Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 14: 11 มิถุนายน (วันพฤหัสฯ) [1]
11 มิถุนายน (วันพฤหัสฯ)
เช้าวันใหม่ ครอบครัวของเราสี่คนนับอากิโกะซังด้วยแล้วกำลังนั่งล้อมโต๊ะอาหาร
เนื่องจากอากิโกะซังกลับบ้านช้าจากเมื่อวานหรือไม่ก็กลับตอนรุ่งสาง เธอจึงจำเป็นต้องนอนในเวลานี้
“ครีษมายันใกล้เข้ามาแล้วเหรอ~”
อากิโกะซังกล่าวพร้อมกับหาว
รู้เลยว่าอากิโกะซังตื่นขึ้นมาเพราะแสงแดดแยงตา ถ้าเป็นแบบนี้ผมคงต้องติดผ้าม่านกันแดดในห้องนอนสักหน่อยแล้วและดูเหมือนตาแก่จะไม่เคยคิดเรื่องนี้ ไว้บอกทีหลังละกัน
“เดิ๋ยวขอกลับไปนอนต่อหลังจากนี้นะ”
อากิโกะซังกล่าวและยังยืนอยู่หน้าห้องครัว
ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากพ่อผมไม่มีงานที่ต้องออกแต่เช้าจึงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนแท็บเล็ตต่อได้ ดังนั้นพวกเราจะได้กินอาหารเช้าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน
“เอ้า พ่อ ฝากด้วยล่ะ”
“ได้เลย”
ผมยื่นผ้าเช็ดโต๊ะให้พ่อเช็ดโต๊ะตรงส่วนของเขาและของอากิโกะซังด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่ทุกอย่างสะอาดวิ๊งวับ อากิโกะซังและอายาเสะซังเริ่มวางจานอาหารเช้า
อาหารเช้าดูมีความหลากหลายมากกว่าเดิมคงเป็นเพราะวันนี้ทั้งสองคนช่วยกันทำ
จนสุดท้ายดูเหมือนว่ากำลังทำไข่หวานบนกระทะสำหรับทำไข่ม้วนโดยเฉพาะ (อากิโกะซังเป็นคนซื้อมาเพราะที่บ้านไม่เคยมีมาก่อน) และม้วนไข่โดยใช้ตะเกียบยาว ซึ่งเป็นฝีมือระดับปรมาจารย์ทำกันเพราะเป็นผมคงทำไม่ได้หรอกและอายาเสะซังที่ชิมซุปมิโซะก็มองดูฝีไม้ลายไม้ของอากิโกะซัง
หลังจากปรบมือขอบคุณสำหรับอาหารแล้ว พวกเราจึงเริ่มทานอาหาร
แน่นอนว่าต้องคีบไข่หวานที่อากิโกะซังทำเป็นอย่างแรก
วินาทีที่ได้กัดคำนึงบนตะเกียบนั้นความชุ่มช่ำของน้ำซอสได้ชุ่มไปทั่วปาก เป็นรสชาติที่ต่างไปจากที่ผมคาดไว้….คืออะไรล่ะ?
“อร่อย! เอ๊ะ…เดิ๋ยวนะ? นี่ไม่ใช่ไข่หวานหนิ?”
“มันเป็นไข่หวานสไตล์ญี่ปุ่นสูตรพิเศษน่ะ”
อายาเสะซังตอบผมแม้ว่าอากิโกะซังจะเป็นคนทำให้พวกเรา
“ไข่หวานสไตล์ญี่ปุ่น?”
“ปกติไข่หวานรสชาติเหมือนไข่เปล่าๆใช่ไหม แต่ถ้าอยากได้รสเค็มก็เติมเกลือเข้าไปและถ้าอยากได้รสหวานก็แค่เติมน้ำตาลเข้าไป”
“น้ำตาล?”
“ไม่ชอบรสหวานเหรอ? ถ้างั้นไว้ครั้งหน้าจะไม่ใส่ให้นะ”
“อ๊ะ เปล่า….แบบไหนก็ได้หมดน่ะ ก็แค่คิดว่าเธอทำไข่หวานเป็นด้วย”
“เอ๊ะ….”
“ห๊ะ?”
ถึงจะมองผมเป็นตัวประหลาดก็เถอะแต่ผมคงให้คำตอบอื่นไม่ได้แล้วอ่ะ
“….ผมหมายถึงเธอกำลังเรียนทำอาหารอยู่ใช่ไหม?”
