Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 10: 9 มิถุนายน (วันอังคาร) [2]
หลังเลิกเรียนผมปั่นจักรยานไปที่ร้านหนังสือที่ผมทำงานพาร์ทไทม์อยู่ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟชิบูย่าที่มีเด็กวัยรุ่นจำนวนมากรวมถึงพนักงานเงินเดือนและนักธุรกิจเพ่นพ่านเต็มไปหมดซึ่งช่วงเวลาพีคๆคือราวๆหกโมงเย็นจนถึงหนึ่งทุ่ม อย่างไรก็ตาม ถ้าผ่านมันมาได้แล้วอะไรหลายๆก็จะสงบลงและจำนวนของพนักงานที่เข้ากะจะเหลือแค่ราวๆสี่คน
และเวลาประมาณสองทุ่มพนักงานสองคนก็จะเข้าช่วงพักเบรคหนึ่งชั่วโมงเหลือผมกับรุ่นพี่โยมิอุริลำพังสองคน รุ่นพี่โยมิอุรุยืนอยู่ด้านหลังเครื่องคิดเงินและหาวออกมาขณะที่ผมกำลังทำท่าทำงานอยู่ตรงชั้นวางหนังสือและหาหนังสือที่กำลังมองหาอยู่
อันดับแรกเลย ผมจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเงิน เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจและการสร้างระบบทุนนิยมให้มากกว่านี้ พูดตามตรงชื่อพวกนี้ทุกชื่อฟังดูคล้ายคลึงกันไปหมดดังนั้นผมจึงแยกไม่ออกเลยจริงๆ ฉะนั้นก็ขอเลือกที่มันพอดูน่าเชื่อถือมาสักหน่อยละกัน ผมอาจจะหยิบพวกนิตยสารที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทำงานที่จ่ายหนักๆและได้เงินง่ายๆการหางานพวกนี้ผ่านมือถือมันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งแต่ว่าผมก็ไม่อยากเจอนายจ้างประเภทที่เป็นคนน่าสงสัยอะไรแบบนั้น และแน่นอนว่าหาในหนังสือนิตยสารเองก็ไม่ปลอดภัยพอๆกัน แต่ว่าระวังไว้ดีกว่าไม่ระวังล่ะนะ
เอาล่ะ เอาหนังสือไปลงทะเบียนดีกว่า……
“นี่ ตอนนี้อยู่ในกะอยู่นะ อย่าอุบอิบหนังสือไว้กับตัวเองสิ”
มีเสียงตักเตือนดังขึ้นพร้อมกับมีคนเอานิ้วมาจิ้มที่ไหล่ของผมซึ่งแน่นอนว่าคือรุ่นพี่โยมิอุริ
“เอ่อ…คือขอโทษครับ”
“ล้อเล่นจ้า! ไม่มีใครสนกฏพรรณนั้นหรอก อย่าใส่ใจชั้นเลยเพราะขนาดผู้จัดการร้านเองก็ยังทำซะเอง ตราบใดที่นายไม่อุบอิบนิยายดังๆที่มันยอดนิยมหรือพวกเล่มออกใหม่ มันก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”
เธออาจจะดูเหมือนกับ “ยามาโตะ นาเดชิโกะ” แต่จริงๆแล้วตัวเธอนั้นเป็นคนที่ผ่อนปรนผ่อนคลายอยู่ตลอดเวลา ผมยังจำได้ว่าเธอมักจะบ่นว่าในวินาทีที่เธอหยุดทำตัวสุภาพเรียบร้อยเมื่อไหร่จำนวนตัวเลขของคนที่มาสารภาพรักกับเธอก็ลดลงฮวบฮาบเลยทีเดียวเชียว
(TL NOTE : ยามาโตะ นาเดชิโกะ คือคำที่ใช้แทนตัวตนของหญิงสาวญี่ปุ่นในอุดมคติ หรือ เป็นคำแทนตัวอย่างของความงดงามที่บริสุทธิ์อะไรทำนองนั้นสามารถ search หาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยจ้า)
และถ้าหากว่าคุณเองก็เป็นผู้หญิงประเภทขอไปทีแบบนั้น ถ้างั้นก็ไปย้อมผมและสร้างความประทับใจกับคนอื่นซะสิ ก็คงจะโดนบ่อยอยู่สำหรับเรื่องนี้ และที่ผมเข้าใจได้ในทางใดทางหนึ่งเธอเป็นคนประเภทที่ตรงกันข้ามกับอายาเสะซังซึ่งมันก็ไร้สาระสิ้นดีเลยเนอะกับการที่มีความคิดทัศนคติคติแบบแผนไปทางทำลายน่ะ
“แล้วรุ่นน้องคุงน่ะ พยายามจะซื้อเรื่องอะไรหรอ?”
