Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 16: 12 มิถุนายน (วันศุกร์) [1]
12 มิถุนายน (วันศุกร์)
เช้ารุ่งอรุณ อายาเสะซังหลบหน้าผม
ผมคิดว่ากำลังหลบหน้าอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม
ก่อนที่ผมจะไปถึงโต๊ะอาหาร อายาเสะซังก็เดินออกไปแล้ว
โดยไม่พูดกับผมสักคำ
ไม่เข้าใจเลย เมื่อคืนสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก็คือรอยยิ้มของเธอ ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าเราได้ใกล้ชิดกันกว่าเมื่อก่อน
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ถ้างั้นตอนฝนตกพรำๆ เราน่าจะได้ไปโรงเรียนด้วยกัน ซึ่งเป็นโอกาสที่ผมจะได้ถามเหตุผลเธอ แต่สภาพอากาศกลับทรยศหักหลังผม
เพราะข้างนอกนั่นกลับท้องฟ้าโปร่งใส
ระหว่างที่ปั่นจักรยานผมแหงนมองท้องฟ้าในวันที่ 12 มิถุนายน
เป็นท้องฟ้าสีครามที่น่าเป็นห่วง
แน่นอน สภาพอากาศดีตอนหน้าฝนใครจะเชื่อลงล่ะ
ขณะปั่นจักรยาน ผมเบี่ยงเบนความสนใจกับที่มาของ ‘สภาพอากาศดีตอนหน้าฝน’ ถ้าไม่ทำล่ะก็ในหัวคงเต็มไปด้วยอายาเสะซังแน่ๆ
ระหว่างไปโรงเรียนผมไม่ได้ปั่นจักรยานช้าลง เห็นหยาดน้ำฝนติดบนต้นไม้ที่ขี่ผ่าน ในจังหวะนั้นเองน้ำค้างที่เกาะตามกิ่งไม้ตกลงบนใบหน้าของผม
ความรู้สึกหนาวเย็นทำให้ใบหน้าเหี่ยวเฉาค่อยๆ ตื่นตัวอย่างช้าๆ
บางทีเธอยังโกรธเพราะเหตุบังเอิญเห็นชุดชั้นในเมื่อวาน
คิดอยู่สักพักก็ไม่น่าใช่ ผมคิดว่าถ้าอายาเสะซังยังโกรธอยู่ เธอจะมีนิสัยที่จะบอกมาตรงๆ
พอคิดแต่เรื่องนั้นผมก็มาถึงโรงเรียนแล้ว
ผมแหงนมองฟ้าอีกรอบแต่ไม่เห็นก้อนเมฆสักก้อนเดียว
ถ้าจำไม่ผิด เราจะได้เจอกันคาบพละตอนคาบสอง….แน่นอนว่าเป็นการฝึกซ้อมเทศกาลกีฬาบอลอีกแล้ว
เมื่อก่อนผมจะเจอกันที่สนามเทนนิสที่เดิม หมายความว่าจะได้วิ่งผ่านอายาเสะซังอีกรอบ
คาบแรกผมเรียนภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้ว่าผมตั้งใจเรียนไม่ได้เลยและจำไม่ได้ว่าคาบนั้นสอนอะไร จนสุดท้ายคาบสองก็มาถึง เมื่อทุกคนรวมตัวกันผมจึงให้ความสนใจไปที่พวกผู้หญิง
“สลาาาาาตัน!”
เป็นทุกครั้งที่นาราซากะซังยังท็อปฟอร์มเช่นเคย
ลูกเทนนิสถลาไปยังสนามข้างๆ
“มายะะะะ!”
“โอ้ โฮมรัน!”
“ยัยบ้า!”
จำไม่เห็นได้ว่าโฮมรันมีในเทนนิสเลยนะ
แต่ช่างมันก่อน ไม่เจออายาเสะซังในกลุ่มผู้หญิงเลยแฮะ
ทว่าอายาเสะซังกลับใส่หูฟังยืนพิงรั้วเหล็กตรงขอบสนาม ต่างเพียงอย่างเดียวจากรอบที่แล้วคือเธอไม่ได้มองอย่างเคว้งคว้างกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง
เธอก้มหน้าก้มตาและหลับตา
เอาล่ะ ตอนนี้ผมยิ่งอยากรู้มากเข้าไปอีก ผมคิดจะเรียกอายาเสะซังหลักเลิกเรียนแต่นาราซากะซังต้องการอะไรจากผมก่อน
“นี่ โอนี่จัง”
ไหงเธอเรียกแบบนี้ที่โรงเรียนล่ะเนี่ย
รู้สึกอยากเถียงกลับชะมัด
“เกิดอะไรขึ้นกับซากิงั้นเหรอ?”
