Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 13: 10 มิถุนายน (วันพุธ) [3]
คาบเรียนได้หมดลงแต่แน่นอนว่าฝนก็ยังไม่หยุดตกตามที่คาดไว้
แน่นอนว่าผมไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิด แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีลางสังกรณ์ที่ผิดพลาด มันก็จะเกิดเรื่องผิดพลาดไปตลอดรอดฝั่ง
โลกใบนี้น่ะมันเต็มไปด้วยกฎของเมอร์ฟี*เสียหมดแล้ว
*(TL Note : กฎของเมอร์ฟี เป็นสำนวนสุภาษิตที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวางในความหมายที่ว่า ‘ทุกสิ่งที่สามารถผิดพลาด จะผิดพลาด’)
โชคยังดีที่วันนี้ผมไม่มีกะงานใดๆ เลยไม่ต้องเดินทางไปถึงชิบูย่า ถ้าไม่มีอะไร งั้นก็ดิ่งกลับบ้านโดยไม่แวะไหนน่าจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด
ผมตัดสินใจระหว่างที่เดินไปที่ตู้เก็บรองเท้า เมื่อผมเห็นเรือนร่างที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่แหงนมองดูท้องฟ้ายามฝนตก
เนื่องจากเธอยืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้าเมฆครื้ม สีผมของเธอจึงดูเด่นสดใสขึ้นไปอีก
นั่นอายาเสะซังไม่ใช่เหรอ….หรือว่าเธอลืมหยิบร่มมา? ไม่มีทาง ก็เห็นอยู่ว่าวันนี้มีโอกาสฝนตก 60% เลยนะ หรือจะเสี่ยงดวงกับ 40% เหรอ? เดิ๋ยวนะ เธอออกจากบ้านก่อนผมนี่ ตอนที่ผมกำลังดูพยากรณ์อากาศเธอก็น่าจะก้าวออกจากบ้านไปแล้ว
ผมจึงแอบมองเธอจากระยะไกลและครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี หันซ้าย หันขวา ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ ดูเหมือนทุกคนเลือกที่จะกลับให้เร็วที่สุด ช่างมองการณ์ไกลจริงนะ
ผมเปิดกระเป๋านักเรียนแล้วคว้าร่มพับออกมา เพราะเป็นร่มประเภทเดียวที่สามารถยัดลงกระเป๋าได้ง่ายๆและเลือกได้สะดวก ว่าจะพกติดตัวหรือเปล่าเพราะมันแทบจะเป็นกระเป๋าเดินทางได้เลย เหมือนที่เขาว่ากันว่า — ชีวิตคือการเลือกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เพื่อไม่ให้เธอตกใจ ผมจึงเดินไปหาเธออย่างเสียงดังแล้วหยุดห่างจากเธอประมาณสามก้าว นี่น่าจะห่างกันพอเหมาะพอควรแล้วใช่ไหมสำหรับระยะห่างของเรา ผมไม่กล้าที่จะแตะไหล่เธอเพราะพวกเราไม่ใช่ผู้หญิงด้วยกันอีกทั้งจะได้รับอนุญาตรึเปล่าถ้าแตะเนื้อต้องตัวเธอ? ถ้าเธอดันกรี๊ดขึ้นมาล่ะก็ ชีวิตม.ปลายของผมคงพังพินาศแน่
ผมจึงตัดสินใจที่จะกระแอมในลำคอแล้วเริ่มปริปากว่า
“ถ้าเธอลืมร่มของตัวเองล่ะก็ เราแบ่งกันได้นะ?”
ไหล่ของเธอสะดุ้งเล็กน้อย พอเธอหันมาเส้นผมทองอร่ามก็ปลิวไสวไปกับสายลม ผ่านแสงแดดที่หาดูได้ยากในยามท้องฟ้าคะครึ้ม ที่เจาะหูของเธอระยิบระยับไปชั่วขณะ ดวงตาของเธอค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้หน้าของผม เป็นความรู้สึกเหมือน PC ที่บูตเครื่องอย่างช้าๆ
“เอ๊ะ?”
เธอเบิกตากว้าง
ไหงเธอถึงดูช็อกแบบนั้นล่ะ?
“นี่เธอลืมผมหรืออะไรอย่างนั้นเหรอ?”
“นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร….”