อย่าล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผมแบบนั้นได้ไหมครับเนี่ย?
“ปฏิกิริยาแบบนี้หรือว่า……หนังสือโป๊งั้นหรอ?”
“ใครมันจะไปกล้าซื้อหนังสือโป๊ทั้งๆที่กำลังดิ้นรนแทบตายเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับน้องสาวของตัวเองได้กันล่ะครับ!……..นอกจากนี้ผมยังอายุไม่ถึงสิบแปดเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นก็ยังซื้อไม่ได้อยู่ดีครับ!!”
“ถ้างั้นก็ขอชั้นดูหน่อยน๊า……อะไรเนี่ย!”
“อ๊ะ”
เธอเข้ามาฉกหนังสือไปจากผมทันทีที่ผมลดการป้องกันลง
“หืม…..อืม………เห………”
เธอเหลือบมองไปที่ปกหนังสือแต่ละเล่มพร้อมแสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็น
“ชั้นไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่านายกระตือรือร้นอยากจะรวยขนาดนี้ นี่สติสตังของนายยังอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ใช่ไหมเนี่ย?”
“มะ-ไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
ผมปฏิเสธข้อสมมติฐานที่เธอตั้งขึ้นมาทันที
อย่างที่เคยบอกไว้ว่าการที่เปิดเผยคำขอส่วนตัวของอายาเสะซังมันมันจะทำให้ผมรู้สึกแย่ไปเปล่าๆ ฉะนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะพูดในสิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเท่านั้นก็พอ
“พอผมจบ ม.ปลาย ผมอยากจะย้ายออกไปอยู่คนเดียวน่ะครับ นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมอยากหาเงินให้ได้มากที่สุด”
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นนายควรที่จะมานั่งทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่จริงๆอย่างนั้นหรอ?”
บ้าเอ้ย!! พูดเถียงอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ………
“อืม ก็…จำนวนเงินที่มีมันยังไม่พอน่ะครับแถมผมเองก็สนุกกับการที่ได้ทำงานที่นี่ด้วยเพราะว่าผมรักหนังสือถึงแม้ว่าค่าแรงจะไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้นก็ตาม”
“อ๋า……งั้นหรอกหรอ”
“การที่ได้น้องสาวคนใหม่ในตอนที่ผมเองก็อายุขนาดนี้แล้ว ทำให้ผมไม่อยากที่จะอยู่บ้านแบบเป็นครอบครัวน่ะครับ ผมไม่อยากกดดันพวกเขามากจนเกินไป”
“งั้นหรอ?”
เธอแสดงความคิดเห็นออกมาด้วยท่าทางเฉยๆ
“รุ่นพี่สงสัยในตัวผมหรอครับ?”