วินาทีนั้นผมพูดไม่ออก ในมุมมองของนาราซากะซังคงคิดว่าอายาเสะซังแปลกไปจากเดิม
“ไม่ ผมไม่รู้เลย”
“อย่างงั้นเหรอ”
ระหว่างที่นาราซากะซังโบกมือไปทางตึกเรียน เหล่าผู้หญิงที่รอเธอต่างจ้องมองมาที่ผม มันไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ โอเค๊?
“เห้ย อาซามูระ”
“หืม? ว่าไงมารุ”
พอหันไปรอบๆ เจ้าเพื่อนยากมารุยืนมองผม
“ทำไมดูไม่มีชีวิตชีวาอย่างงั้นล่ะ?”
“ฉันแค่เหนื่อยจากซ้อม”
“ไม่เห็นนายดูหายใจหอบเลยแถมชุดไม่มีรอยเปื้อนด้วย”
“มองเก่งจังนะ”
อ้อใช่ ดูเหมือนเจ้ามารุจะได้ซ้อมซอฟบอลแล้ววันนี้ ผมเห็นเศษดินกับเหงื่อซกเต็มตัว
“มองฉันเพื่ออะไรเนี่ย? จู่ๆก็คิดว่าตัวฉันรึไง?”
“ก็แค่คิดว่าถ้าเอาไปซักคงเจ็บปวดแหงๆ”
“หืม งั้นอาซามูระถ้าเอ็งจ่ายให้ฉันหมื่นนึง เดิ๋ยวไม่ลังเลคิดเรื่องนั้นเลย”
จ่าย…ห๊ะ เดิ๋ยว
“กำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย!”
“ฉันจะให้เอ็งจ้างฉันทำงานให้ไง ตั้งแต่ซ่อมรอยรั่วบนเพดานไปจนถึงทำบ้านลูกหมาน่ะ ฉันคิดว่าค่าจ้างมันย่อมเยาว์อยู่นะ”
“….อ๋อ หมายถึงเรื่องนั้นน่ะเหรอ”
“อาซามูระเอ็งคิดไรอยู่เนี่ย”
พูดตอนนี้ได้จริงๆ เหรอฟะ
“ฉันไม่อยากบอกนายนะ แต่อพาร์ตเมนต์ที่เราอยู่บนชั้นสามมันไม่มีรอบรั่วให้ซ่อมหรอก แถมฉันไม่มีแพลนจะเลี้ยงน้องหมาด้วย”
“งั้นเรอะ น่าเสียดายจัง ฉันคิดว่าจะได้เงินสดล่วงหน้าซะอีก”
“นี่ก็ไม่ต่างจากที่นายพูดก่อนหน้านี้รึไง?”
นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่รึว่ารู้วิธีการทำงานของสังคมและสถานการณ์ของตลาดอย่างไรเพื่อหารายได้น่ะ
“ใจเย็นๆ อาซามูระ ที่ฉันพูดว่าเงินสดล่วงหน้าก็เพราะใกล้ถึงวันเกิดแล้ว”
“วันเกิดใคร?”
อ๊ะ จู่ๆ หมอนั่นก็เงียบไป
“คือนายกำลังเก็บตังจะซื้อของขวัญวันเกิดให้ใครสักคนใช่ไหม?”
“ถ้าไม่รีบเดิ๋ยวไปเรียนคาบหน้าไม่ทันนะ”
พูดจบมารุก็หันหลังให้ผมและเดินไปข้างหน้า
แต่ก็นะ เจ้ามารุอาจมีคนอยากเปย์ให้ล่ะมั้ง
สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับอายาเสะซังที่โรงเรียน แน่นอนว่าผมพยายามติดต่อทาง Line แล้ว แต่….
