นายมีแฟนแล้วอย่างนั้นหรอ?”
นี่หล่อนมีแนวโน้มเป็นพวกซาดิสต์นะเนี่ย……..
“เลิกล้อผมเล่นแบบนั้นเถอะครับ ขอล่ะ ว่าแต่ได้กลิ่นชัดขนาดนั้นเลยหรอ?”
“หึ่ง เลยล่ะ นี่ไปนัวเนียกันมากี่ชั่วโมงกันล่ะ หืม? ถึงได้กลิ่นแรงขนาดนี้”
“งั้นผมกลับเลยก็แล้วกันครับ ว่าจะกลับบ้านไปอาบน้ำแล้ว”
“งื้อ แค่พูดเล่นเจ้าค่ะ ล้อเล่นเฉยๆ อย่าทิ้งเค้าไว้คนเดียวน๊า !!!”
รุ่นพี่โยมิอุริก็มาเกาะแกะผมหลังจากที่ผมทำท่าเหมือนจะถอดเสื้อออก และ พูดว่าจะกลับบ้าน
ตอนนี้มีแค่ผมและรุ่นพี่เท่านั้นที่ยังอยู่ในที่ทำงาน
ถึงแม้ว่าเราจะผ่านช่วงพายุหฤโหดมาแล้วก็ตาม แต่การที่ต้องปล่อยให้เธอทำสิ่งที่เหลืออยู่คนเดียวนั้นโหดร้ายยิ่งกว่า ก็นะ ผมแค่หยอกเธอเล่นเท่านั้นไม่ได้ตั้งใจกลับบ้านจริงๆหรอก
“กะ-ก็แค่ ที่นายเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ไง ชั้นก็เลยสงสัยน่ะ…….”
ความจริงแล้วผมได้ขอคำแนะนำจากรุ่นพี่ หลังจากที่ผมรู้ว่าน้องสาวของผมคือ ผุ้หญิงอายุรุ่นเดียวกันกับผม แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวกับเธอยังไงดี? แล้วควรมีทัศนคติแบบไหน? เนื่องจากรุ่นพี่โยมิอุริเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในบริเวณรอบตัวของผมที่สามารถคุยได้อย่างสบายๆ ผมจึงถามเคล็ดลับจากเธอ ซึ่งแน่นอนว่าผมกลับโดนเธอแหย่เล่นแทนและไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์จากเธอเลย
“ชั้นเองก็คงจะพูดอะไรมากไม่ได้หรอกนะจ้ะ รู้แค่ว่าผู้หญิงน่ะนะ เป็นพวกที่มีงานอดิเรก และ ค่านิยมรวมถึงบุคลิกที่แตกต่างกันแค่นั้นแหละจ้า”
นั่นคือความเห็นของเธอ ซึ่งมันก็ฟังขึ้นพอสมควร ผมจึงไม่สามารถบ่นอะไรเธอได้
“แล้วเธอเป็นไงล่ะ? น่ารักไหม?”
“ผมรู้สึกไม่สบายใจนะ ที่จะมองเธอแบบนั้นน่ะ”
“ชั้นรู้หน่าว่านายไม่ใช่คนประเภทอุกอาจอะไร ที่จะมีความสุขกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ว่าชั้นถามจากมุมมองของนายเองต่างหากล่ะ”
“อะ-อือ…..ก็เป็นคนสวยใช้ได้เลยล่ะ”
ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา
ผมรู้ว่ามันยากที่จะพูดแบบนี้ เพราะสุดท้ายเธอก็เป็นครอบครัวของผมนับแต่วันนี้เป็นต้นไป
ดังนั้นแล้วเมื่อผมมองเธอแบบนั้นแล้ว ความรู้สึกผิดมันก็เข้ามาเติมเต็มหน้าอกของผมทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ ในแง่ความสัมพันธ์กับคนอื่นแล้ว เธอเป็นคนที่แบ่งปันความคิดต่างๆนาๆให้กับผม ซึ่งผมเองก็คิดว่าเธอคือคนๆนึงที่ผมไม่สามารถตัดขาดได้
เธอมีใบหน้าที่น่ารักพร้อมกับผมบลอนด์ที่มากเสน่ห์ รวมถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เธอสวมใส่ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเธอให้ยิ่งดูสมบูรณ์แบบเข้าไปอีก
ตัวเธอช่างดูแตกต่างจากตัวประกอบดาดๆอย่างผม
“ว้าว ได้ใช้ชีวิตร่วมกับสาวสวยแบบนั้น นายนี่โชคดีจังเลยน๊า”
“มันไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้นแหละครับ”
“อะไรนะ “เสร็จ” แน่นอนเลยงั้นหรอ?”