“ชั้นเข้าใจเรื่องที่ว่าอยากจะยืนด้วยสองเท้าของตัวเองนะ แต่เหตุผลเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวที่ว่ามาน่ะจริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม?”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจัง
ตัวผมถึงกับแปลกใจ
“เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนคนอื่นก็เลยให้เหตุผลแบบนั้นมา………ชั้นไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนที่หาเงินก้อนโตได้เพียงแค่แค่อ่านหนังสือพวกนี้หรอกนะ”
“ขอโทษครับ แต่ก็ดูเหมือนว่าเราจะกระโดดข้ามตรรกะและเหตุผลไปหลายขั้นเลยนะครับ ตอนนี้ผมตามไม่ทันแล้ว ช่วยพูดแบบที่ผมสามารถเข้าใจได้ด้วยทีเถอะครับ”
“คุณน้องสาวที่อายุเท่าๆกันกับนายน่ะมีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทองนะและวิถีชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านั้นก็เหมือนกับการมัดแขนมัดขาของตัวนายเองไว้ยังไงล่ะ”
เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เฉียบคม
อันที่จริงคนที่อยากจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งผมหรือตาแก่ของผมก็คืออายาเสะซังแต่เนื่องจากว่าผมเห็นด้วยกับความคิดนั้นของเธอและคำพูดเหล่านั้นเองก็พุ่งตรงกระแทกใจผมเข้าอย่างใจเลยเช่นกัน
“ทำไมนายถึงคิดว่าเงินเป็นสิ่งจำเป็นล่ะ? ชั้นหมายถึงนายสามารถอยู่ได้โดยไม่มีเงินงั้นหรอ? มันเป็นแบบนั้นจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
“นี่มันคำถามที่ถามแบบขอไปทีรึเปล่าครับเนี่ย? คนเรามันก็ต้องการเสื้อผ้า อาหาร ที่พัก สามสิ่งนี้เป็นปัจจัยความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เราและแต่ละคนเองก็ต้องการเงิน”
นั่นแหละคือระบบทุนนิยม
“หืมมม นั่นสินะ ถ้างั้นลองเอาแบบสุดโต่งดูบ้างละกัน แล้วพวกเด็กที่หาเงินเองไม่ได้เนี่ยจะปล่อยให้ตายไปเลยก็ได้อย่างนั้นรึไง?”
“นั่นมันก็สุดโต่งเกินไปนะครับ”
“ในความเป็นจริงน่ะนะเด็กทารกก็สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องมีเงินก็ได้จริงไหม?”
“ก็ใช่ครับ นั่นก็เพราะพ่อแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้”
“ถูกต้องนั่นก็เพราะว่าได้รับความช่วยเหลือยังไงล่ะ…………..ถ้างั้นแล้วทำไมพวกผู้ใหญ่เองถึงจะใช้ชีวิตแบบนั้นบ้างไม่ได้ล่ะ? มันก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่นา?”
“ผมไม่ยักคิดเรื่องนั้นเลยครับ”
ถ้าทุกคนเอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือกันซะหมดผมแน่ใจว่าสังคมมีหวังล่มสลายอย่างแน่นอน พวกผู้ใหญ่ที่ต้องคอยปกป้องพวกเด็กๆจนกระทั่งคุณเติบโตแล้วสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้สามารถยืนหยัดด้วยสองเท้าของตัวเองได้คุณก็จะได้รับการปกป้องจากสังคมนี้เอง
“ชั้นหมายถึงมันก็มีพวกผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยเลยที่อยากจะกลับมาเป็นเด็กแบเบาะกันอีกอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
“ผมไม่คิดว่าควรที่จะด่วนสรุปเรื่องนั้นนะครับ”
บนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คหรือจะที่ไหนผมก็เห็นผู้คนปฏิบัติกับตัวละคร 2D ราวกับเป็น “คุณแม่” ของพวกเขาจริงๆหรือจะเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับผู้ใหญ่ที่สามารถย้อนกลับมาเป็นเด็กได้อีกครั้งตามที่พวกเขาปรารถนาแต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะพึงระลึกไว้ว่าไม่ควรด่วนสรุปว่าผู้ใหญ่ทุกคนต้องการที่จะเป็นอย่างนั้น…….อืม…..ก็หวังว่านะ…..
“ชั้นไม่เคยพูดว่าทุกคนสักหน่อย………แต่ความจริงที่เนื้อหาอะไรแบบนี้มันผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดขึ้นเรื่อยๆนั่นก็เพราะว่าผู้คนต่างปรารถนาเรื่องแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหมล่ะ?”
“นะ-นั่นมันก็จริงครับ…….”