“อ-อื้ม แต่เราไม่เคยทำไข่หวานมาก่อนส่วนใหญ่ทำเป็นแค่ไข่ดาวเท่านั้น”
“หืม แต่ไข่หวานสไตล์ญี่ปุ่นที่เธอทำมีน้ำซุปอยู่ข้างในด้วยนะ”
“น้ำซุป…หมายถึงน้ำซุปราเมนงั้นเหรอ?”
“เราใช้โชยุ มิริน และ น้ำตาลเป็นหลักไงจ้ะ”
อากิโกะซังหันไปมองถ้วยสีขาวตรงห้องครัว อย่างนี้นี่เอง เพราะว่าเราไม่ได้ทำอาหารกินกันเองจึงมีแต่เกลือ โชยุ และ น้ำตาล ดังนั้นอากิโกะซังจึงเตรียมของพวกนั้นไว้แล้ว
“นั่นก็เลยว่ารสชาติเหมือนน้ำซุปมากกว่าไข่ไงจ้ะ แน่อยู่แล้วว่าบางครั้งรสชาติอาจติดเค็มนิดนึง ถ้าอยากได้หวานก็เติมมิรินหรือไม่ก็หยดโชยุเข้าไป แต่ไข่หวานมันจะไม่เป็นสีเหลืองอร่ามแล้วจ้ะ”
“รู้เยอะจังนะครับ”
“ซากิจังก็ทำเป็นนะ บางทีลูกลองทำให้ยูตะคุงทานบ้างสิเผื่อจะชอบ”
“หนูทำไม่ค่อยเก่งหรอก….”
“แต่ส่วนตัวผมชอบไข่ดาวนะ”
“….งั้นเหรอ เดิ๋ยวทำแบบที่นายชอบละกัน”
ปกติแล้วอายาเสะซังกับผมจะมีบทสนทนาเบื้องหลังด้วยกัน ซึ่งผมจะบอกว่า ‘เธอไม่จำเป็นต้องทำงานเพิ่มนอกเหนือสัญญาหรอกนะ ผมไม่ว่าอะไร’ ส่วนอายาเสะจะตอบกลับว่า ‘ขอบคุณนะ ถ้ามีเวลาเดิ๋ยวทำให้’
ด้วยเหตุนั้น ทั้งความปรารถนาและความคิดของเราจึงผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งดีกว่ามาใช้รหัสลับกันเพราะจะทำให้เข้าใจผิดง่ายกว่า
ส่วนตาแก่ก็เอาแต่ชื่นชมอาหารของอากิโกะซังจนหมดเวลาโดยที่ไม่รู้สึกรู้สา
การที่มาชมว่า ‘อร่อยที่สุดในโลกเลย’ เนี่ย ถ้าจะถามผมนะมันก็เวอร์เกินเบอร์ไปแล้ว นี่พ่อจะพยายามเจ้าชู้คนไปทั่วเลยรึไง หยุดสักทีเถอะ วันนี้พ่อทำลายแรงจูงใจของผมหมดแล้วนะ
ผมจึงหาเรื่องอื่นคุยกันจนผมนึกอะไรออก
“อ๋อ จริงด้วย อาทิตย์นี้ผมเป็นคนซักผ้าหนิ ถ้างั้นผมขอชุดอากิโกะซังกับอายาเสะซังได้เปล่าครับ?”
“เอ๊ะ นั่นมัน….”
อายาเสะซังเริ่มพูดแต่สุดท้ายแล้วกลืนคำพูดนั้นไป
ผมเอียงคออย่างสงสัย หายากนะที่อายาเสะซังจะคิดหาคำพูดของเธอ หรือว่าผมเผลอพูดอะไรไม่ดีงั้นเหรอ?
“งั้นถ้าไม่ว่าอะไรเดิ๋ยวฉันดูแลเรื่องซักผ้าของทุกคนก็ได้จ้ะ ยูตะคุง”
“เอ๊ะ? ผมทำไม่ได้หรอก”
หลังจากที่เราสี่คนได้อยู่ด้วยกัน พวกเราก็ได้แบ่งงานบ้านซึ่งมีหลายๆอย่างเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ผมคงให้อากิโกะซังรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้….
