Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 2: 7 มิถุนายน (วันอาทิตย์) [1]
7 มิถุนายน (วันอาทิตย์)
“ยินดีต้อนรับสู้บ้านของพวกเรานะ! …………เอ่อ ไม่ล่ะ ไม่เอาแบบนั้น งั้นก็ นับแต่วันนี้เราจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้วนะ! ………….อืม นี่ก็ฟังดูน่าขนลุกชะมัด”
มีลังกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนรวมถึงเฟอร์นิเจอร์ตัวใหม่ๆกองอยู่ที่หางตาของผม
ผมส่องดูตัวเองในกระจกและพูดประโยคเดิมๆซ้ำๆกับตัวเอง
ตอนนี้เป็นช่วงเย็นราวๆ 17.00 น. ผมยืนอยู่ในห้องเดี่ยวที่เราเช่าอยู่บนชั้นสามซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยที่มีค่าเบี่ยงเบนมากที่สุดในญี่ปุ่น(ก็เกินจริงเล็กน้อย)
ในช่วง 5 นาทีที่ผ่านมาผมได้ฝึกฝนการแสดงออกและคำพูดที่เอาไว้ใช้ทักทายครอบครัวใหม่ แล้วคุณรู้ไหม? ว่านี่มันไร้สาระสิ้นดีเลย ผมเข้าใจว่าตาแก่ต้องไปทำความสะอาดเตรียมห้องที่เขาและอากิโกะซังจะอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม ไหงถึงได้ส่งผมที่เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นมาจัดแจงห้องสำหรับคนแปลกหน้าที่จะมาเป็นน้องสาวของผมนับตั้งแต่วันนี้ด้วยนะ
นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผมไม่สามารถทำตามได้อย่างแน่นอน
“แปลกจังนะ มันไปไหนกันนะ?”
ตาแก่เดินวกไปวนมาที่โถงทางเดินด้วยความตื่นตระหนก
“อ่า มาได้จังหวะพอดีเลย เห็นน้ำยาขจัดกลิ่นรึเปล่า?”
“คงอยู่แถวห้องนั่งเล่นล่ะ พอดีพึ่งใช้กับผ้าม่านไปเมื่อวานนี้”
“งั้นหรอ ขอบใจๆ”
และผมก็ได้ยินเสียงรองเท้าแตะเดินลากไปมาตามโถงทางเดิน แล้วก็มาห้องนั่งเล่น
“ทำไมดูตื่นตระหนกอย่างนั้นล่ะ?”
“พ่อไปเช็คห้องดูอีกรอบน่ะ พอพ่อเริ่มทำความสะอาด กลื่นมันก็ตีเข้าจมูกพ่อเต็มๆเลย พ่อไม่อยากให้พวกเธอคิดว่าพ่อตัวเหม็นนะ รู้ไหม?”
“นี่คิดว่าตัวเองเป็นเด็ก ม.ปลายรึยังไง?”
“พอลูกอายุเท่าพ่อ แกจะเข้าใจเองหน่า มันสำคัญนะ”
ขอบคุณคำพูดของเขาจริงๆที่ทำให้ผมเริ่มกังวลเล็กน้อยเหมือนกันแล้วตอนนี้
ผมให้สัญญากับอายาเสะซังไปว่า เราจะไม่คาดหวังอะไรต่อกัน แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอต้องมาทนทุกข์กับห้องของเด็กมัธยมเลยทันทีที่ได้พูดแบบนั้นออกไปหรอกนะ!
อย่างที่ว่าไป ผมดูแลพวกผ้าปูที่นอน และ ดมกลิ่นเช็คเป็นประจำ ตราบใดที่จมูกผมมันไม่ได้เล่นตลกกับผมล่ะก็ ทุกอย่างก็น่าจะไปได้สวย
ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกพึงพอใจในผลงานประจำวันของผมเอง ผมก็ได้ถูกดึงออกมาจากความคิดนั้นเมื่อเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
นี่พวกเขามากันแล้วหรอ…
“ยูตะไปให้พ่อหน่อยสิ”
“คร้าบ คร้าบ….“
เนื่องจากตาแก่หมกมุ่นอยู่กับการขจัดกลิ่นเหม็น ผมจึงเดินไปที่ประตูทางเข้าแทน
“ขอโทษที่ให้รอ…..”