“ในทีแรกทุกคนล้วนเป็นเด็กแบเบาะกันทั้งนั้นแหละแต่การที่เราได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วโดยที่เรายังไม่พร้อมน่ะ เรื่องแบบนี้มันไม่โหดร้ายยิ่งกว่าอีกอย่างนั้นหรอ?”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ…..”
“เอาเรื่องสุดโต่งอีกสักเรื่องละกัน ถ้าเกิดว่ามีคนมาให้เสื้อผ้า อาหาร และที่ซุกหัวนอน…….ถ้าเกิดมีคนที่เต็มใจที่จะช่วยนายแบบนั้นจริงๆ นายก็จะสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องมีเงินก็ได้จริงไหม?”
“แล้วแหล่งรายได้พื้นฐานมันต่างจากเงินที่ว่ามาตรงไหนกันล่ะครับ?”
“แหม่ เก่งจังเลยน๊า….”
“อ่า พอทีครับ”
ผมไม่ได้คาดหวังที่จะถูกปฏิบัติเหมือนเด็กแก่แดดที่ชอบใช้คำที่พวกเขาพึ่งได้เรียนรู้มาไม่นานและไม่ต้องพูดถึงว่าผมได้ยินคำเหล่านั้นจากหนังสือที่รุ่นพี่โยมิอุริให้ยืมไปนั่นแหละ ดังนั้นผมก็เลยแอบคิดว่าเธอเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาสอนผมเหมือนกันแต่ว่าพอเธอเผยรอยยิ้มออกมา ผมก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร
“ถ้านายอยู่คนเดียวไม่ได้ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น อย่างน้อยชั้นก็คิดอย่างนั้นนะ”
“แม้ว่าท้ายที่สุดก็จะต้องลงเอยโดยการที่กลายเป็นภาระน่ะหรอครับ?”
“บนโลกใบนี้ก็มีคนที่ชอบผู้หญิงแบบนี้อยู่ด้วยนะรู้ไหม?”
“ก็ถ้าเพราะเรื่องรสนิยมความสนใจส่วนตัวก็ใช่ครับ แต่โดยปกติแล้วน่ะ……”
“บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่สเปคของนายก็ได้นะ รุ่นน้องคุง”
“ผมไม่อาจเข้าใจได้จริงๆครับ”
อย่างน้อยๆผมก็ไม่คิดว่าอายาเสะซังเธอจะชอบพวกผู้ชายพวกที่ทำตัวเป็นภาระแบบนั้นล่ะนะ…..หรือจะ…ผมก็อยากจะพูดต่อนะแต่ผมก็ยังไม่รู้จักเธอมากพอ ดังนั้นทั้งสองกรณีจึงเป็นคำถามที่ผมยังไม่มีคำตอบให้
“ยังไงซะ นั่นแหละคือวิธีการทำงานของเม็ดเงินยังไงล่ะและถ้าหากว่านายมีเงินมันก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้าเกิดไม่มีก็คงต้องหาใครสักคนเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลเราและเพื่อที่จะให้มีคนที่มาคอยช่วยเหลือเราในยามที่เราต้องการเราเองก็ต้องคอยมองหาคนที่อาจจะกำลังต้องการความช่วยเหลือในตอนนี้อยู่เสมอเช่นเดียวกันนะ ชั้นคิดว่าเอาเรื่องแบบนี้เก็บไปคิดไว้ในใจดีกว่ามานั่งอ่านหนังสือสุดโต่งพรรณนั้นดีกว่านะ”
“สงสัยก็คงต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะมั้งครับ”
“ในบริษัทต่างๆบนโลกใบนี้เองก็ยังมีพนักงานบริษัทที่มีทักษะการทำงานที่เหนือกว่าประธานบริษัทที่ว่าเก่งๆอยู่ด้วยนะ”
“พูดบ้าๆน่ะครับ”
“แต่มันก็เป็นเรื่องจริงนี่นา บรรดาประธานบริษัททั้งหลายแหล่ที่ร่ำรวยอู้ฟู่กันซะขนาดนั้นส่วนมากก็เป็นพวกที่มักจะได้รับการช่วยเหลือหนุนหลังกันทั้งนั้นแหละนะหนุ่มน้อย”
“มันก็ดูยังไงๆอยู่นะครับกับการที่รุ่นพี่พูดเหมือนรู้ทุกอย่างเลยแบบนั้น”
“ก็สาวสวยนักศึกษามหาลัยเองก็มักมีเสี่ยเลี้ยงอยู่บ้างคนสองคนนี่นะ”
ผมชะงักไปโดยไม่รู้ตัว
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะผมรู้สึกอะไรกับเธอ แต่เนื่องจากเธอทำงานกะเดียวกันกับผมผมก็เลยคิดว่าผมก็รู้เรื่องบางเรื่องของเธอค่อนข้างดีพอสมควร
แต่ยังไงซะจังหวะนี้คือช็อคครับ……เหมือนตอนที่ได้ยินข่าวลือที่ว่าอายาเสะซังอาจจะกำลังขายตัวอยู่นั่นแหละหรือที่เป็นแบบนี้เพราะผมมันเป็นหนุ่มซิงก็ไม่รู้…….