【ดูไม่ค่อยสบายนะ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?】
【ไม่มีอะไรหรอก】
ไม่ได้ส่งสติกเกอร์เพิ่มด้วย (ดูเหมือนอายาเสะซังไม่ใช่คนส่งสติกเกอร์ตั้งแต่แรก) และผมสัมผัสได้ถึงความห่างเหินจากคำตอบสั้นๆ นั่น
หลังหมดคาบสุดท้ายผมก็ไปทำงานพาร์ทไทม์ต่อ
ถูกรุ่นพี่โยมิอุริแกล้งอีกเช่นเคย แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นและเดินทางกลับบ้านเหมือนเดิม
ผมเปิดประตูหน้าบ้าน กลิ่นหอมของซุปมิโซะที่ลอยมาจากห้องครัวเตะจมูกของผมแสดงว่าอายาเสะซังถึงบ้านแล้ว
“กลับมาแล้วคร้าบ”
ผมเปล่งเสียงและเดินไปตามทางเดิน
“ยินดีต้อนรับกลับ…อาหารเย็นเสร็จแล้วนะ”
ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากน้ำเสียงเธอ…อาจจะไม่นะ หรือผมคิดมากเอง
“วันนี้ซาชิมิเหรอ?”
ผมมองไปที่โต๊ะอาหารและสะดุดตากับจานสีน้ำเงินที่มีเครื่องเคียงอยู่ข้างในเช่นเดียวกับเนื้อปลาสีแดง ซึ่งเดาว่าเป็นปลาทูน่า
“อื้ม แล่อย่างดีเลย”
“ดูน่ากินจัง”
ในคืนนี้ดูเหมือนเราจะได้ทานอาหารเย็นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม มีซุปมิโซะที่มีมันฝรั่งหั่นครึ่งเสี้ยวพระจันทร์พร้อมสาหร่ายอยู่ข้างใน ซุปมิโซะจะทำให้ร่างกายผมอุ่นขึ้นซึ่งเหมาะกับหน้าฝนมากๆ ส่วนถ้วยใบเล็กนั้นมีแตงกวากับหัวไชเท้าดอง
ขณะที่อายาเสะซังวางอาหารบนโต๊ะผมจึงเช็ดส่วนที่เหลือพร้อมกับเตรียมชาร้อนๆ
“ทานแล้วนะคร้าบ/ค่ะ!”
ผมเริ่มด้วยซุปมิโซะ
ใช้ตะเกียบค่อยๆ คนซุปและยกซดเข้าปาก ระหว่างที่ได้กลิ่นมิโซะมาถึงปลายจมูกนั้นผมก็ได้ลิ้มรสชาติของมัน
“อื้ม อายาเสะซัง ซุปมิโซะอร่อยจริงๆนะ”
“….อย่างงั้นเหรอ?”
“จะว่าไงดีล่ะ ผมได้รสชาติน้ำซุปเหมือนมิโซะเลย”
“แน่นอนก็เพราะเป็นซุปมิโซะไง”
อายาเสะซังกล่าวด้วยเสียงกังวลเล็กน้อย
“ไม่แน่นะ”
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยทำอาหารกินเองมาก่อนนะ แต่ผมไม่เคยทำซุปมิโซะอร่อยขนาดนี้มาก่อน
ด้วยเหตุผลบางประการ ตอนที่ผมทำเองมันกลับกลายเป็นซุปมิโซะธรรมดา
ผมรู้สาเหตุหลังจากที่ผมเลิกทำอาหารมานานแล้ว มันบังเอิญอยู่ในหนังสือที่ผมอ่านไว้ การที่ผสมมิโซะและนำไปต้ม ถ้าทำเช่นนั้นกลิ่นหอมจะจางหายไป
กลิ่นหอมของมิโซะมาจากการหมักด้วยแอลกฮอล์ แน่นอนว่ามันต้องเดือดปุดๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์
ถ้ารู้มาก่อนนะ ผมอาจสนใจการทำอาหารเหมือนกัน….
