Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 11: 10 มิถุนายน (วันพุธ) [1]
10 มิถุนายน (วันพุธ)
โดยทั่วไปแล้ววิธีในการไปโรงเรียนของผมมีสองวิธีพื้นฐานด้วยกัน การเดินหรือไม่ก็ปั่นจักรยาน เพราะระยะห่างระหว่างบ้านกับโรงเรียนมัธยมซุยเซย์นั่นไม่ไกลนัก ดังนั้นผมเลยยังใช้เวลาระหว่างทางได้ แต่ตอนผมมีงานหลังเลิกเรียนผมก็มักที่จะใช้จักรยานยกเว้นตอนที่สภาพอากาศไม่ดีที่จะเดินเอา
เวลามีคำเตือนพายุไต้ฝุ่น วันที่มีหิมะ วันที่ฝนตก หรือแค่รายงานว่าอาจมีฝนตก ผมก็จะไม่ฝืนและเดินด้วยเท้า
มีครั้งหนึ่งที่ผมเลือกที่จะขี่จักรยานทั้งๆ ที่ฝนมันตกมาแล้ว ผลคือมันทำให้ผมป่วยในวันถัดไป
จะไม่ทำพลาดซ้ำสอง ด้วยความตั้งมั่นนี้ผมจึงไม่พึ่งพาจักรยานและพกร่มติดตัวไว้ตลอดในวันที่ฝนอาจตก
พยากรณ์อากาศวันนี้ระบุว่าโอกาสที่ฝนจะตกนั่นอยู่ที่ 60% และมีเมฆครึ้ม ผมกำลังรีบเดินอย่างรวดเร็วและเมื่อสายตาของผมได้หยุดไปอยู่ที่จุดๆ หนึ่งท่ามกลางฝูงคนที่กำลังรออยู่ที่สี่แยกไฟแดง ผมสีบลอนด์ส่องประกายระยิบระยับเข้ามาที่ตาของผม-อายาเสะซัง ผมสามารถรู้ได้เลยแม้จะมองจากด้านหลัง
เธอใส่หูฟังที่สายนั้นยาวลงไปในชุดของเธอ เธออาจจะกำลังฟังเพลงผ่านสมาร์ทโฟนในกระเป๋าของเธอ คล้ายๆกับตอนที่อยู่ในคาบพละหรือว่าเธออาจจะแค่ชอบดนตรีอย่างนั้นหรอ? ผมเดาว่าสิ่งที่ชีวิตที่เรียกว่าแกลนั้นชอบฟังดนตรี พวกเธอราวกับเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับผม ไม่มีทางที่ผมจะรู้เรื่องอะไรพวกนี้แน่แต่ที่มั่นใจก็คือเธอจะไม่มีทางฟังเพลงอนิเมะหรือพวกเพลงคันทรีแน่นอน
ในชั่วขณะหนึ่งผมคิดที่จะทักเธอแต่ผมก็ได้ฝังความคิดนั่นทันที เหตุผลที่เราออกจากบ้านคนละเวลาก็เพื่อทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราแพร่กระจายที่โรงเรียน เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตปกติของเรายังคงอยู่เหมือนตอนก่อนที่พ่อแม่ของเราจะแต่งงานใหม่ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจปฏิบัติตามกฎของเราและเรียกหาเธอระหว่างทางไปโรงเรียนที่ซึ่งนักเรียนคนอื่นๆ อาจสังเกตเห็นได้
อย่างไรก็ตามสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผู้คนยังไม่เคลื่อนไหว ผมเองก็ยื่นนิ่งเช่นกัน มีเพียงอายาเสะซังเท่านั้นที่เดินออกไปข้างหน้า
“อายาเสะซัง!”
“เอ๋?”
เสียงของเครื่องยนต์ได้หายไปจากหัวของผม พอๆ กับที่ผมได้ลืมข้อตกลงของเราอย่างสิ้นเชิง ผมไม่สามารถรีรอได้ ถ้าสายแม้แต่วินาทีเดียวบางอย่างมันจะเกิดขึ้น—แม้แต่ความคิดนั้นก็พึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเริ่มออกอาการ
“….!”