หลังจากทนทุกข์กับความคิดตัวเองครู่นึงรุ่นพี่โยมิอุริก็ยิ้มให้กับผม
“ล้อเล่นน๊า!!”
“ยัยนี่…….”
คำพูดคำจาที่มีความเคารพต่อเธอของผมพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
“คนที่ทำน่ะเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยของชั้นเองแหละ ตอนที่ชั้นได้เจอกับเธอก็มักจะมีของใหม่ๆติดไม้ติดมามาด้วยตลอดเลยตั้งแต่เสื้อผ้ายันกระเป๋าถือหรืออะไรก็ตามแต่ แหม..มันช่างวิเศษจริงๆเลยเนอะ”
“ว้าว”
รู้สึกเหมือนได้เห็นด้านมืดของนักศึกษามหาวิทยาลัยเลยแฮะ
“ยังไงก็ก่อนที่นายจะพึ่งหนังสือพรรณนี้ ทำไมไม่ลองพึ่งครอบครัวดูก่อนล่ะ?”
เธอขยิบตาและเริ่มเดินไปให้บริการลูกค้าที่เดินเข้าร้านมา
ท้ายที่สุดผมก็กลับบ้านตัวเปล่าโดยที่ไม่ได้หยิบหนังสือเล่มไหนติดมือกลับมาเลย
ก็ได้รับอิทธิพลจากตัวอย่างของรุ่นพี่มาซะขนาดนั้นอ่ะนะ
“ผมกลับมาแล้วอายาเสะซัง”
“ยินดีต้อนรับกลับนะ อาซามุระคุง”
น้องสาวไม่แท้ของผมทักทายผมตอนกลับบ้านอย่างเคย
กลิ่นของเครื่องปรุงวัตถุดิบของอาหารลอยมาแตะจั้กจี้จมูกของผมและเมื่อผมเดินไปถึงห้องนั่งเล่นผมก็เห็นอายาเสะซังกำลังทำงานของเธออยู่ในห้องครัว
ผมไม่รู้ว่าเธอพึ่งกลับมาถึงบ้านหรือไม่ก็ไม่อยากเปลี่ยนชุดแต่ตอนนี้เธอกำลังสวมผ้ากันเปื้อนทับเครื่องแบบนักเรียนไว้อยู่พร้อมกับกำลังคนบางอย่างที่อยู่ในหม้อ
“ทำงานราบรื่นดีใช่ไหม อยากจะกินเลยไหม?”
“ขอบคุณนะ งั้นเดี๋ยวผมเตรียมจานเอง”
“ไม่ต้องหรอก นายคงจะเหนื่อยจากงานมาแล้ว”
อายาเสะซังพูดทันทีที่ผมหยิบจานออกมา
แทนที่จะรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกัน……….แต่นี่มันรู้สึกเหมือนเราเป็นคู่แต่งงานใหม่เลยแฮะ….
พระเจ้า!! นี่ผมดูน่าขนลุกไปใช่ไหม?