TL Note : Eng ใช้คำว่า Nutting ที่สื่อความหมายนัยๆ ในเชิงลามก ซึ่งเอาไปคิดกันเอาเอง
“ช่วยอย่าดึงเข้าไปเล่นมุขสกปรกๆทีจะได้ไหมครับ มันเป็นนิสัยเสียของรุ่นพี่จริงๆเลยนะครับ !!”
“แหม ก็ชั้นอยู่ในโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอดเลยนี่นา มันก็ช่วยไม่ได้นี่….”
“ดูเหมือนการประเมินค่าโรงเรียนหญิงล้วนในหัวของผมมันกำลังลดต่ำลงๆเรื่อยๆเลยแฮะ..”
“มันเป็นความจริงนะ!!”
“เอาจริงดิครับ?”
“ก็สุดแล้วแต่นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อละกัน”
ในหัวของผมมันอยากจะเก็บภาพโรแมนติกๆของเหล่า ยูริ ที่กำลังเบ่งบานในโรงเรียนหญิงล้วนเอาไว้จริงๆ…..
“ผมเองก็เป็นผู้ชายก็มีความคิดพรรณนั้นโผล่มาบ้าง แต่เอาตามตรงผมไม่มีเวลามาคิดเรื่องชั่วร้ายพรรณนั้นเลยด้วยซ้ำ”
“หืม?”
“ลองคิดดูสิ อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับสมาชิกครอบครัววัยเดียวกันแถมยังต่างเพศอีกต่างหาก เรื่องมันซับซ้อนเกินสำหรับผมที่ไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน”
“แล้วตัวชั้นเองไม่ได้เป็นผู้หญิงในสายตารุ่นน้องคุงหรอกหรอ?”
“อืม….ก็เพราะเนื้อในของเจ๊น่ะ แมนทั้งแท่ง เลยยังไงล่ะครับ”
“อะเฮื้ออ ฮืออ นี่มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรอยะ !! “
“คุณเป็นเหมือนเพื่อนและรุ่นพี่ที่น่าเชื่อถือครับ”
รวมถึงเป็นยัยคนที่ชอบดึงเรื่องสกปรกมาเล่นบ่อยๆด้วยเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ฟู่วว เอาล่ะเข้าใจแล้ว จากการที่เราคุยกันตอนนี้ ชั้นคิดว่าทักษะของนายในการรับมือกับผู้หญิงน่ะจัดว่า [ห่วยแตก] เลยล่ะจ้ะ”
“ผมขอ No Comment ครับ”
เอาตรงๆเลย คือ ผมไม่รู้ว่าทัศนคติแบบไหนถึงจะเหมาะกับเราในฐานะพี่น้อง?
ผมควรเกรงใจเธอแค่ไหน?
ความกังวลเหล่านี้ เต็มหัวผมไปหมด จนไม่ทันได้มีเวลามาสนุกกับสถานการณ์นี้เลยด้วยซ้ำ
“ทำตัวให้เป็นตัวของนายเองนั่นแหละ รุ่นน้องคุง”
“ไม่ใช่ว่าผมถูกเกลียดเพราะเรื่องนี้หรอกหรอครับ?”
