ด้วยการการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าผมจึงถูกจุ่โจมไปด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเหมือนรอดผ่านไปอีกวัน น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เรื่องราวสมบูรณ์พูนสุขแต่อย่างใดแต่กลับเป็นความจริงที่แสนอันโหดร้าย
ตอนนี้คนเขียนคงเห็นว่าเหตุการณ์ในวันนี้น่าจะเพียงพอสำหรับหนึ่งวันแล้วและข้ามไปวันถัดไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็น่าเศร้าที่วันนี้ผมนั้นยังไม่ได้รับการปล่อยตัวหลังจากผ่านเหตุการณ์เข้มข้นอันแรกมา
ทั้งความรู้สึกของอายาเสะซังและความรู้สึกของผมก็ถูกมองข้ามไปอย่างสมบูรณ์แบบเนื่องจากพวกเราถูกบังคับให้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง
และแล้วก็ถึงช่วงของคาบวิชาพละ วันนี้ในคาบแรกเป็นการฝึกซ้อมแข่งเทศกาลกีฬาบอลอีกครั้งที่สนามเทนนิส อย่างไรก็ตาม มันก็มีจุดแปลกจุดหนึ่งที่ต่างจากครั้งที่แล้ว
“ย้าาาาาาาาาาก!”
“มายะ ตีสูงไปแล้วนะ”
จากสนามใกล้ๆ ผมได้ยินเสียงนาราซากะซังส่งเสียงกรี๊ดสูงปรี๊ดพร้อมกับตอบโต้ความเย็นชาจากนักเรียนหญิงคนหนึ่ง มีเพียงเธอคนนี้เท่านั้นที่ปัจจุบันกลายเป็นน้องสาวต่างแม่ของผมที่รู้จักเป็นอย่างดี
พอเทียบกับครั้งที่แล้วตอนที่เธอพิงรั้วเหล็กฟังเพลง—หรือฟังสื่อการสอนอยู่ ตอนนี้อายาเสะซังกำลังตีเทนนิสกับนาราซากะซัง
ผมไม่รู้ว่าอะไรไปกระตุ้นให้เธออยากเล่นจริงๆจังๆกับเพื่อน แต่ตอนนี้เธอกำลังใส่ชุดพละและแสดงฝีมือด้วยไม้เทนนิส
“——ยยยย………มูระ”
เธอมีผมสีบลอนด์ยาวมัดม้วยด้วยผ้าผูกผมและไว้ผมหางม้าที่ปลิวไสวไปกับการเคลื่อนไหว
แขนเปล่าที่เผยให้เห็นอย่างเด่นได้ชัดเฉกเช่นเดียวกับต้นขาของเธอ ในระหว่างที่เธอส่งบอลได้อย่างเฉียบขาดกล้ามเนื้อของเธอก็กระชับขึ้นทุกย่างก้าวเผยให้เห็นการขยับที่ไม่มีความจำเป็น
“—เฮ้ยยยยย…มอง…อยู่…ซามูระ”
มือสมัครเล่นอย่างผมคงแยกไม่ออกว่าเธออยู่ในระดับเบื้องต้นหรือเข้าข่ายเป็นมือโปรกันแน่ แต่เธอก็ได้รับความสนอกสนใจจากผู้คนรอบข้างเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าตั้งแต่ที่ผมมองดูเธอคงไม่ใช่แค่ผมหรอกที่จะกล้าพูดแบบนั้นแต่ผมว่าการจับทั้งชายทั้งหญิงมาเรียนพละด้วยกันนั้นมันทำให้สติเตลิดไปเลย
ผมพยายามที่จะละสายตาแต่ฝีมือการเล่นของเธอนั้นช่างมีเสน่ห์จนผมอดไม่ได้ที่จะจ้อง—
“เห้ย อาซามูระ!”
“เอ๊ะ?…ว้า!”