ผมเพิกเฉยความคิดบาปๆนั้นและก็เตรียมอาหารเย็นกับอายาเสะซังจนเสร็จเรียบร้อย
บนโต๊ะเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน
อาหารมื้อหลักของเราในวันนี้นั่นก็คือแกงกะหรี่ที่ใส่ผักซะเยอะจนดูเหมือนเป็นแกงกะหรี่เพื่อสุขภาพยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเตรียมสลัดไว้อีกต่างหาก
เมื่อผักเอาผักที่ผสมเครื่องเทศของแกงกะหรี่เข้าปากปุ๊ป ดวงตาของผมก็เบิกกว้าง
“อื้ม อร่อย!!”
“งั้นหรอ ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”
เป็นคำชมจากใจจริงที่หลุดออกมาจากปากของผม
เอาจริงๆเลยนะแกงกะหรี่มันอร่อยเกินกว่าจะบรรยายได้จริงๆ ไม่เหมือนของที่มือสมัครเล่นจะรังสรรค์มันออกมาได้ตามสูตรอาหารธรรมดาๆและเครื่องเคียงส่วนผสมทั่วไปตามตลาดนัดเพราะถ้าหากคุณไม่ได้ใช้เครื่องเทศน์หลากหลายชนิดและคำนวนเวลาให้ดีตอนต้มผักล่ะก็คุณก็คงจะเคี้ยวยากแถมมิหนำซ้ำตัวข้าวเองก็เหมือนกันทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างลงตัวเข้ากันมากจริงๆ
อายาเสะซังแสดงปฏิกิริยาสงบๆของเธออย่างเคย แต่ผมก็คิดว่าเธอคงไม่ชอบคำชมของผมล่ะมั้ง แต่ในขณะที่มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อยตอนที่เธอกำลังจะเอาแกงกะหรี่เข้าปากของเธอเอง วินาทีที่เครื่องเทศน์สัมผัสลิ้นของเธอ คิ้วของเธอก็กระตุกเล็กน้อยและผมก็ได้รู้ว่าแม้จะเป็นเธอก็ตามแต่ก็มีท่าทางการแสดงออกเหมือนมนุษย์มนาปกติแบบชาวบ้านเขาอยู่เหมือนกัน
“ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะทำแกงกะหรี่ได้อร่อยมากขนาดนี้”
“งั้นหรอ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ชั้นคิดว่าให้คะแนนสักเจ็ดสิบแต้มก็พอ”
“แล้วแต้มมันยังจะขึ้นไปได้สูงกว่านี้อีกไหมล่ะ?”
“ชั้นไม่มีเวลามากพอที่จะหมักตัวเนื้อเลย ฉะนั้นชั้นว่าชั้นน่าจะทำให้ดีขึ้นมากกว่านี้ได้อยู่ ขอโทษด้วยละกันนะ”
“หมักเนื้อหรอ…”
ผมพึมพัมคำที่ผมได้ยินออกมาอย่างดูว่างเปล่า
“เอ๋? อะไรล่ะ? นายอยากให้ชั้นอธิบายด้วยงั้นหรอ?”