“พวกเรามาแล้วจ้า”
ผมพยายามทำตัวเป็นมิตรให้มากที่สุด ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ผมได้เปิดประตูหน้าบ้านและตัวผมได้หยุดชะงักไป
อากิโกะซังทักทายผมด้วยมือทั้งสองข้างของเธอที่เธอถือกระเป๋าและข้าวของหลายอย่าง และ ในบรรดาข้าวของนั้นผมก็เห็น ของใช้ที่เอาไว้มาทำอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ที่แทบจะล้นกระเป๋าออกมา มันทำให้ผมรู้สึกตกใจมากๆ
“เอ่อ…อากิโกะซังนี่มันอะไรหรอครับ?”
“วันนี้เราจะขอฝากตัวด้วย ฉะนั้นชั้นจึงซื้อข้าวของทุกอย่างมาให้น่ะ”
“ตะ-แต่นี่มันไม่มากไปหน่อยหรอครับ? ไม่เห็นจำเป็นต้อง-”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกนะ”
ผมได้ยินเสียงที่ฟังดูแล้วออกแนวรำคาญเล็กน้อย อยู่ทางด้านหลังของ อากิโกะซัง นั่นก็คือ ซากิ อายาเสะซัง แถมมือของเธอก็เต็มไปด้วยถุงพลาสติกเช่นกัน
“คุณแม่น่ะเป็นพวกปฏิเสธคนไม่เป็นน่ะ ดังนั้นเธอเลยกวาดซื้อทุกอย่างที่พนักงานแนะนำมา”
“ถ้างั้นก็อย่ามัวยืนอยู่เลยครับ มาๆเดี๋ยวผมช่วยยกครับ”
“แหม่ๆขอบใจนะจ้ะ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าเชื่อถือจริงๆ”
“ฮะๆ”
ผมยิ้มแบบคลุมเครือๆให้กับคำขอบคุณของเธอแล้วหันหลังกลับไป
ผมยื่นรองเท้าแตะสำหรับใส่ในบ้านที่พึ่งซื้อมาให้กับอากิโกะซัง และ อายาเสะซัง และเชิญพวกเธอเข้ามา แล้วพอถึงห้องนั่งเล่นอากิโกะซังก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างประหลาดใจ
“อื้ม กลิ่นซิตรัสงั้นหรอ หอมดีจังเลย”
“เห…ทำความสะอาดดีจริงๆเลยนะ”
อายาเสะซังมองที่พื้นและเฟอร์นิเจอร์แล้วถอนหายใจอย่างทราบซึ้ง
“เราพึ่งลุกลี้ลุกลนทำความสะอาดกันน่ะครับ ปกติเราไม่-“
“เป็นอย่างที่ไทชิซังบอกจริงๆด้วย ว่าเธอรักการทำความสะอาดสินะจ้ะ”
“อึก – เขาว่ากันว่า ถ้าพื้นที่ที่เราอยู่อาศัยสะอาดแล้ว สุขภาพจิตมันจะดีขึ้นน่ะครับ….”
ผมกลืนคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้ ที่กำลังจะโพล่งออกไป
อันตรายชิบ ไอ้ตาแก่งี่เง่านี่ทำตัวเป็นนักบุญเพื่อที่จะจีบอากิโกะซังได้ง่ายๆ
แต่เมื่อรู้ว่าก่อนหน้านี้พ่อ เขาได้ผ่านอะไรมากับผู้หญิงและรู้ว่าสิ่งนี้อาจจะนำไปสู่หายนะได้ผมจึงตัดสินใจทำตัวเงียบๆเพื่อความสุขของพ่อ ว่าแท้จริงแล้วเขาโกหกเธออยู่
ในเวลาเดียวกันอายาเสะซังก็จ้องมองมาที่ผมอย่างสงสัย
“นี่นายทำความสะอาดเป็นประจำแน่รึเปล่า?”