“แล้วนายเกลียดธาตุแท้ของชั้นรึเปล่าล่ะ?”
“ก็ไม่นะครับ”
“เห็นไหมล่ะ?”
“แต่รุ่นพี่โยมิอุริเองก็เป็นคนสวยเหมือนกันนี่ครับ ธาตุแท้ของรุ่นพี่ และ ของผมเองก็คงเอามาเทียบกันไม่ได้หรอก”
“นั่นเป็นการประเมินตัวเองที่น่ากลัวของนายจริงๆนะ แต่เอาจริงๆชั้นเองก็ชอบนายมากอยู่เหมือนกันนะ รุ่นน้องคุง”
“แต่รุ่นพี่เป็นคนพิลึกนี่สิครับ……….”
“นี่! ตอนนี้นายกำลังใช้คำที่มันตรงกันข้ามกันนะ แต่ช่างเถอะชั้นว่ามันก็ดูเป็นศิลปะดี ชั้นชอบนะ”
แล้วรุ่นพี่โยมิอุริก็เดินไปแล้วกลับมาพร้อมหนังสือในมือ
“เอานี่ชั้นแนะนำเล่มนี้ [ศาสตร์แห่งชายและหญิง] เล่มนี้เป็นการวิจัยทางจิตวิทยาที่มีข้อมูลคำแนะนำเกี่ยวกับการเข้ากับคนอื่นได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเพศตรงข้าม นี่น่ะคงจะเอาไว้ใช้อ้างอิงได้ดีเลยใช่ม้า ? ”
“อืม อย่างน้อยก็ฟังดูน่าสนใจดีครับ”
เมื่อพูดอย่างนั้น ผมก็เริ่มพลิกหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ดูเนื้อหา ผมก็รู้แล้วว่าหนังสือเล่มนี้เป็นประโยชน์กับผมมากอย่างแน่นอน
“ถ้าเกิดว่านายอยากจะเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้นก็เริ่มจากการเขียนไดอารี่ก็ดีนะ”
นั่นเป็นวิธีที่ผมสามารถที่จะเอามาเริ่มประยุกต์ใช้กับตัวผมได้ในทันที จากการที่ได้ลองอ่านแล้ว ผมก็รู้สึกสนใจมัน และตอนนี้รุ่นพี่โยมิอุริก็เผยรอยยิ้มอย่างกับซัคคิวบัส
หลังจากสิ้นสุดเวลาทำงาน พอผมเปลี่ยนชุดเครื่องแบบอะไรเสร็จสรรพ ผมก็ได้ซื้อหนังสือจากรุ่นพี่โยมิอุริมา ซึ่งเธอมีกะถึงเที่ยงคืน ไม่เหมือนกับผมที่เป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย ที่ได้รับอนุญาติให้ทำงานถึงได้แต่กะสี่ทุ่มเท่านั้น
ผมได้รับหนังสือเล่มนั้นมาแล้วยัดใส่กระเป๋าแล้วพอผมกำลังจะกลับบ้าน ผมก็หันกลับมาอีกครั้ง
“ถ้ามีผู้ชายแบบก่อนหน้านี้มาเต๊าะรุ่นพี่อีกล่ะก็ ยกหูโทรหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
วินาทีนั้น รุ่นพี่โยมิอุริ ทำท่าทางสับสนๆ แต่อย่างไรก็ตามการแสดงออกของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแล้วเธอก็เผยรอยยิ้มที่ดูมีความสุข
“เห ~ จะไว้ใจได้หรออ ถ้างั้นไว้จะโทรหานายแล้วตามด้วยตำรวจก็แล้วกันนะจ้ะ”
คือถ้าจะโทรเรียกตำรวจตั้งแต่แรก คงไม่ต้องลำบากมาเรียกรุ่นน้องคุงของรุ่นพี่ก็ได้นะครับ…