เสียงที่มาจากความโกรธจัดของเพื่อนผม ผมจึงเห็นเงากลมๆเข้าใกล้หางตาและเมื่อผมง้างไม้เทนนิสไว้ตรงหน้าลูกเทนนิสก็พุ่งเข้าใส่ ผมจึงเหวี่ยงไม้แล้วโดนฟาดเข้าหน้าผากอย่างจัง
“นายมองอะไรอยู่ฟะนี่ไม่ใช่ลูกเบสบอลนะเห้ย โดนฟาดแบบนั้นมันอันตรายนะ”
นักเรียนที่วิ่งมาหาผม—เจ้าเพื่อนมารุ โทโมคาซุหยิบลูกเทนนิสตรงเท้าของผมและเอาไม้เทนนิสแตะไหล่ผมเบาๆ มัวแต่ทำเป็นเก๊กนะ เจ้าบ้านี่
จะว่าไปถ้าหากสงสัยว่าทำไมเจ้ามารุถึงอยู่ที่นี่ได้ทั้งๆที่เล่นกีฬาอื่นอยู่แล้ว ก็เพราะว่าผู้เล่นฟุตบอลได้ขอสัญญาใช้สนามฝึกซ้อมครั้งสองครั้งเลยทำให้มาเล่นที่นี่แทน
แน่นอนว่ามันก็มีข้อจำกัดที่จะสามารถเล่นที่นี่ได้แต่แทนที่จะไม่ได้ฝึกอะไรเลยจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงดีใจได้เล่นที่นี่
“โทษที เผลอสติหลุดไปน่ะ”
“หลงเสน่ห์เธอรึไง”
“อยากโดนเกลียดใช่ไหมถึงพูดโพล่งความจริงแบบนั้น?”
“ก็อาจจะแต่นั่นมันชีวิตทั้งชีวิตเลยนะ ฉันไม่สนเรื่องพรรค์นั้นหรอก”
นั่นก็เลยว่าแคชเชอร์ถึงเหมาะกับนายสินะถึงให้ความรู้สึกหนักแน่นแบบนั้น มารุแอบมองพวกเธอที่กำลังเล่นเทนนิสโดยเฉพาะ
“อายาเสะรึไง? ฉันบอกนายแล้วไงว่าให้ตัดใจ….”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
ก็จริงที่ผมแอบมองอายาเสะซังแต่เธอเป็นน้องสาวของผมนะ ผมพยายามใช้คำพูดในแบบที่เธอไม่ใช่คนที่ผมสนใจหรือมีความรู้สึกให้ แต่ดูเหมือนมารุจะเข้าใจผิดในจุดๆนั้น
“งั้นนาราซากะเรอะ ก็ไม่แย่ถ้าจะพูด”
“ก็บอกว่ามันไม่ใช่ไง”
“อย่ากังวลไปเลยหนุ่มน้อยอาซามูระ ฉันแนะนำนาราซากะนะ เธอเป็นคนไฟแรงเป็นที่ยอมรับในสายตาสังคม มีผลการเรียนดีแล้วสอบเข้าวาเซดะ*ง่ายๆด้วย เป็นคนๆนึงที่ทรงคุณค่าเลยนะ”
*(TL Note: วาเซดะเป็นมหาลัยอันดับต้นๆของญี่ปุ่น)
“นายรู้เยอะดีนี่”
“ก็ฉันได้ข้อมูลเกี่ยวกับเธอมาเยอะไงถึงจะเทียบกับอายาเสะก็ตามแต่ปัญหาเดียวก็คือมันมีพวกผู้ชายเล็งรอเธอไว้จนนายฉวยโอกาสไม่ได้นี่สิ”
นี่เราตาฝาดรึเปล่าหรือเจ้ามารุมันพูดพล่ามถึงนาราซากะซังเร็วซะขนาดนั้น? จริงๆผมอ่านความรู้สึกของหมอนี่ภายใต้กรอบแว่นตาไม่ได้เลย
ในชั่วครู่นั้น ผมคิดว่าหมอนี่คงแอบชอบเธอรึเปล่าแต่ไม่ยักจะเห็นพยายามตามจีบเธอคนนั้นจริงๆ ดังนั้นผมหยุดคิดเรื่องนี้ดีกว่า
“ฉันไม่ได้มองเธอแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าเป็นงั้นฉันคิดว่าคงชนะศึกไม่ได้หรอก”
“ฮ่าๆ ก็บางทีนะ”
“ไม่แม้แต่จะคิดตามเพื่อนเลยรึไง?”