“นั่นมันคำพูดของผมนะ”
ผมรู้สึกกังวลไปชั่วขณะ
“แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ? ไม่คิดเลยว่าจะเรียกฉันที่โรงเรียนอีกแล้วนะ”
“อ่า อืม ก็นะ”
ผมว่าเธอคงไม่รู้สึกโกรธอะไรแต่เหมือนจะดูสงสัยอยู่นิดหน่อย ด้วยเหตุนั้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากที่ผมได้สัญญากับอายาเสะซัง ทำให้ผมสามารถอ่านสีหน้าของเธอได้หรือสิ่งที่ขาดหายไปคืออะไรมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าผมตั้งใจจะรักษาสัญญานั้นไว้ที่จะทำเป็นคนแปลกหน้าที่โรงเรียน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะเพิกเฉยเธอที่นั่งอยู่ท่ามกลางสายฝนได้เพราะว่าพวกเราลงเอยที่จะเป็นพี่น้องกันแล้ว
แต่ยังไงเธอก็ดูฉลาดปราดเปรื่องเหมือนกัน ก็สมควรแล้วที่เธอจะระแวงผมจนพูดว่า “แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ?” สาเหตุที่เธอถามแบบนั้นก็คงเพราะเหตุการณ์ในตอนเช้า เลยบ่งบอกได้ว่าเธอยังคงรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดได้มากที่สุดละ
“ลืมหยิบร่มมางั้นเหรอ?” ผมถามเธออีกรอบ
“อืม ใช่….ฉันลืมน่ะ”
“เสี่ยงดวงกับ 40% งั้นเรอะ”
“เอ๊ะ? อะไรนะ”
อายาเสะซังเอียงคออย่างสงสัยและมองไปที่ร่มบนมือของผม
“คือพวกเราก็กลับที่เดียวกันอยู่แล้ว ผมคิดว่านะ”
อายาเสะซังฟังผมและแสดงท่าทีอย่างสับสน
“เอ่อ…ไม่เป็นไรหรอก ยังไงฉันก็รอเพื่อนอยู่แล้ว ไปทำธุระที่ชมรมแปบนึงเดิ๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะ ฉันไม่ต้องการ—”
“งั้น….”
ผมตัดบทพูดของเธอ
“ใช้นี่นะ เดิ๋ยวผมวิ่งกลับบ้านเอา จะพยายามวิ่งหลบฝนก็แล้วกัน”
ฉันไม่ต้องการร่มอะไรทั้งนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่เธออยากจะพูดแต่ผมก็ยื่นร่มให้เธอ
ผมใส่รองเท้าแล้วกระโจกเข้ากลางสายฝน
ผมว่าตัวเองเข้าไปก้าวก่ายมากเกินไปแล้วแฮะ บางทีตอนนี้เธอคงคิดว่าตัวผมมันน่ารำคาญ
คือเธอเพิ่งบอกว่ากำลังรอเพื่อนอยู่ใช่ไหม บางทีพวกเธออาจจะแบ่งร่มใช้กันแต่ยังไงก็คงเปียกโชกตามนั้นแหละเพราะว่าร่มของเด็กผู้หญิงมันค่อนข้างเล็กอยู่แล้ว
และใบหน้าของอายาเสะซังตอนที่ผมยื่นร่มให้นั้นก็ผุดขึ้นในหัวสมองของผม เธอดูตกใจราวกับไม่ได้คาดหวังในเรื่องนั้น
ผมคิดว่าการที่ไปก้าวก่ายมันก็คุ้มค่าพอที่จะได้เห็นสีหน้าแบบนั้นแล้ว เป็นสีหน้าของอายาเสะซังที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน
บางทีวิธีนี้อาจเป็นวิธีที่เราจะได้เป็นพี่น้องกันอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้ ความซับซ้อนมุมมองเฉพาะตัวของเรา การเข้าขากัน นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในระหว่างที่วิ่งฝ่าฝน
ฝนห่าใหญ่อย่างหนักหน่วงในเดือนหกทำให้ชุดนักเรียนผมเปียกโชกไปอย่างรวดเร็ว
น้ำฝนเย็นๆที่ต่างจากหยาดเหงื่อไหลพรากบนแผ่นหลังของผมจนเข้ายังซอกรองเท้าทำให้ขาแข้งรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ และทุกครั้งที่เท้าผมแตะพื้น ความชุ่มชื้นก็สะท้อนกลับมา
ในที่สุดหลังจากที่เห็นตึกอพาร์ตเมนต์ที่เรียงยาว ผมก็รู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด
ผมปลดล็อกประตูแล้วผ่านหน้าห้องยาม กดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสาม
ระหว่างเดินไปตามทางเดินน้ำก็ไหลหยดออกจากตัวผม ในที่สุดผมก็เห็นประตูบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตาของเรา
ผมเปิดเข้าไปข้างในแล้วเปิดไฟ รอบๆตัวผมเต็มไปด้วยแสงสีส้มจนผมหลุดพูดออกมาว่า
“กลับมาแล้วคร้าบ….อ๊ะ จริงด้วย”
แน่อยู่แล้วไม่มีใครขานรับผมหรอก ความเงียบงันอันรวดร้าวได้สะกิดหูของผม คือก็รู้อยู่แก่ใจว่าทั้งตาแก่และอากิโกะซังน่าจะไม่กลับบ้านเวลานี้
ผมว่าผมชินกับเรื่องแบบนี้แล้วแต่ยังไงผมก็รู้สึกขัดใจและตระหนักได้ว่ารู้สึกโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครขานรับผม
ผมวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะอาหารแล้วรีบย้ายตัวเข้าไปอาบน้ำ เปิดฝักบัวจนน้ำร้อนไหลออกมา
งั้นปล่อยไว้สักประมาณ 15 นาทีละกัน ในระหว่างนั้นผมก็แขวงชุดไว้และยัดเสื้อเปียกๆลงในเครื่องซักผ้า เติมผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วปล่อยให้เครื่องทำงานของมัน
ได้ยินเสียงน้ำไหลผ่านข้างในและเครื่องก็เริ่มส่งเสียงดัง
“โอ้ เกือบลืม”
ผมต้องเตรียมชุดไว้ให้พร้อมก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงนุ่งผ้าขนหนูรอบเอวตอนขากลับห้องแน่ๆ ปกติเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้มันไม่สำคัญหรอกเว้นแต่ตอนนี้ผมต้องเริ่มระวังในเรื่องนั้นแล้ว
สงสัยจังว่าพวกพี่น้องเขาจะรู้สึกยังไงกัน จะสนเรื่องพรรค์นี้เรอะ? ไม่ พวกเขาน่าจะสนอยู่แล้ว สนใจแน่ๆเลย…ใช่ไหม?