“เอาเป็นว่าตอนนี้มากินจานหลักกันดีกว่า”
“พูดเวอร์ไปแล้ว”
“เปล่านะ มันดูน่าอร่อยจริงๆ”
ผมวางขิงบนเนื้อปลาทูน่า คีบมันด้วยตะเกียบและจุ่มโชยุเข้าไป กัดไปหนึ่งคำและเคี้ยวอยู่ในปาก เนื้อปลามีความสู้ฟันเล็กน้อย ยิ่งเคี้ยวมากเท่าไหร่รสชาติของปลาก็ยิ่งกระจายไปทั่วลิ้นมากเท่านั้น อร่อย
“อร่อย”
ไว้คราวหน้าจะเอามาทานพร้อมกับข้าวสวยด้วยดีกว่า
“อร่อยนะเนี่ย อายาเสะซังทำอาหารเก่งจัง”
“ฉันทำแค่แล่ปลาเท่านั้นเอง….แต่ขอบคุณนะ ฉันซื้อมาตอนลดราคาน่ะ….”
“เห แสดงว่าออกไปซื้อตอนลดราคาน่ะเหรอ”
“ฉันอยากประหยัดเงินเท่าที่จะทำได้น่ะ”
อ้อ จริงสิ ถ้าจำไม่ผิดตั้งแต่ที่อายาเสะซังมีหน้าที่ทำอาหาร ตาแก่เลยให้ตังค่าวัตถุดิบไว้กับเธอ ถ้าเธอตั้งตารอซื้อของตอนลดราคาล่ะก็คงสามารถเก็บเงินที่เหลือไว้ใช้เองได้ล่ะมั้ง
จู่ๆ ผมก็นึกอะไรบางอย่างที่อยากถามมาสักพักแล้ว
“ทำไมถึงร้อนเงินขนาดนั้นล่ะ?”
พอได้ยินคำถามผม ตะเกียบของอายาเสะซังก็หยุดชะงัก
เนื้อปลาสะบัดแกว่งไปมา
ไม่ได้บอกว่ามันเสียมารยาทหรอกนะ เพราะผมรู้ว่าเธอไม่ได้สับสนกับคำถามนั้นแต่กำลังขบคิดว่าจะพูดยังไง
“ฉันว่าฉันเคยบอกแล้วนะ แต่เพื่อที่จะหลุดพ้นจากสายตาและความคาดหวังของคนแปลกหน้าจึงต้องเข้มแข็งพอที่จะอยู่คนเดียวไงล่ะ”
“งั้นเงินคือความเข้มแข็งน่ะเหรอ?”
“ผิดเหรอ?”
“ไม่…ผมไม่ได้ว่ามันผิดนะ”
เป็นเรื่องจริงที่ว่าหากไม่มีเงินก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอิสระได้ แต่ผมไม่ได้บอกว่าเงินคือทุกสิ่งแม้วิสัยทัศน์แคบก็ตาม
“ตอนนี้ฉันยังได้เงินไม่พอเลย”
หลังจากนั้นเธอถอนหายใจ
ผมยาวของอายาเสะซังร่วงลงมาที่ผ้ากันเปื้อนสีขาวบนชุดของเธอ เธอจึงวางตะเกียบและรวบผมไว้ด้านหลัง
“ผมกำลังหางานพาร์ทไทม์รายได้สูงอยู่นะ แต่….”
“ไม่เป็นไร ไม่คิดว่าจะหาได้ทันทีหรอก”
นั่นคือสิ่งที่อายาเสะซังกล่าวไว้ แต่นั่นหมายความว่าเธอถูกบังคับให้ทำอาหารเพียงแต่ฝ่ายเดียว ผมเลยลำบากใจเช่นกัน
“ถ้ามีอะไรอยากให้ผมช่วยมากกว่านี้บอกผมได้นะ หรือจะทำอาหารลวกๆ ก็ได้”
“ก็ทำอยู่นะ”
“ตอนเช้าสามสิบนาทีแล้วช่วงกลางคืนพยายามทำให้เสร็จในหนึ่งชั่วโมงใช่ไหม?”