“แหงสิ ฝุ่นทุกอนูสมควรถูกกำจัดทิ้ง นั่นคือ คติประจำตระกูลของเรา”
“เป็นคติประจำครอบครัวที่ฟังดูกวนใจจริงนะ”
ผมไม่ได้โกหกเธอ เพราะผมเพิ่งเปลี่ยนคติคำขวัญของคุณยายของผมเองไปสองสามคำเท่านั้นเอง ซึ่งคุณยายแกอาศัยอยู่ในชนบท แล้วคอยพูดอะไรทำนองนี้อยู่เสมอ ผมยังจำรอยยิ้มตอนที่คุณยายคอยบอกผมได้อยู่เลย
“ให้เดาว่าคือ ไทชิซังสินะคะ”
อากิโกะซังหัวเราะคิกคัก
“เขาดูมีสไตล์และดูเป็นคนน่าสนใจอยู่เสมอเลยล่ะค่ะ”
“มะ-มีสไตล์? ตาแก่ของผมเนี่ยนะครับ?”
“ใช่แล้วจ้ะ ทีแรกที่เขามาที่ร้านก็ดูเรียบๆไม่มีอะไร แต่พอรอบสอง ก็ใส่สูทผูกไทต์ พรมน้ำหอมมาอย่างดี ดูเหมือนนักธุรกิจชั้นหนึ่งเลยล่ะจ้ะ”
“อา……..”
นั่นมันทำให้ผมนึกถึงครั้งหนึ่งที่ตาแก่นั่นทุ่มเงินจำนวนมากไปกับเสื้อผ้ากับน้ำหอม
เพียงเพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้หญิงที่เขาสนใจนี่เอง
“อะ-อ้าว! อากิโกะซัง!”
พูดถึงก็มาเลยนะตาแก่
เขาพึ่งออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทางตกใจ พร้อมกับถือ พวกน้ำยาทำความสะอาดไว้ในมือ
“คะ-คุณคะ”
ทิ้งไอ้ที่อยู่ในมือตอนนี้ ไปบัดเดี๋ยวนี้เลยนะเฮ้ย!
ผมอุตสาห์พยายามเต็มที่เพื่อที่จะไหลตามน้ำไปอย่างเหมาะสม
แต่ไหงพ่อกลับมาทำลายมันเอง ซะอย่างนั้นอ่ะ!
ผมพยายามส่งซิกผ่านสายตา แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ผลเลย
เพราะตาแก่ของผม แค่เผยรอยยิ้มที่เหมือนกับว่าฝึกมาหน้ากระจกและพูดประโยคต่อไปนี้
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านของพวกเรา! ระ-เราจะได้อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้วนับจากนี้เป็นต้นไป!”
เห่ยมาก แย่สุดๆ ไม่มีอะไรในชีวิตผมที่รู้สึกว่ามันโครตจะดู “ปลอม” ไปมากกว่านี้อีกแล้ว
การเลือกคำพูดของเขามันแย่มาก เจ็บปวดจริงๆที่ต้องทนดูเนี่ย………..
“ชั้นมีความสุขมากเลยค่ะ! นี่ค่ะ ของขวัญเล็กๆน้อยๆ”
“โอ้ว นี่มันแฮมดิบไม่ใช่รึยังไงกัน? วิเศษมาก งั้นเรามาปาร์ตี้แฮมกันเถอะ!”
ผมก็เดาว่าพวกเขาก็ดูเข้ากันได้ดีนะ….
อากิโกะซังดูเหมือนจะไม่ได้ติดอะไรกับของทำความสะอาดที่อยู่ในมือของเขา
ส่วนพ่อเองก็ตอบรับทุกๆอย่าง ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“นี่ อาซามูระคุง”
“หืม?”
“ชั้นอยากเห็นห้องของชั้นน่ะ ช่วยพาไปดูหน่อยได้ไหม?”
“อื้ม ได้สิ”
อายาเสะซัง ทิ้งกระเป๋าและถุงต่างๆไว้ที่ห้องนั่งเล่นแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องใหม่ของเธอ
“นี่ล่ะ”
“หืม ที่นี่งั้นหรอ….”