ผมยืนรอจนน้ำร้อนเกือบเต็มครึ่งอ่างแล้วย้ายตัวเข้าไปข้างใน
ผมแช่อยู่อย่างนั้นประมาณสองสามนาที ปล่อยให้แผ่ซ่านไปแล้วปิดฝักบัวตอนน้ำถึงบ่าของผม
ผิวเริ่มแสบร้อนนิดหน่อยเพราะน้ำยังร้อนเกินไปแถมผมพึ่งวิ่งฝ่าฝนเดือนหกอย่างหนาวเย็นก็อาจจะได้ เหนื่อยจังน้า
ด้วยความงุนงง ผมจึงเริ่มคิดเรื่องคำขอของอายาเสะซัง
งานพาร์ทไทม์ที่รายได้สูงงั้นเรอะ
ตั้งแต่ที่เธอเต็มใจทำอาหารเช้าเย็นให้ ตามหลักการรับ-การให้แล้วผมจะต้องหางานให้เธอเช่นกัน
เมื่อพูดถึงเรื่องการรับ-การให้ มันก็เป็นหลักการที่ผมต้องให้มากขึ้นด้วย
คำพูดของอายาเสะซังแวบเข้ามาในหัวผม ตอนที่ได้ฟังเรื่องนั้นผมก็ทำใจไม่ลงทำได้แค่เห็นอกเห็นใจเธอแค่นั้น จึงเป็นสาเหตุที่ว่าผมต้องรีบหางานให้เร็ว
“เฮ้อออออ….”
ผมเอามือทาบหน้าผากและคิดถึงเรื่องนี้ต่อ
ในยุคปัจจุบันนี้ การเริ่มธุรกิจใหม่ๆแทนที่จะว่าจ้างคนอื่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีก็ได้ ผมเคยอ่านหนังสือผ่านๆว่าผู้ใช้บริการมักได้ผลกำไรมากกว่าผู้ให้บริการ
ง่ายๆก็อย่างเช่นพวก Youtuber หรือ Uber eats*…! เดิ๋ยว ไม่ใช่ละ ใจเย็นๆไว้ตัวเรา
*(TL Note: Uber eats ก็ประมาณพวก Grab, Lineman นี่แหละ)
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า เด็กนักเรียนจะมีความคิดอยากจะ ‘เริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ’ อยู่แล้ว เพราะผมเองก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสังคมมากนัก
“รู้วิธีการทำงานของสังคมและสถานการณ์ของตลาดสินะ….”
จริงอย่างที่มารุว่าไว้เลย มีหลายอย่างที่ผมไม่รู้มากเกินไปจนรู้สึกว่าการหางานที่รายได้สูงนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงขอให้อายาเสะซังทำอาหารให้ผมทานต่อไม่ได้แล้วเพราะว่าจะไม่แฟร์ๆกัน
แน่นอนว่าผมไม่สามารถทำอาหารเหมือนเธอได้
ผมจึงนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอใส่ผ้ากันเปื้อน อารมณ์ที่ผมอยากโอบรับมันไว้ตอนเห็นเธอแล้ว—โคตรน่ารัก ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นนะ ถ้ามีคำอื่นก็…สมบูรณ์แบบนั่นแหละ
ตอนนั้นเธอรวบผมยาวสลวยแล้วผูกผมไว้หลังต้นคอแล้วจะปัดผมเป็นระยะๆไว้ด้านหลังใบหู สายตาของเธอเพ่งไปที่งานตรงหน้าขณะหั่นขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะและท่าทางคล่องแคล่วเป็นเรื่องเป็นราว
อันที่จริง เธอคงทำอาหารกินที่บ้านอยู่แล้วส่วนผมก็จะซื้อข้าวกล่องที่ร้านสะดวกซื้อและคิดว่ามันไม่ใช่เพราะผมเห็นแก่เธอคนเดียว
ไม่ว่าจะตาแก่หรือผมก็ตามก็สามารถทำอาหารเองได้ นั่นก็เลยว่าผมไม่รู้สึกจำเป็นต้องเรียนการทำอาหาร
แต่สำหรับอากิโกะซังนั้นไม่ใช่เลย เมื่อดูอาหารที่เธอทำในวันแรกๆที่ได้อยู่ร่วมกัน ผมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเป็นคนทำอาหารให้ครอบครัวมาโดยตลอด
ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือร้ายนะก็แค่เห็นว่ามันเป็นนิสัยของอากิโกะซัง ถึงแม้อากิโกะซังจะไม่ได้ทำอาหารแล้วก็ตาม แต่ผมไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม รู้สึกว่าอากิโกะซังจะทำอาหารให้อายาเสะซังทานตลอดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าด้วยนิสัยแบบนี้ล่ะก็อายาเสะซังคงจำเป็นต้องซื้ออาหารจากที่ร้านแทนเนื่องจากไม่อยากรบกวนแม่ของเธอ อายาเสะซังเลยเรียนทำสูตรอาหารด้วยตัวของตัวเอง นั่นน่าจะเป็นอย่างนั้น
การได้สังเกตและการคิดวิเคราะห์ครบทุกอย่างแล้ว ก็จะนึกภาพของอีกฝ่ายออกได้ในแบบของตัวเอง แน่นอนว่าต้องคิดตอนมันจำเป็นเท่านั้น
“ส่วนอาวุธนี่สิ….”