“พอดีผมไม่มีความรู้เรื่องการทำอาหารเลย…….ที่รู้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องที่เธอทำเนื้อให้สุกคงแค่นั้นล่ะมั้งนะ”
จากมุมมองของผมแล้วความรู้เรื่องการทำอาหารของเธอนั้นราวกับมาจากต่างโลกก็มิปาน
“อืม ก็นะ”
เธอเริ่มอธิบาย
“พอนายซื้อเนื้อมาจากตลาดปุ๊ป รสชาติของตัวเนื้อน่ะยังไม่เท่าไหร่หรอกนะไหนจะเป็นเรื่องกลิ่นเหม็นคาวที่ลอยมาแตะจมูกอีกด้วยมันเลยจำเป็นที่จะต้องใช้พวก เกลือ,พริกไทยหรือว่ากระเทียม เพื่อรสชาติที่ดีขึ้นยังไงล่ะ”
“โอ้….นี่มันเป็นความรู้ที่มีค่ามากๆเลยนะเนี่ย”
“มันก็แค่ความรู้ที่ชั้นหยิบยืมมาจากอินเตอร์เน็ตเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ชั้นก็ศึกษาเอาตามเว็บไซต์สูตรอาหารนั่นแหละ”
จากท่าทางของเธอมันเห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เธออยากจะใช้ชีวิตอย่างอิสระนั้นไม่ใช่แค่การแสดงเท่านั้น
“เกี่ยวกับเรื่องวิธีหาเงินแบบง่ายๆและรวดเร็วน่ะ”
“ชั้นเข้าใจล่ะ นายเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วสินะ”
“ก็ใช่….แต่ว่าก็คว้าน้ำเหลวไม่เจออะไรเลยผมขอโทษนะ ทั้งๆที่เธออุตส่าห์ทำอาหารให้ตั้งสองรอบแล้วแท้ๆ”
“งั้นหรอ….ชั้นก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะว่ามันก็คงจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น”
อายาเสะซังค่อยๆหดไหล่ของเธอลงด้วยความรู้สึกราวกับพ่ายแพ้แต่เธอก็ไม่ได้ดูผิดหวังหนักหนาอะไรขนาดนั้น
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเธอเองก็คงจะหาข้อมูลด้วยตัวเธอเองมาก่อนแล้วก่อนที่เธอจะมาถามผมและเธอก็คงตระหนักได้ว่าการหางานแบบนี้มันฟังดูสะดวกสบายเกินจริง
“ผมพึ่งได้ยินเกี่ยวกับเหตุผลพิเศษต่างๆนาๆของพวกคนรวยมาน่ะ”
“เห….ฟังดูน่าสนใจดีนี่”
“แม้แต่ตอนที่ผมได้ยินเรื่องนี้ผมเองก็ยังอยากรู้บ้างเหมือนกัน”
แล้วผมก็เล่าในสิ่งที่รุ่นพี่โยมิอุริบอกกับผมและสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเด็นนี้คือเรื่องของการพึ่งพาคนอื่นและพอเธอฟังผมจบดวงตาของอายาเสะซังก็เบิกกว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นายเองก็มีผู้หญิงที่สนิทสนมอยู่ด้วยอย่างนั้นหรอ? อาซามุระคุง”
“เอ๊ะ? ที่ฟังๆไปทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เลือกหยิบยกมาถามงั้นเรอะ?”
“เอ่อ…คือ ขอโทษที แบบว่ามัน…คาดไม่ถึงน่ะ”
“และทีนี้ก็เลยกำลังเยาะเย้ยผมอยู่ว่างั้น?”
“ก็ชั้นบอกว่าชั้นขอโทษไง”
พอผมออกอาการเคืองๆที่ได้รับการปฏิบัติราวกับพวกหนุ่มซิง อายาเสะซังก็เผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมา ก็ใช่อยู่ว่าเรื่องการสัมผัสทางร่างกายของผมกับผู้หญิงจนถึงตอนนี้มันแทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นคำพูดของอายาเสะซังมันก็ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียวหรอก
“ชั้นแค่คิดว่านายเกลียดผู้หญิงหรืออะไรสักอย่างซะอีกน่ะ”
“ไม่ๆไม่จริงเลยนะ แล้วทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“ก็เพราะสถานการณ์ของพวกเรามันคล้ายๆกัน ชั้นก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น”
ก็พอเข้าใจอยู่ว่าอายาเสะซังก็ไม่ชอบผู้หญิงพอๆกันกับผม แน่นอนว่ามันไม่ใช่ว่าผมพูดพล่อยๆนะ เมื่อพิจารณาจากคำพูดของเธอแล้วในสายตาของเธออาจจะเห็นว่าพ่อแม่ของเธอเข้ากันไม่ได้และเธอก็ไม่เคยมีความผูกพันธ์ใดๆกับพ่อแท้ๆของเธอเลยและคิดไปคิดมาบางอย่างมันก็คล้ายคลึงกันกับแม่แท้ๆของผมเองเช่นกัน มันก็ถูกครึ่งหนึ่งเนื่องจากเอาจริงๆความสัมพันธ์ของผมกับแม่แท้ๆของผมมันก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่เหมือนกัน
“แต่เรื่องนั้นก็คือเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็คือเรื่องนี้ เพียงเพราะเธอเป็นคนไม่ดีกับคนๆเดียวไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเริ่มเกลียดผู้หญิงทุกคนนี่นา”
“งั้นหรอก็ดีนี่ที่กล้าพูดออกมาตรงๆน่ะ”
อายาเสะซังพูดพลางชื่นชมคำพูดของผมและพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ชั้นเอาใจช่วยนะ……”
“หมายถึงอะไรหรอ?”