“ผมเตรียมพวกผ้าม่านและเตียงนอนไว้ให้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเธอชอบผ้าปูสีอะไร ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนล่ะก็บอกได้นะ ไม่ต้องลังเล ส่วนโต๊ะก็ไว้ตรงแถวริมหน้าต่าง ถ้าอยากย้ายก็บอกได้นะ”
“ขอบคุณนะ นายเตรียมทุกอย่างไว้แล้วจริงๆ โห…..”
เธอเดินผ่านตัวผมไปอย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปยังกลางห้อง
น้ำเสียงของฟังดูเหมือนเฉยเมย แต่ดวงตาของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับแมวที่เดินเตร่ยามค่ำคืน
ต่อหน้าของผม มีเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งยืนอยู่
ทั้งผมเผ้า และ เสื้อผ้าของเธอมันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะชื่นชมถึงความงดงามของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นแชมพู , น้ำหอม, ฟีโรโมน หรือแม้แต่จินตนาการของไอ้หนุ่มซิงอย่างผม
มันก็ทำให้ห้องๆนี้มีกลิ่นที่หอมหวานตลบอบอวลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ใหญ่จังนะ”
เธอหันกลับมา
“หรอ ผมว่ามันก็ปกตินะ”
“ก่อนหน้านี้พวกเราอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นต์ซอมซ่อ ขนาดแค่หกเสื่อทาทามิ ชั้นน่ะไม่มีห้องของตัวเองเลยด้วยซ้ำ…….”
“ถ้างั้นตอนนอนก็นอนฝูกอยู่ในห้องเดียวกันแบบนั้นเลยหรอ?”
ถึงว่าทำไมเฟอร์นิเจอร์ของพวกเธอมันถึงดูใหม่ๆจัง
“ไม่หรอก ตอนนอนมันก็กลายเป็นห้องของชั้นไปเอง มองย้อนกลับไป คุณแม่ของชั้นน่ะยุ่งกับงานตอนกลางคืนมากๆ ฉะนั้นจังหวะของการใช้ชีวิตของพวกเรามันจึงตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง”
“แต่ก็เดาว่านั่นก็อาจจะง่ายกว่าที่จู่ๆต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายสองคนล่ะนะ….อ๊ะ….ผมขอโทษนะ……”
“ไม่เป็นไรๆ แต่ว่ามีอยู่อย่างนึง…..”
“อะไรหรอ?”
“นั่นน่ะ”
“เอ๋?”
“ทำไม นายถึงได้พูดสุภาพจัง? แต่ถ้าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลหรือทางศาสนาล่ะก็ไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
อ่า ผมไม่ได้เป็นพวกบูชาลัทธิต้องสงสัยอะไรนั่นหรอกนะ แค่ยอมรับกฏของสังคมเท่านั้นเอง
กับการที่ใช้คำพูดสุภาพๆกับคนอื่นที่ไม่ค่อยได้พบปะกัน
เพราะสิ่งนี้ที่มันฝังอยู่ในจิตใจของผมตั้งแต่ผมเกิดโดยที่ผมไม่รู้ตัว
“แม้ว่าเธอจะถามเหตุผลจากผมก็เถอะ…..”
“เราอายุเท่ากัน แล้วทำไมถึงไม่ทำตัวให้สบายๆกว่านี้ล่ะ? ชั้นไม่อยากให้นายมาเกรงใจอะไรชั้นเลยนะ”
“ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะว่าเราอายุเท่ากัน”
“หา? แล้วมันไม่แปลกไปหน่อยรึยังไง ตอนที่สุภาพสุดๆกับพวกเพื่อนๆหรือเพื่อนร่วมชั้นน่ะ?”