เธอก็สู้อยู่ตลอดเวลาล่ะนะตอนที่ผมวิ่งหนีอยู่
“เราอยากหางานที่ค่าตอบแทนดีๆให้เธอจริงๆนะ….”
จนสุดท้ายแล้วความคิดของผมก็กลับมาเรื่องนี้อีกครั้งแต่ผมไม่ได้เตรียมแผนไว้ในอนาคตเลย ถ้าคิดต่อล่ะก็ คงหัวร้อนเพราะคิดแต่เรื่องพวกนี้แน่ๆ เริ่มรู้สึกเวียนหัวแล้วแฮะ
ผมจึงขยับตัวออกจากอ่างอาบน้ำแล้วสระผมด้วยแชมพู ทำการชำระร่างกายแล้วเดินไปยังห้องซักผ้า
เครื่องซักผ้ายังอยู่ในโหมดปั่นแห้ง ตอนนี้ปล่อยให้ทำงานไปก่อนแล้วกัน
ผมใส่ชุดบางๆแล้วตัดสินใจที่จะทิ้งความวิตกกังวลไว้เบื้องหลัง ก้าวเดินออกไปตามทางเดินพร้อมรับลมเย็นๆสดชื่นจากแอร์ที่ส่งตรงมาถึงร่างกายอบอุ่นของผม
ผมรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้วฮัมเพลงตอนเดินไปยังห้องนั่งเล่น จนผมพึ่งตระหนักได้ว่าผมไม่ได้เปิดแอร์ตอนกลับถึงบ้านนี่หว่า
มีสองสาวที่อยู่ในห้องนั่งเล่นหันมาทางผม หนึ่งในนั้นก็คืออายาเสะซัง ส่วนอีกคน….นาราซากะซัง? ไหงงั้นล่ะ?
วินาทีนั้นหัวสมองของผมว่างเปล่าหมด
เดิ๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าผม….โอ้ ไม่นะ นี่ผมเผลอฮัมเพลงต่อหน้าพวกเธอใช่ไหม!
ความรู้สึกขายหน้ากระแทกใจผมจนหัวลุกเป็นไฟ ตอนนี้ผมคงจะหน้าแดงอย่างเขินอาย
ไม่ใช่แค่อายาเสะซังที่เห็นผมทำแบบนั้น แม้แต่นาราซากะซังที่เป็นคนแปลกหน้าสุดๆก็เห็นด้วยเหมือนกัน โอ้ พระเจ้า ผมอยากตาย ใครก็ได้ฆ่าผมที
ขาของผมติดแหง็กกับพื้นขยับไม่ออก
ในเวลาเดียวกัน ปากของอายาเสะซังก็เปิดออกแล้วหลุดเสียงว่า ‘อ๊ะ’
“โทษทีนะ จู่ๆมายะก็บอกว่า ‘อยากเล่นที่บ้านซากิจัง’ คือก็อยากปรึกษาก่อนนะแต่พอดีฉันไม่มี Id Line นายน่ะ อาซามูระคุง”
นั่นเป็นสาเหตุที่เธอไม่ได้เตือนผมอย่างงั้นเรอะ อายาเสะซังเดินมาหาผมพร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากจริงนะ บางทีอาจเป็นเพราะเธอเป็นเพื่อนที่ดีอันดับต้นๆเลยก็ได้มั้ง
ดูเหมือนนาราซากะซังก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันแต่เธอก็เปลี่ยนเป็นยิ้มทันที
“โอ้ นั่นใช่โอนี่ซังตามข่าวลือใช่ไหม! นายคืออาซามูระคุงที่อยู่ห้องข้างๆนี่นา!”
เป็นเสียงที่ทรงพลังดีนะ
“นี่ๆ นายรู้จักฉันเปล่า? ซากิได้บอกอะไรนายบ้างไหม?”
“เอ่อ คือ….”