“แต่ถ้าแบ่งกันทำสี่คนมันจะยุ่งยากเอานะจ้ะ?”
อากิโกะซังกดดันเข้าไปอีก
พอลองคิดดูดีๆ แล้วการที่ผู้ชายมาดูแลเสื้อผ้าผู้หญิงเพื่อจะซักให้มันก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอตัว
แต่เนื่องจากผมมัวแต่สนใจเรื่องที่จะไม่เพิ่มภาระเธอ จึงทำให้ผมลืมนึกเรื่องนี้ไปซะสนิท
แย่แล้วสิ ก่อนที่ผมจะดึงสติคืนมาอากิโกะซังจึงให้อายาเสะซังอธิบายอย่างละเอียดให้ผมฟัง
“การที่ทิ้งชุดชั้นในไว้กับอาซามูระคุง….คือถ้าลองเทียบกับเสื้อผ้าปกติแล้วมันจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเลยนะ นายรู้รึเปล่าว่าอะไรต้องใส่ลงในถุงซักผ้าบ้าง?”
“ใส่อะไร…ยังไงนะ?”
ผมส่งสายตาเพื่อเป็นการขอโทษเธอที่ทำให้ต้องพูดอย่างนั้น
“ถ้านายซักบราแบบนั้นมันจะเปลี่ยนรูปทรงและตะขอจะไปเกี่ยวกับชุดอื่นถูกไหม? นั่นก็เลยว่าต้องมีถุงซักผ้าพิเศษสำหรับใส่บรา ส่วนกางเกงในน่า…ชุดชั้นในจะไปติดกับชุดอื่นเหมือนกัน….”
แม้แต่ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจนี้อายาเสะซังก็ยังอธิบายปัญหาได้อย่างละเอียด ด้วยเหตุนั้นผมจึงเข้าใจแล้วว่าการซักเสื้อผ้าผู้หญิงนั้นค่อนข้างซับซ้อนจริงๆ
“นอกจากนี้ อาซามูระคุงต้องแยกชุดสีอ่อนกับสีเข้มด้วยนะ แล้วถ้าไม่แยกเสื้อผ้าที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมไว้อีกถุง ไม่อย่างนั้นสีจะหลุดออกหมด”
“สัญลักษณ์สามเหลี่ยม ใช่ที่เป็นรูปโลโก้ติดอยู่ตรงเสื้อรึเปล่า?”
“อื้ม นั่นแหละ”
“อ๋อ นั่นก็เลยว่าทำไมสีถึงหลุดทุกรอบหลังซักเสร็จสินะ”
เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้นอายาเสะซังก็ก้มหัวลง อย่างไรก็ตาม เธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและพูดว่า
“ถ้านายมีความรู้แค่นั้น ฉันคงทิ้งชุดให้อาซามูระคุงไม่ได้หรอก ดังนั้นเดิ๋ยวฉันจะซักเอง”
“อืม….เข้าใจแล้ว”
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจเยี่ยงนี้ อากิโกะซังจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ยังไงฉันก็ดูแลเสื้อผ้าของไทจิซังอยู่แล้ว ทำไมไม่ให้ฉันซักไปด้วยล่ะยูตะคุง?”
พอได้ฟังคำพูดนั้น ผมก็นึกภาพตอนที่อากิโกะซังถือตะกร้าเสื้อผ้าของผม…อากิโกะซังจะซักกางเกงในของผมเนี่ยนะ?…ผมไม่เอาด้วยหรอก
“…ผมเข้าใจแล้วว่าอายาเสะซังต้องรู้สึกอัดอัดแค่ไหนนะ”
“ใช่ไหม?”
อายาเสะซังถอนหายใจ
อืม ผมเข้าใจจริงๆนั่นแหละ ขอโทษด้วยนะ
พอผมเปิดประตูหน้าบ้าน ผมก็ได้รับการต้อนรับด้วยเสียงฝนตกตรงริมหน้าต่างและราวลูกกรง
พวกเราจะไปด้วยกันและออกจากบ้านพร้อมกันตามที่อายาเสะซังได้กล่าวไว้ ซึ่งปล่อยให้ผมมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
จนถึงตอนนี้เธอยังยืนกรานว่าจะออกก่อนเป็นคนแรก
ตั้งแต่ที่เธอเป็นน้องสาวต่างแม่ของผมและเป็นน้องสาวในบริบทของผม การที่เดินไปโรงเรียนด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร…รึเปล่านะ? ผมว่ามันรู้สึกแปลกๆ ที่พี่น้องจะเดินไปกลับด้วยกันที่โรงเรียนหรือผมจะคิดไปเอง
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยหน่อย”
ระหว่างที่พวกเราลงลิฟต์กัน จู่ๆ อายาเสะซังก็เรียกผม
อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจละ ผมไม่รู้หรอกว่าอายาเสะซังอยากคุยเรื่องอะไรแต่การกระทำมันฟ้องอย่างชัดเจน
“ฉันอยากจะขอโทษน่ะ”
“….ขอโทษ?”
ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ น่าจะเป็นเรื่องข้อแลกเปลี่ยนของเราเมื่อเช้าแต่ทำไมต้องขอโทษผมด้วยล่ะ หลังจากพูดเรื่องอ่อนไหวแบบนั้นผมควรเป็นฝ่ายที่ต้องขอโทษนะ….
แต่อายาเสะซังดูเงียบมาตั้งแต่ที่เราย่างเท้าออกจากอพาร์ตเมนท์แล้ว
พวกเราเดินไปตามถนนเปลี่ยวด้วยกันและถือร่มชิดๆกันเพื่อจะได้ไม่เปียกฝน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้คุยเรื่องส่วนตัวกันจนกว่าจะถึงโรงเรียน
ตึกรามบ้านช่องถูกคลุมไปด้วยสายฝนที่ตกลงมา ในขณะนั้นเอง เราสองคนก็ระวังรถวิ่งผ่านเพื่อจะได้ไม่ตัวเปียกจากแอ่งน้ำข้างถนน
เพราะเหตุนั้นหลังจากที่เราหยุดกลางคัน อายาเสะซังค่อยๆเริ่มเดิน สีหน้าของเธอตึงเครียดเล็กน้อย
“ทุกอย่างที่ทำลงไปแม้แต่จิตใต้สำนึกของฉันเอง มีบางอย่างที่ไม่เข้าใจน่ะ ฉันขอโทษด้วยนะ”
อายาเสะซังกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ผมจึงหันหน้าไปด้านข้างและบอกได้เลยว่าเธอกำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่
อายาเสะซังหายใจเข้าลึกๆและปล่อยออกมา
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่นายจะใส่กางเกงในผู้หญิงแบรนด์แพงๆแบบนั้นน่ะ”
ก็มันแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไง
“ถึงฉันพยายามจะปฏิเสธบทบาททางเพศของเราแล้วนะ…”
“เดิ๋ยวก่อน อายาเสะซัง”
“อาซามูระคุง ฉันเห็นว่านายใส่ใจเรื่องผิวพรรณมากนะ เมื่อวานนายก็รีบยัดชุดเปียกลงในเครื่องซักผ้า ฉันไม่เคยเห็นนายทาลิปมันหรือรองพื้นมาก่อนแต่นายดูเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องนี้มากๆ”
“ใจเย็นก่อนนะ อายาเสะซัง”
ผมรีบเดินบังทางเธอ
ต้องให้อายาเสะซังหยุดเดินซะก่อนเพื่อจะได้ให้เธอหยุดคิดและจะได้สนใจแต่ผม
จากนั้นอายาเสะซังก็หยุดเดินและเงยหน้ามองมาที่ผมผ่านภายใต้ร่ม
“….โอเค ฉันใจเย็นแล้ว”
“อืม ครับ”
“ถึงแม้ว่านายจะชอบชุดผู้หญิงก็ตามแต่ไม่ได้หมายความว่านายจะใส่จริงๆใช่ไหม”
ไม่ดีละ เธอไม่ใจเย็นลงเลย
“หายใจเข้าลึกๆค่อยๆคิดก่อนนะ คือเธอเห็นที่ห้องซักผ้าที่บ้านผมใช่ไหม?”
“อืมมม….”
อายาเสะซังคิดอยู่ในใจ
“อืม…ใช่ ฉันเห็นครีมโกนหนวดกับมีดโกนแต่ไม่เจอเครื่องสำอางผู้หญิง…คิดว่านะ”
“ใช่ไหมล่ะ?”
“แต่คิ้วนายมันดูดีมากเลยนะ”
“หา?”