ผมดึงแขนเธออย่างรุนแรงทำให้เธอเสียหลักถอยหลัง และเนื่องจากผมไม่ได้รับการฝึกฝนเฉพาะทางในด้านของความแข็งแกร่ง
ผมเลยไม่สามารถยืนหยัดกับน้ำหนักของผู้หญิงที่โตเต็มวัยแล้วได้ ด้วยเหตุนี้ ทั้งผมและอายาเสะซังจึงล้มลงไปกับพื้นตรงหน้าทางม้าลาย ก่อนหน้าที่สายตาของเราจะเห็นรถขนาดใหญ่ผ่านไปหลังจากได้รับอนุญาตให้ออกตัวด้วยสัญญาณไฟจราจร ผมเห็นความตายของเธออยู่ตรงหน้า ไม่ใช้เรื่องตลกแล้ว ถ้าผมช้ากว่านี้ไปซักวินาทีเธอจะต้องตาย
“…..”
อายาเสะซังและผมมองหน้ากัน ไม่พูดอะไรซักคำ มันเหมือนกับว่าเวลาเคลื่อนที่ช้าลงกว่าปกติเหมือนกับเหงื่อมันไหลออกมาจากทุกรูขุมขนของผม ในขณะที่คนอื่นๆ รอบๆ ข้างเราแสดงอาการกังวลใจออกมา ผมยืนขึ้นและดึงแขนของอายาเสะซังเพื่อบังคับให้เธอยืนขึ้น
“ช่วยมากับผมสักหน่อยได้ไหม”
“เอ๋…อา…อืม”
เราเดินผ่านฝูงชนและเข้าไปในตรอกด้านหลังที่ไร้ผู้คน สิ่งที่ผมกำลังจะทำคงเป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับอายาเสะซัง ผมเลยตัดสินใจไม่ทำต่อหน้าผู้อื่นแต่ทำในที่เปลี่ยวๆ แทน ผมมองซ้ายมองขวา เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีผู้คนอยู่รอบๆ และเข้าเผชิญหน้ากับอายาเสะซัง
“แค่ตอนนี้”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบแต่ชัดเจน
ผมไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเธอ ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสั่งสอนเธอได้เหมือนกับผมเป็นคนที่ดีไปกว่าเธอ นั่นแหละเหตุผลว่าทำไมเวลาได้ยินข่าวลือว่าเธอขายตัวหรือตอนที่เห็นเธอโดดเรียน ผมจึงไม่ได้ตักเตือนเธอเพราะคิดว่าอายาเสะซังไม่ได้หวังถึงความสัมพันธ์แบบนั้น แต่ยังไงก็ตามเหตุการณ์นี้มันต่างออกไป
“ผมไม่สามารถเมินเฉยต่อความจริงที่ว่าเธอกำลังจะตายได้ ได้โปรดช่วยระวังตัวให้มากกว่านี้ด้วย”
“…ขอโทษ”
ในการเผชิญหน้ากับคำพูดที่สงบและมีเหตุผลของผม อายาเสะซังแสดงสีหน้าลำบากใจ น้ำเสียงของเธอเบาลงกว่าปกติเมื่อเห็นปฏิกิริยานั้นผมก็อ้าปากค้าง
“อา…ทางนี้ก็เหมือนกัน ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันฟังเหมือนอวดดีหรืออะไร”
“ไม่ล่ะ เป็นมันความผิดของชั้นเพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”
“ทำไมเธอถึงเดินไปที่ถนนแบบนั้น? รถที่กำลังวิ่งมาหาก็มีเสียงดังแถมคนรอบข้างก็ยังไม่ได้ขยับไปไหนเลยด้วยซ้ำ”
“ชั้นกำลังจดจ่อกับการฟังน่ะ…ขอโทษ”
“ฟัง? อ๋อ เพลง? เมื่อก่อนก็ชอบทำแบบนั้นนี่ใช่ไหม ก็ไม่ได้จะบอกให้เธอเลิกฟังหรอกนะ แต่ผมรู้สึกว่ามันน่าจะดีกว่าที่จะหยุดทำแบบนั้นอย่างน้อยก็เมื่อตอนเดินไปโรงเรียนล่ะนะ”