ผมควรตอบยังไงดีเนี่ย
“ได้ยินว่าเป็นคนเข้ากันได้ง่ายล่ะมั้ง”
สำหรับตอนนี้ผมต้องตอบอย่างจริงใจซะก่อน
วินาทีที่เธอได้ยินคำพูดของผมแววตานาราซากะซังก็เปลี่ยนไป ผมรู้สึกราวกับเธอจะพูดเบาๆว่า ‘อา เข้ากันได้ง่ายงั้นเหรอ’
ถึงผมจะเห็นปากขยับก็ตาม แต่ดูถ้าเธอจะทำหน้าจริงจังนิดหน่อยเหมือนติดใจสักอย่าง
ผมคิดว่าอายาเสะซังคงไม่เห็นด้วยหรอก อย่างไรก็ตาม สีหน้านั่นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีพร้อมกับรอยยิ้มตามปกติของเธอ
“ใช่แล้วล้า~! เราเข้ากันได้ง่ายสุดๆเลยล่ะ! งั้นเราลองเข้ากันดูไหม อาซามูระคุง”
“โอเค…ลองเข้ากันดูก็ได้ ว่าแต่มาถึงที่นี่กันไม่ตัวเปียกเหรอ?”
พอมองดูข้างนอก ฝนก็ยังตกพรำๆอยู่ ไม่ถึงขั้นพายุโหมกระหน่ำเป็นแค่ฝนธรรมดาที่วิ่งผ่านหน้าต่าง
“พวกเราสบายหายห่วง! เพราะมีร่มสองคันไงล่ะ!”
“อย่างงั้นเหรอ”
“อืม ถึงแม้ซากิจะบอกว่าลืมร่มก็เถอะ”
“จริงๆมันอยู่ในกระเป๋าของฉันน่ะ บังเอิญว่ามองไม่เห็น”
ดูเหมือนเธอจะตัดสินใจแบบนี้สินะ ก็ยังดีที่มันเป็นแค่ร่มพับธรรมดาๆ เลยไม่รู้ว่าเป็นของผู้ชายหรือผู้หญิง
“ซุ่มซ่ามจังนะ!”
“ได้ยินมายะพูดแบบนั้นรู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้เลย”
“ไหงถึงใช้คำพูดซับซ้อนล่ะเนี่ย! อีกอย่างทุกวันนี้เธอยังแสดงออกแบบนั้นรึไง?”
“มันแปลกเหรอ?”
“ก็แปลกไง! แต่แล้วแต่เลย”
นาราซากะซังกระโจนลงโซฟา
ด้วยเหตุที่จู่ๆเธอก็ขยับตัวแบบนั้น กระโปรงของเธอก็ขยับขึ้นจนอายาเสะซังต้องถอนหายใจ
“มายะ กระโปรง”
“อ๊ะ!”
นาราซากะซังรีบกดกระโปรงลงหลังจากนั้นเธอก็ส่งสายตามาหาผม
ผมไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้นจริงๆนะ
“ซากิ บ้านนี้ อันตราย”
“ไหงตอนนี้ถึงพูดเหมือนหุ่นยนต์ล่ะเนี่ย?”
“ก็มีผู้ชายไง!”
“อาซามูระคุงไม่เหมือนผู้หญิงเรอะ”
“แต่เขาเป็นผู้ชายนะ!”
“แล้วไงล่ะ?”
“อันตรายไง! เธอเดินไปไหนมาไหนใส่แค่ชุดชั้นในไม่ได้แล้วนะ!”
“ฉันไม่เดินไปไหนมาไหนแบบนั้นอยู่แล้ว หรือว่าแกจะทำอยู่ที่บ้านรึไง?”
“ไม่อยู่แล้ว! ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ”
นาราซากะซังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรียกแบบนั้นอีกแล้วนะ”
“ร-เรียกอะไร?”
“เรียกฉันว่า ‘แก’ ไงล่ะ”
นาราซากะซังพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“ ! ”
อายาเสะซังลืมตัวอย่างเห็นได้ชัดแล้วเริ่มหน้าแดง
“แหมๆ พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ”
“เธอไม่ใช่พ่อฉันนะ!”
อายาเสะซังเถียงกลับอย่างเต็มกำลัง
อย่างนี้นี่เอง ปกติแล้วเธอจะเรียกคนอื่นด้วยคำว่า ‘แก’ สินะ
“เธอเรียกแบบนั้นมาสักพักแล้วน้า~”
“ใช่เหรอ?”
“ใช่แล้วล้า~”
“ไม่เห็นจำได้เลย”
“แต่ฉันจำได้แม่นเลยนะ!”
“ลืมๆไปเถอะน่า”
“ไม่เอาด้วยหรอก!”