“นายอาจจะดูแลมันด้วยวิธีไหนก็ได้เพราะฉันไม่เห็นหวีแต่อาจจะเข้าร้านเสริมสวยแทน—”
“ร้านตัดผมน่ะเหรอ ใช่แล้ว”
เธอคิดจริงๆเหรอว่าผู้ชายอย่างผมจะเข้าร้านเสริมสวยเนี่ยนะ?
ถึงแม่ว่าพวกเราจะอาศัยอยู่ในเมืองย่านหนุ่มสาวชิบูย่า นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะหมกมุ่นกับเครื่องสำอางและของแบรนด์เนม เพราะผมต้องเก็บตังซื้อหนังสือแทน
“เอ๊ะ? งั้นคิ้วนายก็เป็นธรรมชาติน่ะสิ?”
“อืม ใช่แล้ว”
อายาเสะซังจ้องมองผม
“ไม่อยากจะเชื่อเลย…อิจฉาจัง….”
“อ-อย่างนั้นเหรอ?”
“….น่าเสียดายนะ”
พอพูดแบบนั้นอายาเสะซังเริ่มเดินต่อ
ผมยืนอยู่เงียบๆและเดินตามหลังเธอ
“ฟังผมก่อนนะ”
“อะไรล่ะ?”
“เรื่องที่พูดไปเมื่อกี้ที่ว่าบทบาททางเพศกับของพวกนั้นน่ะ”
“อื้ม”
“คือบทบาททางเพศน่ะ เป็นการแสดงออกตามเพศนั้นๆใช่ไหม?”
ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ผู้ชายจะทำตัวเหมือนเป็นผู้ชายส่วนผู้หญิงก็จะทำตัวเหมือนเป็นผู้หญิง นั่นคือบทบาททางเพศที่ผมพูดถึง การที่จะทำเหมือนเพศนั้นเพศนี้ได้มันจะถูกตัดสินใจเป็นภาพหลอนหรือจินตนาการในที่สาธารณะ และพวกเราในฐานะบุคคลธรรมดาก็ไม่สามารถมีอิทธิพลกับตรรกะนี้ได้อยู่แล้ว
“ถูกต้อง แต่นายเห็นด้วยรึเปล่าว่ามันไม่มีข้อจำกัดที่จะมีเพศเพียงแค่สองเพศแล้ว?”
“อืม ผมเห็นด้วย”
แน่นอน ผมก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันเพราะการที่ผมได้อ่านหนังสือยังไงก็จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายถึงแม้จะอยากหรือไม่ก็ตาม ผมว่าตอนนี้บน Facebook สามารถแสดงเพศได้ถึง 58 เพศ จนกลายเป็นฟีดข่าวล่าสุดไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น DNA ก็ไม่สามารถระบุแค่เพศชายกับเพศหญิงได้อีกต่อไป ทำให้ผมรู้เลยว่าอายาเสะซังก็คิดแบบนี้เช่นกัน
“เพศของมนุษย์น่ะมันขึ้นอยู่กับโครโมโซมเพศ….”
“โครโมโซม X กับ โครโมโซม Y น่ะเหรอ”
“ใช่ โครโมโซมเพศมีอยู่สองประเภทคือ โครโมโซม X กับ Y และถ้าเอามาผสมด้วยกันก็จะได้เป็นโครโมโซมเพศ XX จะหมายถึงผู้หญิงส่วน XY จะหมายถึงผู้ชาย ซึ่งมนุษย์มีโครโมโซมทั้งหมด 46 ชิ้นโดยนับการแปรผันของ X กับ Y ด้วยแล้ว คิดว่าเป็นกี่เปอร์เซนต์ของจีโนมทั้งหมดล่ะ?”