“นาราซากะเก่งในเรื่องดูแลคนอื่นนะ คือเธอยังเล่นเทนนิสกับอายาเสะคนนั้นด้วยเลย”
“รู้สึกว่าเธอจะสนใจแต่ผู้ชายที่ขยันขันแข็งและไว้ใจได้เลยนะ”
“ไม่ ตรงกันข้ามเลย เธอหลงเสน่ห์พวกผู้ชายไร้ค่ามากกว่า”
“แสดงว่าที่นายบอก ฉันก็มีโอกาสน่ะสิ?”
“….ตอนนี้เริ่มคิดจริงจังแล้วรึไง?”
มารุจ้องผมอย่างสงสัย ผมว่าผมซื่อสัตย์กับตัวเองพอตัวแล้วนะไม่รู้ว่าทำไมหมอนี่ถึงส่งสายตาแบบนั้น
“อาซามูระ นายไม่ใช่คนดีอย่างที่คิดเลยนะ”
“คิดว่าฉันแย่กว่าที่คิดรึไง?”
“นายน่ะมองโลกในแง่ร้ายโคตรๆเลย….”
มารุถอนหายใจอย่างดังต่อหน้ารอยยิ้มเจื่อนของผม สิ่งที่ตามมาก็คือถ้อยคำที่เหมือนมาจากแม่บ้านที่โอบอ้อมอารี
“ดูจากช่วงอายุของนายแล้วแน่นอนว่านายน่าจะเด่นในเรื่องความฉลาดนะ ฉลาดหลักแหลมด้วย”
“ห-หา รู้สึกขยะแขยงชะมัดพอโดนชมซึ่งๆ หน้าแบบนั้น”
“อย่าห่วงไปเลย ฉันกำลังบอกเหตุผลว่าทำไมนาราซากะถึงไม่เหลียวมองนายไง อย่างการที่ฉันดูถูกนายน่ะ”
“บางทีนายก็ลองหาวิธีอื่นนอกจากการชมหรือดูถูกจะได้ไหม?”
ผมชอบวิธีไม่อ้อมค้อมของมารุอยู่ตลอดนะแต่ก็มีบางครั้งบางคราที่การหักห้ามใจจะเป็นภัยร้าย
แล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องโอกาสที่ผมจะเข้ากันกับนาราซากะซังเลยเพราะว่าผมไม่ได้สนใจแต่แรกอยู่แล้ว
“……………อืม”
สายตาของผมหันไปทางพวกเธอสองคนที่เราพูดถึงกัน เห็นได้ชัดเลยว่าอายาเสะซังจับสายตาของผมได้แล้วจ้องผมจากระยะไกลซึ่งเกิดขึ้นเพียงแค่แว็บเดียว อย่างไรก็ตาม เธอก็รีบเบี่ยงหน้าหนีทันที
จริงด้วย การสบตากันเป็นเวลานานอาจทำให้คนอื่นสงสัยได้จึงเป็นสิ่งที่ควรทำสินะ ยังไงซะมีอยู่คนหนึ่งที่จับช่วงเวลาผ่านๆนั้นได้ก็คือนาราซากะ มายะ
ผมเข้าใจแล้วว่าเธอคนนั้นเป็นคนที่ดูแลเก่งจริงๆ เริ่มจากความสามารถในการอ่านอารมณ์ของเธอ เธอสามารถจับการกระทำของอายาเสะซังได้โดยพริบตา จากนั้นก็มองตามจนเห็นผมกำลังมองดูพวกเธอ
แต่แล้วเธอก็เอียงคออย่างสงสัยเหมือนมีคำถามผุดอยู่ในใจ อืม ผมเห็นแล้วว่าเธอน่ารักจริงๆ ฟังดูมีเหตุผลดีว่าทำไมมารุถึงได้ยกย่องเธอ
แต่ผมก็ไม่ควรมองดูไปตลอด ผมจึงเบี่ยงหน้าไปอีกทางด้วยความตื่นตระหนก
“ไหงนายถึงไม่มองเธอแบบนั้นล่ะ?”