นาราซากะซังพูดอย่างอมยิ้ม
ผมไม่คิดว่าเธอจะอมยิ้มเพราะวิธีการพูดของเธอหรอกนะ แต่มั่นใจว่าเป็นเพราะสามารถมองข้างในอายาเสะซังออกซะมากกว่า
บนโลกใบนี้มีคนมากมายเข้าใจผิดว่าปรากฏการณ์นี้จะทำให้ใกล้ชิดกันมากพอๆกับรู้สึกสบายใจอีกคน และเริ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างห้าวๆเพื่อจะได้ดึงดูดความสนิทกันแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม วิธีการพูดห้าวๆกับคนอื่น มันก็ยังหยาบคายไม่มากก็น้อย
ดังนั้นตั้งแต่ที่เราต่างเรียกกันเองว่าอายาเสะซังกับอาซามูระคุง เราทั้งคู่ก็เผอิญตกลงกันอย่างไม่รู้ตัว
ด้วยวิธีนี้พวกเราก็จะไม่สบประมาทกันและเปิดใจคุยกันเป็นกันเองได้ง่ายขึ้น ในระหว่างนั้น ดูเหมือนนาราซากะซังน่าจะไม่ใช่คนที่จะพลาดอะไรแบบนี้ หรือว่าจะใช่นะ? เพราะผมก็ไม่ได้คุยกับเธอเยอะพอที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้
แต่ถ้านาราซากะซังเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ผมก็แอบสงสัยว่าทำไมอายาเสะซังถึงขอมาที่บ้านล่ะ
ผมจึงด่วนสรุปว่าเธอน่าจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือได้ จากการควบคู่ระหว่างการสังเกตและการคิดวิเคราะห์ที่แข็งแกร่งที่สุดของผม
“แล้วที่สำคัญเลยนะ! โอนี่จัง!”
“อ-โอนี่จัง?”
เมื่อกี้นาราซากะซังเพิ่งเรียกผมว่า ‘โอนี่จัง’ กับ ‘อาซามูระคุง’ ใช่ไหม? รู้สึกเสียวสันหลังวาบกับคำๆนั้นเลย
“ไหงจู่ๆถึงอายล่ะ โอนี่จัง!”
“อย่างแรกเลย ผมไม่ใช่พี่ชายเธอนะนาราซากะซัง….”
“เอาเถอะน่าพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ เรียกฉันว่ามายะก็ได้”
“ผมไม่เอาหรอก! แถมเธอกับผมยังเป็นคนแปลกหน้ากันไม่ใช่เหรอ?”
“อย่าสนเรื่องยิบย่อยเลยโอนี่จัง! โอนี่จังควรดีใจที่ฉันเรียกแบบนี้นะ!”
“ไม่เลยสักนิด”
ผมคิดว่าคนอื่นๆคงชอบเรื่องแบบนี้กันแต่ผมไม่ได้รู้สึกพิเศษขนาดนั้น ถึงแม้นาราซากะซังจะดูเหมือนสัตว์ตัวน้อยๆที่ชอบเรียกร้องความสนใจก็ตามแต่ไม่คิดว่าเธอจะใจร้อนซะขนาดนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีนิสัยทำตัวน่ารำคาญกับพี่ชายของเพื่อนนะ
“….หยุดเถอะ….”
ผมได้ยินเสียงแผ่วเบาจากอายาเสะซังที่ก้มหน้าพึมพำอยู่
“หืม? มีอะไรเหรอซากิ?”
“….อาย”
“ว่าอะไรน้า~”
“นี่มันน่าอายไปแล้วนะ ช่วยหยุดทีเถอะ! พอได้ยินคำว่า ‘โอนี่จัง’ รู้สึกขนลุกเลย! ขอร้องล่ะช่วยหยุดที!”
“อะไรกัน ยอมแพ้ง่ายจัง”
อ๋อ เข้าใจแล้วมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“ที่จริงแล้วนาราซากะซังกะจะแกล้งผมจนกว่าอายาเสะซังจะอายด้วยใช่ไหม?”
“ฮ่าๆๆๆ…ถูกต้องแล้วล่ะ!”
“อย่ามา ‘ถูกต้อง’ กับฉันนะ”
อย่าชี้มาที่ผมแบบนั้นสิ อีกอย่างอย่ามาชี้คนมั่วซั่วนะ
“ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้ฉันว่าฉันเลิกแกล้งโอนี่จังดีกว่า”
“ช่วยหยุดตลอดไปด้วยนะ”
“น่าเสียดายจัง นี่ ซากิ เราลองเรียก ‘โอนี่จัง’ พร้อมกันมั้ย เอาล่ะ นึง ส่อง—!”
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น!”
“อะไรกันล่ะ นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะเข้ากับเขาได้จริงๆนะ แถมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเธอด้วย!”
“ช่วยหยุดจัดแจงชีวิตคนอื่นเขาจะได้ไหม…แล้วมีเรื่องอะไรล่ะที่อยากทำที่นี่?”
นาราซากะซังจึงเปิดกระเป๋ากีฬาที่อยู่ใต้โต๊ะแล้วหยิบอะไรสักอย่างออกมา
“มาเล่นนี่กันเถอะ!”
“เครื่องเกม?”
“นาราซากะซัง ไม่ใช่ว่าพกเกมที่โรงเรียนมัน….”
“เขาไม่ได้ห้ามนะ แค่ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นน่ะ”
มันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ?
แต่พอผมลองถาม เธอก็บอกว่าตราบใดที่ไม่ได้เล่นในคาบก็สามารถพกติดตัวไว้ได้ ถึงแม้ในคาบมันเกิดให้เห็นอยู่บ่อยๆ เพราะมีคนบังให้ล่ะนะ
สำหรับเจ้าตัวเครื่องเกมเครื่องนี้ ปัจจุบันกำลังเป็นกระแสนิยมที่เพิ่งเปิดตัวออกมา
“ซากิ เธอบอกว่าไม่มีเครื่องนี้ใช่ไหม?”