อายาเสะซังกล่าวออกมาอย่างเศร้าใจ
“อืม ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันไม่ต่างกันมาก”
“ดังนั้นพวกเราจึงถูกกดดันกับบทบาทนั้นไง เพราะมันต่างกันแค่นิดเดียว”
ท่ามกลางเสียงฝนเทลงมา มีเพียงแค่เสียงอายาเสะซังเท่านั้นที่เข้าหูของผม
“เหมือนกับเป็นการยืนยันตัวตนทางเพศเลยนะ มันจะมีคนที่ไม่ตรงกับเพศตัวเองแล้วค่อยๆปรากฏบนสายตาผู้คนมากขึ้น”
ผมรู้ว่าตรรกะของอายาเสะซังจะสื่อถึงอะไร แต่ผมเกิดมาเป็นผู้ชายและความคิดของผมก็เป็นผู้ชายเหมือนกันดังนั้นจึงเป็นการยากสำหรับผมที่จะเข้าใจอย่างชัดเจน
“เรื่องของความรักก็เช่นกัน ชอบผู้ชาย ชอบผู้หญิง ชอบทั้งสองเพศ หรือไม่ชอบทั้งคู่เลย ความรู้สึกโรแมนติกมันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะล่วงรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ….นายอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้นะ แต่ถ้าหากนายเป็นเพศหญิงแล้วมองตัวเองเป็นผู้หญิงและชอบผู้ชาย พอคิดถึงเรื่องเสื้อผ้าของเพศตรงข้าม…แน่นอนว่าผู้หญิงมักจะชอบเสื้อผ้าผู้ชายอยู่แล้ว ในทำนองเดียวกันการที่ผู้ชายจะสนใจชุดชั้นในผู้หญิงนั้นไม่ผิดเหมือนกัน”
“อื้ม ก็จริง”
“แล้วตอนนี้ฉันไม่สามารถเอามันออกจากหัวได้เลย”
อายาเสะซังกล่าวออกมาอย่างเศร้าใจ
เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงจะมองภาพแบบกว้างๆ จะถูกอยู่หรอกแต่มันมีความต่างลึกซึ้งอยู่ข้างในเช่นกัน อย่างเช่นมีกลุ่มคนครึ่งหนึ่งที่ชอบแบบนี้ แสดงว่าคนๆนี้ก็ต้องชอบด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์โคตรๆเลย
และถ้าหากผมเป็นผู้ชายที่ใส่กางเกงในผู้หญิงเป็นชีวิตประจำวัน มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากพวกเราที่เป็นพี่น้องซักชุดชั้นในให้กัน
บางทีอายาเสะซังคงไม่กังวลเรื่องคุณแม่เป็นคนซักชุดชั้นในให้ แต่ยังไงก็ตาม ในขณะเมื่อเช้านี้ตอนที่เธอรู้ว่าผมจะซักชุดชั้นในให้ ความอับอายทางกายของเธอก็เปิดเผยออกมาก่อน
ถ้าเป็นผมคงจะลืมๆมันไปและพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่ดูท่าอายาเสะซังจะกังวลในเรื่องนั้น
ซึ่งเธอยังจะยืนหยัดสู้ต่อ
และเผชิญหน้ากับบทบาททางเพศที่ผู้คนผลักไสมันตลอดเวลา ดังนั้นเธอจึงต้องคิดให้รอบคอบอย่างถี่ถ้วน แต่สำหรับผมที่ปล่อยวางให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามปกตินั้นก็ทำเป็นเฉยเมย—
“ถ้าเธอพูดแบบนั้นงั้นผมต้องขอโทษตัวเองเหมือนกัน ผมรู้สึกอายตอนที่คิดว่าอากิโกะซังจะซักกางเกงในของผมน่ะ”
“มันไม่ใช่ปัญหาที่คนอื่นๆจะรู้สึกเหมือนกันนะ แต่ฉันยกโทษให้ตัวเองไม่ได้นั่นก็เลยว่าฉันอยากจะขอโทษนะ”
“อืมมม….”
ผมเดินคิดอยู่สักพัก
ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของอายาเสะซังนะแต่ความจริงจังนั้นอาจทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน ผมจึงสงสัยว่าจะมีวิธีที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจนิดนึงโดยไม่ปฏิเสธความคิดนั้นได้เปล่า
ตอนนี้ผมเริ่มเห็นทางเข้าโรงเรียนจากที่ห่างไกล หมายความว่านักเรียนรอบๆตัวผมค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นและจะทำให้พวกเราคุยเรื่องนี้ต่อไม่ได้แล้ว
“….มันเหมือนกับปฏิกิริยารีเฟล็กซ์เลยนะ”
“ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์?”