หลังจากทุกอย่างที่พูดไป ผมก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งสอนอยู่
เอาเถอะ ก็เธอกำลังจะตายเลยนี่นะ เรื่องแค่นี้มันเทียบกันไม่ได้หรอก
“เพลง…สินะ…อะ”
อายาเสะซังดูเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ขณะที่เธอเอามือข้างหนึ่งของเธอไปจับที่หู รู้สึกเหมือนกับว่าบางอย่างมันหายไป เธอดูลุกลี้ลุกลนและมองลงไปที่ร่างกายของเธอ ด้วยเหตุนั้นก็ทำให้ผมมองตามไปด้วย หูฟังข้างหนึ่งของเธอยังอยู่ในหูแต่อีกข้างนึงนั้นหล่นลงไปในกระเป๋าของเธอ จากตัวหูฟังนั้นผมได้ยินเสียงเพลง—ก็ไม่เชิง มันฟังเหมือนกับว่าผู้หญิงต่างชาติกำลังพูดประโยคภาษาอังกฤษ
“บทสนทนาภาษาอังกฤษหรอ?”
“…ละ-.แล้วยังไง?”
เธอปิดกระเป๋าแล้วจ้องมาที่ผม
ดูเหมือนว่าเธอจะหน้าแดงด้วย
“ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรนะ แต่…เธอเขินอยู่หรอ?”
“…..”
ผมเห็นไหล่ของเธอสั่น มีเพียงแค่การแสดงอารมณ์ต่างๆ บนสีหน้าเท่านั้นที่หายไป เธอเดินออกจากตรอกค่อยๆ ยืนยันสภาพแวดล้อมรอบๆ ด้วยการมองซ้ายมองขวา จากนั้นเธอจึงเดินข้ามทางม้าลายไป ดูเหมือนว่าเธอจะใจเย็นลงแล้วแต่หูของเธอก็ยังคงแดงอยู่
“เธอต้องการจะฝึกภาษาอังกฤษหรอ”
“…ทำไมนายถึงตามชั้นมา”
“ก็เพราะผมกำลังจะไปโรงเรียนไม่ใช่หรือไง??”
ถึงแม้จะไม่มีเจตนาอะไรก็ตาม ผมก็จำเป็นต้องเดินกับเธอเพื่อไปโรงเรียนอยู่ดี ถึงจะไปพูดอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วนั้นมีเจตนาแอบแฝง บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอพึ่งที่จะหลีกเลี่ยงความตายมาได้และหัวใจของผมมันก็ยังคงเต้นแรงอยู่
ความสามารถในการตัดสินใจอย่างใจเย็นนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิงและผมก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ต้องการเห็นการท่าทีของอายาเสะซังได้ นี่มันอาจจะเป็นแค่ไอ้ที่เรียกกันว่าปรากฏการณ์สะพานแขวนก็ได้แต่ผมไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นที่ลุกโชนในตัวผมได้จริงๆ
อายาเสะซังสุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กีดกันผมออกไป เหมือนกับบอกเป็นนัยว่า “จะทำอะไรก็ทำ” ดังนั้นผมเลยยังเดินต่อไปด้วยความเร็วคงตัว
“มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเรียนของชั้นน่ะ”
“เอ๋ กำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?”
“ก็เมื่อกี้นายถามเกี่ยวกับสิ่งที่ชั้นฟังไม่ใช่หรือไง? สื่อการสอนบทสนทนาภาษาอังกฤษไง”
เธอมองค้อนผมอีกแล้ว
นึกว่าเธอแค่ทำเป็นไม่สนใจผมแต่นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเริ่มมีใจอยากคุยเรื่องนี้แล้ว
“สำหรับการสอบหรอ?”