“อืม ฉันไม่มีน่ะ”
“อยากเล่นด้วยกันจัง งั้นขออนุญาตต่อเข้าทีวีได้เปล่า?”
นาราซากะซังพูดขณะชี้ไปที่ทีวีจอแบนขนาด 50 นิ้วที่หันไปทางโซฟา
“….ได้สิ”
“ฉันพอมีเกมที่เล่นด้วยกันได้ด้วยล่ะ แต่ที่นี่พอมีเน็ตรึเปล่า?”
นาราซากะซังมองมาทางผม
ผมคิดว่าเธอคงขอรหัสไวไฟสินะ
เพราะว่าการขอรหัสไวไฟ มันเป็นเรื่องมาตรฐานเมื่อไปเยี่ยมบ้านคนอื่นอยู่แล้ว ผมจึงไม่รีรอแล้วยินยอมไป
อายาเสะซังก็ยื่นบันทึกช่วยจำที่มีรหัสผ่านอยู่ข้างใน หลังจากตั้งเครื่องทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว นาราซากะซังก็กลับมาที่โซฟาแล้วมองผม
“อยากมาร่วมวงกับเราเปล่าอาซามูระคุง?”
นาราซากะซังถามผมพร้อมกับหยิบจอยเกมออกมา
มีสองอัน ไม่สิ สามอัน อันนึงสำหรับผมงั้นเหรอ? เหมือนที่มารุว่าไว้เลยเธอเป็นคนมีน้ำใจและคอยเอาใจใส่เป็นอย่างดี
บางทีเธออาจจะอยากให้ผมร่วมวงตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ผมจึงเหลือบมองอายาเสะซังแล้วส่งสายตาถามว่าจะเอายังไง
“อืม…ก็นะ ฝนยังไม่หยุดตกเลย อาซามูระคุงก็มาร่วมวงด้วยสิ”
อายาเสะซังขยับตัวไปยังขอบโซฟาทำให้มีที่ว่างพอสำหรับหนึ่งคน
“อ๋อ แสดงว่าอยากให้โอนี่จังนั่งข้างๆด้วยสินะ เข้าใจแล้ว”
“ช่างเถอะ ขอที่ว่างตรงนั้นเพิ่มได้ไหม?”
จากนั้นอายาเสะซังก็กลับไปนั่งที่เดิม
“นั่งตรงกลางเถอะอาซามูระคุง เอาเป็นว่ามีดอกไม้อยู่ในกำมือสองข้างเลยนะ!”
“ผมขอนั่งตรงมุมดีกว่า….”
“ไม่ได้ ฉันไม่ติดกับนายหรอกนะ!”
“ไหงจู่ๆถึงทำตัวเหมือนโซฟาเราเป็นของตัวเองล่ะ มายะ?”
อายาเสะซังถอนหายใจต่อหน้ามายะที่ตัวติดกับโซฟา
“เอาอย่างนั้นก็ได้ เดิ๋ยวผมนั่งตรงนั้นละกัน”
ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วแฮะ
ผมก็เลยนั่งกลางโซฟา จำไว้ด้วยนะว่าผมกับตาแก่เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนนะ
แล้วโซฟานี่ไม่ได้ใหญ่อะไร มีสองสาวอยู่ด้านซ้ายด้านขวาผมห่างกันไม่กี่นิ้ว ผมจะใจเย็นลงได้ไงล่ะเนี่ย นี่ก็เกินไปนะ
“กลิ่นหอมจังนะ อาซามูระคุง นี่เป็นกลิ่นแชมพูของครอบครัวอาซามูระงั้นเหรอ แปลว่าซากิก็ด้วยสิ”
“ฉันไม่ได้ใช้อันเดียวกันตามสามัญสำนึกอยู่แล้วนะ”
เรื่องแบบนี้ก็เป็นสามัญสำนึกด้วยเรอะ
ผมไม่เคยคิดจะใช้สบู่แชมพูนอกจากตาแก่ของผมเลยนะ สงสัยต้องเก็บไปคิดตอนซื้อของครั้งหน้าแล้วล่ะ
“ฉันก็เป็นเด็กม.ปลายแล้ว ก็ต้องซื้อของของตัวเองอยู่แล้วไง”
อายาเสะซังพูดราวกับอ่านความคิดผมออก
“งั้นเริ่มเล่นเลยน้า~!”
นาราซากะซังพูดและคุมจอย
ระหว่างที่ผมมองจอ เสียงเพลงสนุกๆก็เล่นขึ้น
ถึงโซฟาตัวนี้ผมจะคุ้นชินกับมันอยู่แล้ว แต่นี่เป็นประสบการณ์ที่รู้สึกอึดอัดใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอเลย
ระหว่างที่ผมคิดแบบนั้น ผมก็นึกคำพูดของอายาเสะซังออกที่พูดว่า ‘โซฟาเรา’
คำพูดนั่นทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้มเล็กน้อย
จากนั้นเครื่องเกมก็ทำงาน ดูเหมือนกำลังเช็คไฟล์เกมล่าสุดอยู่แต่ไม่พบเจออะไรและเกมก็เริ่มต้นขึ้น
“นี่มัน…น่ากลัวไปไหมอ่ะ?”