บางครั้งผมก็ตามไม่ทันว่าอายาเสะซังคิดเรื่องอะไรแต่มันก็สนุกในตัวของมัน
“ก็ปฏิกิริยาที่ทำก่อนคิดอันนั้นอ่ะ”
“อ๋อ อันนั้นน่ะเหรอ ที่พอเราเคาะหัวเข่าแล้วขาจะขยับเองใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
มีอยู่หลายครั้งที่ผู้คนจะแสดงปฏิกิริยาก่อนที่สมองจะตามทัน อย่างเช่นมีอะไรพุ่งเข้าหาเราก็จะรีบปิดตาทันที หรือไม่ก็เผลอไปจับของร้อนๆ เราก็จะชักมือกลับก่อนที่จะบอกได้
“มนุษย์มีวิวัฒนาการขึ้นเพื่อให้สมองจัดการความคิดนั้นได้ แล้วผมก็ถามตัวเองบ่อยๆว่าทำไมเราถึงมีกลไกนี้อยู่ในตัวเราล่ะ?”
“นั่นมัน…ถ้าสมมุติว่าเราใช้เวลาคิดในเวลาฉุกเฉิน เราก็จะเหลือเวลาลงมือทำจริงๆน้อยลงใช่เปล่า?”
“ใช่ ถ้าชีวิตเราตกอยู่ในอันตราย ร่างกายของเราจะตอบสนองเร็วกว่าที่สมองจะตามทัน ผมคิดว่ากลไกนี้เป็นส่วนสำคัญในการมีชีวิตอยู่นะ”
“อย่างงั้นเหรอ…อ๋อ จริงสินะ”
อายาเสะซังผู้ปราดเปรื่องก็ได้ข้อสรุปก่อนที่ผมจะอธิบายทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจที่จะอธิบายต่อ
“ง่ายๆก็เหมือนกับมาโคร*หรือปุ่มลัดบนแอพไงล่ะ”
*(TL Note: มาโครในที่นี้หมายถึงชุดคำสั่งอ่ะครับ เหมือนเรากดปุ่มบนคีย์บอร์ดแล้วมันจะทำตามคำสั่งที่เราตั้งไว้)
ผมพูดและอายาเสะซังหัวเราะคิกคัก
“ยกตัวอย่างได้น่าสนใจดีนะ”
“เพื่อให้เข้าใจง่ายๆผมจึงยกขึ้นมาไงล่ะ แต่บางครั้งมีกรณีที่ใช้มาโครแล้วทำอะไรไม่ได้ก็มี ถ้าไม่รู้หลักการขั้นพื้นฐานของมันก็คงเพิ่มมาโครไม่เป็นหรอก”
“นั่นสิ”
“แต่ผมคิดว่าการที่บังเอิญทำอะไรแบบนั้นก็เป็นผลที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ผมมั่นใจว่ามีบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์จากปฏิกิริยารีเฟล็กซ์”
“แต่อคติอาจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติได้นะ”
“งั้นลองคิดทบทวนดูนะ? อายาเสะซังลองทบทวนและไตร่ตรองการกระทำที่ทำลงไป ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้วล่ะเพราะผมรู้ว่าอายาเสะซังเป็นคนที่เรียนรู้และแก้ไขรีเฟล็กซ์ได้ไงล่ะ”
ผมพูดด้วยเสียงอ่อนโยนและยิ้มตาม
ตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่าอายาเสะซังไม่ได้เดินอยู่ข้างผมแล้ว ผมหันกลับไปและเห็นว่าเธอยืนอยู่ห่างจากผมประมาณสามก้าว
“อายาเสะซัง?”
ผมเรียกอายาเสะซังและรู้สึกกังวลเล็กน้อยเพราะเธอเอาแต่ก้มหน้าลง
“อาซามูระคุง…”
เสียงของเธอกำลังจางหายไปกับสายฝนที่โปรยปราย
“นายเข้าใจฉันมากเกินไปแล้ว”
เธอพูดว่าไงนะ?
อายาเสะซังเงยหน้าขึ้นและรีบวิ่งผ่านผมโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง
เธอเดินเข้าประตูโรงเรียนและหายวับไปกับตา
“เป็นอะไรไปอาซามูระ?”
จนกระทั่งมารุมาแตะไหล่ผม ผมทำได้แต่ยืนมองดูทางที่เธอเข้าไป
ไหล่ที่มารุมาแตะผมนั้นทั้งเย็นและเปียกโชก ซึ่งจิตใจของผมก็ถูกเติมเต็มไปด้วยแผ่นหลังของอายาเสะซังที่ก่อนจะหายวับไป
――――――――――――――――――――――――――――――