“นั่นก็ด้วย แต่จริงๆ แล้วเตรียมเอาไว้สำหรับอนาคตล่ะมั้งนะ”
“ติดใจเรื่องสถานที่ทำงานในอนาคตด้วย สินะ”
“ใช่ว่าจะอยู่ในประเทศนี้ตลอดซักหน่อย”
ถ้าผมเป็นคนพูดประโยคนั้น รุ่นพี่โยมิอุริคงต้องล้อผมแน่ๆ แต่กับอายาเสะซังเป็นคนพูดแล้ว มันช่างดูน่าเชื่อถือชะมัด
“แล้วเรื่องแบบนี้มันจำเป็นต้องอายด้วยหรอ”
“มันเหมือนกับว่าชั้นเป็นหงส์ที่พยายามดูสง่างามแต่ใต้น้ำกลับตีขาอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนั้นมันต้องน่าอายอยู่แล้วสิ”
“อ๋อ แล้วนั่นเองก็เป็นการเตรียมตัวสินะ?”
“ใช่”
ด้วยเหตุผลที่จะเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่ง ผู้สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ เธอจึงติดอาวุธให้ตัวเองด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของสาวผมบลอนด์ที่ดูนอกลู่นอกทาง นั่นคือสิ่งที่เธอเคยบอกผมมาก่อน ผมเดาว่าเธอก็น่าจะฟังอะไรแบบเดียวกันในคาบพละเมื่อตอนนั้น ถึงผมจะไม่ชอบไอเดียการโดดเรียนซักเท่าไหร่แต่ในเรื่องของเกรดและการเตรียมสอบ ในทางปฏิบัติแล้วคาบพละถือได้ว่าไร้ประโยชน์และยิ่งถ้าเธอไม่สนใจในงานเทศกาลกีฬาบอลด้วยแล้วการเข้าร่วมไม่ต่างอะไรกับเอาเวลาไปทิ้งเลย
เพราะงั้นเธอเลยใช้เวลานั้นไปกับการเรียนด้วยสื่อการสอนแบบเสียง ทั้งหมดก็เพื่อการเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบ
สามารถทำได้ดีทั้งการงานและการเรียน ยิ่งผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเธอมากขึ้น จิ๊กซอว์มันก็ค่อย ๆ ถูกต่อเข้าหากันและผมก็เห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ
เราโดนออกมาจากถนนสายหลักที่มีตึกเป็นแถวเรียงรายอยู่ด้านหลัง จากนั้นโรงเรียนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาก็ปรากฏออกมาในระยะสายตา จำนวนของคนที่อายุมากกว่าเราหรือพวกคนที่ใส่ชุดทำงานเริ่มลดลงสวนทางกับเปอร์เซ็นต์ของคนที่ใส่ชุดนักเรียนเหมือนเราที่มากขึ้น เป็นสัญญาณการเริ่มต้นของเทศกาลเดินเข้าโรงเรียน แม้ผมจะแน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้รู้จักกันแต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ฉูดฉาดของอายาเสะซัง นักเรียนจำนวนมากจากโรงเรียนระดับสูงนี้ก็พุ่งความสนใจมาที่เรา
“อย่าบอกใครล่ะ……ไว้เจอกันนะ”
อายาเสะซังพูดแล้วเริ่มเดินเร็วขึ้น
บางทีสายตาของคนที่จ้องมองอาจจะมากเกินรสนิยมเธอหรือไม่ก็พิจารณาจากนิสัยที่ผ่านมาของเธอ เธอคงไม่อยากสร้างความไม่สบายใจให้กับผม ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนเราก็ยังคงจะทำตามที่สัญญากับเอาไว้ที่โรงเรียน เราเป็นแค่คนแปลกหน้า
“อา เข้าใจแล้ว”
ผมตอบคำถามจากด้านหลังของอายาเสะซัง
ผมไม่ได้คาดหวังการตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติใดๆ ในความหมายที่ดีอะนะ