“ตรรกะแบบนั้นน่ะ ใช่ไม่ได้กับผมหรอก”
ต้องจำไว้อย่างนึง ว่าตลอดชีวิต 17 ปีของผม ผมนั้นแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงเลย
โดยเฉพาะผู้หญิง ไทป์ฉูดฉาดอย่างอายาเสะซัง
ถึงเธอพูดออกมาฟังดูเรียบง่าย แต่สำหรับคนอย่างผมมันไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะอุปสรรค์นี้
“เป็นงั้นหรอกหรอ? ชั้นไม่ได้จะบอกว่านายควรจะต้องทำอะไร อาซามูระคุง ชั้นแค่ไม่อยากให้นายมาเกรงใจชั้นมากเกินไปแค่นั้นเอง”
“ผมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้จริงๆ…….อ๊ะ.”
ผมนึกบางอย่างออก
เราสัญญากันไว้ว่าจะไม่มีความคาดหวังใดๆต่ออีกฝ่าย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันแรกที่ผมได้พบกับอายาเสะซัง ผมได้คิดถึงความหมายนั้นและถามเธอออกไป
“เธออยากให้ผมหยุดพูดอย่างสุภาพเกินไปใช่ไหม?”
“เอาตรงๆ ชั้นแค่ขอให้ผ่อนคลายลงอีกสักหน่อย เพราะตัวชั้นเองก็ไม่ใช่คนที่สมควรได้รับการเคารพอะไรขนาดนั้นเหมือนกัน”
“ก็ได้ งั้นผมจะหยุด”
ผมยักไหล่แล้วบอกเธอไป
อายาเสะซังตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“วะ-ไวไปไหน !!”
“ก็นะ ถ้าต้องปฏิบัติกับเธอเหมือนกับเพื่อนที่คบกันมายาวนานหลายปีแล้วล่ะก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อเธอขออย่างนั้นมา ก็คงไม่ต้องพูดถึงว่าทางนี้เองก็จะสบายใจด้วยเช่นกัน”
“งั้นหรอ ก็กะไว้เเล้วล่ะนะ”
ปกติน้ำเสียงและการแสดงออกของเธอจะค่อนข้างเย็นชา
แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนได้เห็นจุดที่นุ่มนวลและอ่อนโยนของเธอ
อันดับแรกเลย คือ อายาเสะซังเธอคิดว่าผมเป็นพวกสมาชิกลัทธิศาสนาอะไรสักอย่างที่ใช้ภาษาสุภาพกันและเธอก็ขอให้ผมเลิกใช้การพูดแบบนี้ซะเพราะเธอไม่ต้องการให้พูดกับเธอแบบนั้น
“อันที่จริงเรามันมายืนคุยกันอยู่ตรงนี้ก็เสียเวลาไปเปล่าๆ ให้ผมช่วยเรื่องจัดการสัมภาระไหมล่ะ?”
“นี่นายเป็นคนแบบไหนกันล่ะเนี่ย?”
“ก็นะ ก็ต้องทำให้ติดหนี้ไว้แต่เนิ่นๆ แล้วค่อยมาใช้หนี้คืนในระยะยาวแทน นี่ล่ะคือ Win-Win สำหรับผมล่ะ”
“อย่ามาล้อกันเล่นแบบนั้นนะ….”
“ผมยกย่องเธอต่างหากล่ะ แล้วมีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าล่ะอายาเสะซัง?”
อายาเสะซังมองไปรอบๆห้องเพื่อหาอะไรบางอย่าง
“อืม….อย่างแรกชั้นอยากจะเอาของบางอย่างออกไปน่ะ นายมีคัตเตอร์ไหม?”
“แน่นอน”
ผมเดินกลับไปเอาคัตเตอร์ที่ห้องของตัวเองอย่างรวดเร็วและเดินกลับไปยังกล่องลังกระดาษที่เธอชี้นิ้วไป
“อื้ม เอามาให้ชั้นเดี๋ยวชั้นทำเอง”
“ไม่เป็นไร ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะช่วยน่ะ”
“ไม่ ! เดี๋ยวก่อนนั่นไม่ใช่ปัญหานะ ในนั้นมัน-“
ผมได้ยินเสียงอายาเสะซังจากด้านหลัง แต่มือของผมก็กรีดเทปเปิดลังเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นลังกระดาษแข็งก็เปิดออกเผยให้เห็นผ้าสีขาว
และในวินาทีนั้นเอง ผมก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ฟังคำพูดของเธอให้จบก่อน……..