อายาเสะซังถาม ความเครียดปะปนอยู่ในเสียงของเธอเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน้า~ ก็แค่เกมน่ารักๆเกมนึงเหมือนเกมพัซเซิลน่ะ! เธอลองขยับเจ้าตัวยึกยือนั่น ระหว่างที่จับมือกันไว้เดิ๋ยวก็ผ่านเส้นชัยเองล่ะ”
นาราซากะซังชี้ไปที่จอโดยเฉพาะตัวละครที่ดูไม่มีเค้าโครงกระดูก
ตัวละครของนาราซากะซังก็พุ่งทะยานบนอากาศจากการกดเล่นจอย หมุนตัวไปมาและตกลงบนหนามที่วางอยู่กับพื้น เลือดสาดออกนอกตัวยึกยือนั่นแล้วร่วงตกแมพด้วยเสียงกรีดร้อง
“เห็นเปล่า นั่นคือวิธีตายน่ะ”
“แสดงว่าเป็นเกมน่ากลัวสินะ”
“ก็บอกว่าไม่ใช่น่ะ! จริงๆก็ผ่านด่านนี้ได้ มันก็แค่น่ากลัวตอนพลาดเอง เอาล่ะ อาซามูระคุงถือไว้นะ”
“อ-โอเค”
ผมได้รับจอยมา
“ฟังนะ เราจะต้องร่วมมือกันตรงนี้ นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราทำงานกันเป็นทีมเลยนะ!”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ลืมๆไปเถอะ! ไปกั๊น!”
พวกเราตายกันเป็นพันรอบ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เล่นเกมนี้ก็เลยไม่มีทางเล่นเก่งอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นนาราซากะซังก็ฉลองทุกครั้งเมื่อตัวละครผมตกตาย แถมยังทำเป็นให้กำลังใจโดยแกล้งเขย่าไหล่ผมจนผมเล่นพลาดเยอะขึ้นไปอีก
มันก็แอบหวั่นๆว่าเธอจะอยู่ใกล้ผมแค่ไหนกันเพราะผมรู้สึกว่าเธอเหมือนเป็นน้องสาวจริงๆมากกว่าน้องสาวต่างแม่ซะอีก
“เฮ้อ สนุกจังน้า!”
พอเราเล่นกันเสร็จฝนก็หยุกตกพอดี นาราซากะซังก็กลับบ้านด้วยท่าทางพอใจ
“ขอโทษที่เธอน่ารำคาญด้วยนะ”
อายาเสะซังกลับมาหลังจากแยกกับนาราซากะซังที่ทางเข้าอพาร์ตเมนต์ แล้วพูดอย่างนั้น
“อืม ไม่เป็นไรหรอก”
“คือ….”
เหมือนอายาเสะซังดูลังเลที่จะพูดออกมาทำให้ผมประหม่าเล็กน้อย
“พวกเรา…แลก Line กันไว้ดีไหม? จะได้แน่ใจว่าไม่มีเรื่องร้ายๆแบบนี้เกิดขึ้นอีกน่ะ”
“อ-อ่า อืม ได้สิ”
ผมไม่คัดค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว แท้จริงมันก็เพื่อกันความโชคร้ายทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นแถมพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่เห็นแปลกเลยสักนิด
พอผมเปิดหน้ารายชื่อเพื่อนก็เห็นโปรไฟล์ของอายาเสะซัง
เธอใช้รูปถ้วยชาเก๋ๆรูปนึง ดูเหมือนอายาเสะซังจะเลือกรูปที่บอกไม่ได้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งเหมาะกับเธอดี
“ผมว่านี่ก็เป็นอาวุธเหมือนกัน….”
“พูดว่าอะไรนะ?”
หลังจากแลก Id Line กันเสร็จอายาเสะซังก็เดินไปที่ห้องครัว ซึ่งเรียกผมจากตรงนั้น
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“งั้นเหรอ อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้วล่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
เสียงหั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ได้กลิ่นซุปมิโซะจางๆมาเตะจมูกผม
ผมนึกเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปวันนี้ ความจริงแล้ววันนี้เป็นวันที่ผมวิ่งไปช่วยอายาเสะซังระหว่างไปโรงเรียน วันนี้เต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย
ผมมองอายาเสะซังระหว่างฝึกซ้อมที่ได้สนุกกับนาราซากะซัง ถึงผมจะมีร่มอยู่แล้วแต่ก็ลงเอยโดยการเปียกฝน ตอนที่ทั้งสองคนได้ยินผมฮัมเพลงเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของวันนี้เลยและแม้กระทั่งตอนที่เราได้เล่นด้วยกัน ผมก็ไม่ได้แสดงฝีมือเก่งกาจให้นาราซากะซังดู
แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกพอใจอย่างน่าประหลาดเมื่อปิดจอโทรศัพท์ลง เหมือนผมได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เยอะแยะเลยในวันนั้น