“ก็มันไม่ใช่แบบนั้นไง”
“หืม อาซามูระก็เป็นผู้ชายสินะ”
“ฉันว่าวิธีการพูดของนายชักทำให้เข้าใจผิดหลายๆเรื่องแล้วนะ”
“ความกามตัณหาของเด็กม.ปลายมันซับซ้อนจริงน้า”
“เลือกคำได้ห่วยแตกเข้าไปอีก!”
“ฉันไม่คิดเลยนะว่านายจะหมกมุ่นกับความหื่นซะขนาดนี้ แต่ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มันอยู่ในหัวของนายฉันก็ไม่ตัดสินหรอก”
นายเข้าใจหมดเปลือกแล้วใช่ไหมถึงแกล้งเรื่องพวกนี้เนี่ย
“ก็ได้ๆ ขอบคุณที่ช่วยแก้ข่าวเข้าใจผิดแล้วกัน”
ผมถอนหายใจและยักไหล่ให้
อีกอย่าง ผมไม่สามารถเถียงกลับได้ก็เพราะพวกเธอทั้งสองคนจับสายตาของผมได้
“เสร็จยัง?”
“อืม เสร็จแล้ว มาซ้อมกัน”
ในเวลาที่เหลือผมตั้งสมาธิและมุ่งไปที่การฝึกซ้อม
คาบเรียนของฝั่งนักเรียนหญิงได้เลิกก่อนเวลาแปบนึงและพอผมเหลือบมองสนามข้างๆ ก็เหลือเพียงแค่ลูกเทนนิสลูกเดียว
พร้อมกับเสียงกริ่งที่ดังขึ้นราวกับท้องฟ้ารั้งมันไม่ไหวอีกต่อไป หยาดน้ำฝนตกลงบนพื้นสนาม พื้นเริ่มเปียกแฉะไปด้วยสีน้ำตาลอ่อนๆอย่างรวดเร็ว
“เห้ย ฝนตกแล้ว อาซามูระ เร็วเข้า” มารุเรียกผม
“หมายความว่าไง ‘ฝนตก’ เนี่ยนะ เมื่อเช้ายังบอก 60% อยู่เลย”
ที่พูดแบบนั้นก็เพราะผมไม่อยากตัวเปียกอีกแล้ว ผมจึงรีบวิ่งเข้าตึกเรียน
“ไอ้ 40% ก็มากพอแล้วเห้ย! นายคิดว่า 40% มันกระหน่ำบนโลกแค่ไหนฟะ!?”
“ฉันว่าตรรกะนั่นใช้ไม่ได้ผมหรอก”
หรือว่าหมอนี่พูดถึงเรื่องชมรมเบสบอลที่กำลังเดิมพันระหว่างเกมรึไง? อย่างงี้นี่เอง อาจจะเป็นตรรกะคณิตศาสตร์ที่ความหมายของตัวเลขนั่นอาจแตกต่างไปอย่างชัดเจนขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนล่ะมั้ง
“อาซามูระ เร็วเข้า! เริ่มตกหนักแล้ว!”
ก่อนที่ฝนจะเทลงมา พวกเราก็ขึ้นตึกเรียนได้สำเร็จ
มารุหันกลับไปแล้วแหงนมองดูท้องฟ้า
“ร้องดังซะขนาดนี้ สงสัยวันนี้คงฝึกออกกำลังกายแล้วล่ะมั้ง….”
มารุถอนหายใจแล้วซื้ดจมูกตาม
ในระหว่างที่ฝนกระหน่ำลงมา พื้นรอบตึกเรียนก็เต็มไปด้วยสีน้ำตาลเข้ม เสียงฝนที่กระทบหน้าต่างก็ดังขึ้นเรี่อยๆ
“ก็เดือนมิถุนายนแล้วนี่นะ”
“ถึงจะเป็นหน้าฝนก็เหอะ แต่ 40% ก็ 40% ล่ะนะ อยากโดดบ้างจัง”
“แหมๆ วันนี้โดดบ้างจะเป็นไรไป”
ผมฟังมารุบ่นถึงเรื่องอื่นไปเรื่อย พูดตามตรง ดีนะที่ผมพกร่มติดตัวไว้ คงจะกลับบ้านโดยไม่ตัวเปียกละ
และนั่นคือสิ่งที่ผมคิดในช่วงเวลานั้น
**************************************************
MANGA DISCUSSION