“อึก….ผมหวังว่าเธอควรจะบอกผมให้เร็วกว่านี้นะ”
ผมหันหลังให้กับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่และทิ้งระยะห่างออกมา
แน่นอนว่าอายาเสะซังหัวเราะออกมาทันทีที่ได้เห็นปฏิกิริยาของไอ้หนุ่มซิงอย่างงี้
“นี่ มันรู้สึกเจ็บจี๊ดๆนะยะ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเหมือนพวกมันเป็นของต้องคำสาปเลยนี่”
“นี่มันคือ ภัยทางสายตาอย่างที่คนเขาว่ากันไว้สินะ! สำหรับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน นี่น่ะมันเป็นภัยในหลายๆแง่เลยแหละ”
“มันก็จะเฉพาะก็ต่อเมื่อชั้นพึ่งใส่มันเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วเท่านั้นแหละหน่า หลังจากเอาไปซักแล้ว โดยพื้นฐานแล้วมันก็เหมือนกับผ้าเช็ดหน้าไม่ใช่รึยังไงกัน?”
“ได้โปรดเลิก ชูมันขึ้นมาแบบนี้ทีเถอะ ขอร้องล่ะ!”
แม้ว่าผมจะรู้อยู่แก่ใจว่า ไอ้สิ่งที่เธอถือและโบกไปมาอยู่ในมือเป็นแค่ผ้าสีขาวธรรมดาๆ
แต่มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกแปลกอยู่ดี
ผมคิดว่าเมื่อพูดถึงค่าความสัมพันธ์ของมนุษย์แล้ว พวกเรานั้นจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ผมเดาว่ามันคงต้องมีอะไรสักอย่างที่เราแตกต่างกันอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวชั้นจัดการเรื่องชุดชั้นในของชั้นเอง ฝากนายช่วยเอาชุดของชั้นไปแขวนตรงนั้นทีได้ไหม?”
“ผมรู้สึกว่า เครื่องแบบมันมีแรงกระตุ้นอยู่มากโขเลย…..”
“อย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลยหน่า งั้นก็ไม่มีอะไรให้นายช่วยแล้วล่ะ ทำๆไปเถอะ”
“อ่า ใช่แล้ว ใจเย็นๆสงบสติอารมณ์เข้าไว้”
ผมพูดกับตัวเองซ้ำแล้วคว้าเครื่องแบบของเธอ
เสื้อเชิ้ต กระโปรงคาร์ดิแกน ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันให้ความรู้สึกนุ่มนวล ในระดับที่ทำให้ตัวผมรู้สึกมีสติสตังมากขึ้น
“ฮะ?”
มือของผมหยุดชะงักไป
ชุดนักเรียนพร้อมกับเน็คไทต์ที่มีสีเขียวใบไม้ ปรากฏอยู่ในระยะสายตาของผม
ผมรู้สึกเหมือนถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกเดจาวู………….
“นี่ อายาเสะซังน่ะ……..ก็อยู่ซุยเซย์งั้นหรอ?”
“อื้อ ใช่แล้ว ตกใจหรอ? ที่เห็นผู้หญิงเปรี้ยวๆอย่างชั้นเข้าโรงเรียนมัธยมแบบนั้นได้น่ะ”
“ไม่ๆ คือไม่ใช่เรื่องนั้น….ผมเองก็เป็นนักเรียนซุยเซย์เหมือนกัน…”
โรงเรียน ม.ปลาย ซุยเซย์ หนึ่งในโรงเรียนที่มีสาขาแตกย่อยออกไปหลายแห่งในย่านชิบูย่า
เป็นโรงเรียนที่มีอัตราการก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยสูงที่สุด ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนที่มีเกียรติ และ เคร่งครัดในการเรียน ตราบใดที่คุณรักษาเกรดของคุณไว้สูงๆอันดับต้นๆ คุณก็จะได้รับอนุญาติให้ทำงานพาร์ทไทม์ได้และด้วยความยืดหยุ่นนี้เองผมถึงได้เลือกเรียนที่นี่
พอลองมาคิดๆดูแล้วว่าการที่ได้มีน้องสาว หลังจากที่พ่อแต่งงานใหม่แต่กลับกลายเป็นว่าน้องสาวเป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกันอีก
นี่โชคชะตามันจะดลบันดาลให้ประจวบเหมาะอะไรขนาดนี้ล่ะเนี่ย?
ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่หล่อนไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันจะน่าอึดอัดสักแค่ไหนกันนะ?
ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าอายาเสะซังจะมีปฏิกิริยายังไง?
แต่ดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็คิดบางอย่างอยู่เหมือนกัน
“อาซามูระคุงเองก็อยู่ซุยเซย์เหมือนกันงั้นหรอ…หืม”
“รู้สึกแย่ชะมัดที่ตาแก่นั่น ไม่ได้มองถึงตรงนี้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกนะ คุณแม่ของชั้นเองก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก”
“คงจะอึดอัดใช่ไหม? ผมจะพยายามทำเป็นว่าเราไม่รู้จักกันที่โรงเรียนเองนะ”
“หา? ไม่ๆชั้นไม่เป็นอะไรหรอกกับเรื่องแค่นี้น่ะ ชั้นหมายถึง ถ้านายสบายใจกับแบบนั้นมากกว่าล่ะก็ ชั้นก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
“แล้วเธอ-“
คำพูดของผมถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรเข้าของมือถือในกระเป๋า
ใครกันนะโทรมาในเวลาแบบนี้?
แต่ว่าในหน้าจอมันก็ขึ้นโชว์คำว่า “งาน” อยู่
“รับสิ ไม่ได้อยากรั้งนายไว้หรอกนะ หรือจะรับตรงนี้ก็ได้ชั้นไม่ว่าอะไรหรอก”
“เรานี่เข้าขากันได้ซะจริงๆเลยนะ”
ผมพูดชื่นชมคำพูดของเธอจากก้นบึ้งของหัวใจและย่างก้าวออกจากห้องไปรับสาย
ช่วงเวลาแบบนี้ ผมคิดได้ว่าคงเกี่ยวกับเรื่องกะการทำงานที่มีช่องโหว่อยู่แน่ๆ และ พวกเขาก็ต้องการให้ผมรีบเข้าไปช่วย แต่ความเป็นจริงนั้นคือตัวผมมันเป็น บุรุษ Yes-man ที่เอาแต่ตอบตกลงเป็นปกติอยู่แล้ว
เมื่อตัดสายเสร็จผมก็กลับเข้าไปในห้อง แล้วอายาเสะซังที่กำลังตั้งใจเก็บข้าวของของเธอก็ค่อยๆหันหน้ามาหาผม
“แล้วพวกเขาว่าไงบ้างล่ะ?”
เธอถามอย่างไม่แยแสใดๆ
“พวกเขาอยากให้ผมเข้าไปช่วยงานน่ะ ขอโทษทีนะที่อยู่ช่วยไม่ได้”
“ไม่เป็นไรๆนี่มันเป็นงานของชั้นเองตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะ”
เนื่องจากนี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน อายาเสะซังก็ไม่ได้แสดงท่าทีรบกวนอะไร
ถึงแม้ว่าตัวเธอจะเป็นผู้หญิงที่อายุรุ่นเดียวกันที่มีหน้าตาสวยและดูเป็นสาวแกล
คนประเภทที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาในการเข้าไปสนทนาด้วยก็ตาม
แต่เหตุผลที่ผมสามารถพูดคุยได้อย่างสงบๆกับเธอ อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่บรรยากาศสงบๆและทัศนคติที่ซับซ้อนที่ทำให้เธอดูไม่เหมือนเด็กผู้หญิงที่อายุเท่าๆกับผม แต่เหมือนกับว่าเธอเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
“งั้นผมไปนะ”
“อื้ม ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
เธอหันกลับไปทำงานของเธอต่อพร้อมบอกลากันด้วยคำทักทายแห้งๆ
อย่างไรก็ตามผมก็ออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกโล่งอกโดยที่ไม่มีความรู้สึกที่ซับซ้อนใดๆ