พอได้ยินแบบนั้นอายาเสะซังก็หลุดขำ
“มองออกสินะ”
“ใช่”
ผมรู้ อายาเสะซังมักจะมองนาฬิกาทุกครั้งระหว่างทำอาหาร ซึ่งดูไม่เหมือนกำลังจับเวลา
นอกจากนั้นเธอยังเก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานพาร์ทไทม์รายได้สูงแต่ใช้เวลาอันสั้นเพื่อมีเวลาเรียนมากขึ้น
“ยังไงก็เถอะ ถึงจะรู้สูตรอาหารแต่ฉันไม่อยากเสียเวลากับการเตรียมอาหารอีกแล้ว ก็เลยทำลวกๆ เยอะแยะไงล่ะ”
เธอตั้งใจแสดงออกทางสีหน้าว่า ‘ฉันเป็นคนแย่’
“ไม่จริงหรอก”
อย่างไรก็ตาม เมื่อผมพูดแบบนั้น สีหน้าอายาเสะซังก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะการทำซ้ำๆ จะทำให้เราเก่งขึ้นใช่ไหมล่ะ? นั่นหมายความว่าในเวลาเท่าเดิมเราสามารถทำงานได้เยอะขึ้นและคุณภาพดีขึ้นด้วย”
“….แล้วไงต่อล่ะ?”
“แม้ว่าจะใช้เวลาเท่าเดิมแต่ก็สามารถทำอาหารได้ดีกว่าไง….นั่นคือโอกาสที่จะทำให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้น พูดอีกอย่างคือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มอ่ะนะ และเนื่องจากผมมีข้อแลกเปลี่ยนกับอายาเสะซัง ผมจึงอยากเพิ่มมูลค่าด้วยไม่งั้นจะไม่แฟร์”
“ของแบบนั้น….”
“ตอนนี้ผมยังไม่ได้ให้อะไรกับอายาเสะซังเลย ไม่ช้าก็เร็วผมกลัวว่าจะไม่เท่าเทียมกันนะ”
“ถ้าพูดอย่างนั้น งานบ้านทั่วทุกมุมโลกก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอแถมทุกวันนี้มูลค่าเพิ่มขึ้นมากด้วย”
“ก็เพราะมันเหมือนกันหมดไงล่ะ”
มันไม่ใช่แค่การทำอาหาร แต่มีทั้งการซักรีด การทำความสะอาด และการเย็บผ้า
‘งาน’ ทั้งหมดนี้สามารถมีความชำนาญมากขึ้นได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าเงินเดือนจะเยอะขึ้นตามอายุในการทำงาน ซึ่งจะทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าปริมาณและคุณภาพของการทำงานจะลดลงเพราะงานบ้านเหมือนกันหมด
“หลายปีที่ผ่านมาแม่ฉันทำอาหารให้ทานอยู่ตลอดแต่ไม่ได้เงินคืนสักเยนเลยนะ”
“เพราะมูลค่าจะไม่เผยจนกว่ามีการแลกเปลี่ยนกันไง เธอจะไม่เห็นมูลค่าจนกว่าจะทำให้คนอื่นและมูลค่าจะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อลองจ้างคนอื่นทำงานแบบเดียวกันนะ”
เนื่องจากผมอ่านหนังสือเฉพาะ ‘แรงงาน’ กับ ‘การหาเงิน’ ผมจึงสาธยายความคิดและความเท่าเทียมของมันออกจากปากผม ถ้าไม่ระวังอาจรู้สึกว่าตัวเองปราดเปรื่องเกินแม้ว่าจะเป็นเพียงความรู้ที่หยิบยืมมาก็ตาม
“ผมกับอายาเสะซังกำลังแลกเปลี่ยนการทำอาหารและหางานพาร์ทไทม์รายได้สูงถูกไหม? แล้วตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่ามูลค่าการทำอาหารของอายาเสะซังเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าผมต้องหาวิธีเพิ่มมูลค่าของผมด้วยเหมือนกัน”
อายาเสะซังนิ่งเงียบ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ผมพูดโพล่งออกไปเพราะทนไม่ไหวแล้ว ในใจผมพอมีวิธีอยู่บ้างแต่ไม่ใช่วิธีที่น่าพอใจอย่างแน่นอน
“….อาหารเย็นชืดหมดแล้วนะ มากินกันเถอะ ฉันเตรียมน้ำร้อนไว้ในอ่างอาบน้ำแล้ว”
“อ-อ่า”
ผมพูดอะไรไม่ออกเลยขยับตะเกียบเงียบๆ แทน
ตลอดเวลาที่เรากำลังทานข้าวอยู่ อายาเสะซังดูเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างและก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองมาที่ผม
――――――――――――――――――――――――――――――
สามารถติดตามการอัพเดตได้ทางเพจ : Launchmind