“ก็นายกับเธอ เป็นพวกมีรสนิยมดีทั้งคู่แถมพออยู่ด้วยกันแล้วสบายใจและเธอเองก็เป็นผู้หญิงที่อายุมากกว่าใช่ไหมล่ะ?”
“นั่นก็จริงอยู่หรอก”
“ชั้นก็เลยคิดว่าพวกนายเหมาะสมกันดีน่ะ”
“เอ๋!?”
ตั้งแต่ที่เธอพูดกับผมแบบนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนพูดเล่น ผมก็เลยรู้สึกเกร็งอย่างช่วยไม่ได้
ก็จริงอยู่ที่รุ่นพี่โยมิอุริเป็นผู้หญิงแบบสาวงามมากเสน่ห์แถมหน้าอกใหญ่และอายุมากกว่า
และผมก็เองก็ไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ แต่ผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใจจริงของเธอจริงๆแล้วกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
ผมรู้สึกได้ว่าผมเป็นตัวของตัวเองเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ แต่ถ้าเป็นตอนที่ผมรู้สึกเพลียจนหมดเรี่ยวแรงแล้วไปพูดคุยกับเธอนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ยากสักหน่อยนึงล่ะนะ
“ไหงนายถึงได้ดูหงุดหงิดแบบนั้นล่ะ? ก็เท่าที่ชั้นฟังมาเธอก็เป็นคนฉลาดแถมเป็นคนดีอีกด้วยนี่”
“ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรอกนะ….”
ผมพูดออกไปไม่ได้จริงๆว่าผมคงจะเหนื่อยจนแทบขาดใจตายแน่ๆถ้าได้คบกับรุ่นพี่น่ะ ขืนพูดออกไปผมคงโดนตราหน้าว่าเป็นไอ้คนสารเลวแหงๆ
“แล้วจะทำไงต่อล่ะ”
อายาเสะซังวางช้อนของเธอลง
“สิ่งที่เธอพูดมามันก็เป็นความจริงแหละ แต่ว่าชั้นเองก็ยังต้องการเป็นอิสระอยู่ดี”
“ดูเหมือนเธอดูรีบๆจังนะ เธอไม่อยากจะพึงพาผมหรือตาแก่ของผมหน่อยหรอ?”
“ไม่ล่ะ…..คือนายกับพ่อของนายทั้งสองคนน่ะเป็นคนดีนะและชั้นก็แน่ใจว่านายจะช่วยเหลือชั้นแน่ๆถ้าเกิดว่าชั้นเอ่ยปากขอความช่วยเหลือออกไปแต่ว่า…….”
เธอหยุดรอครู่หนึ่ง
“ทุกอย่างมันคงจะง่ายขึ้น ถ้าเกิดว่าพวกนายสองคนพ่อลูกเป็นคนไม่ดีล่ะนะ”
“อะไร..ของเธอล่ะนั่น…”
“ขอโทษทีชั้นไม่ควรพูดแบบนั้นออกไปเลย……..ขอบคุณสำหรับอาหาร”
ดวงตาของเธอเบิกกว้างและแม้ว่าจะยังมีอาหารเหลืออยู่บ้างนิดหน่อยแต่เธอก็เก็บจานไปด้วย
ผมรู้สึกอยากจะเรียกชื่อของเธออีกครั้งในตอนที่เธอทำท่าทีดูเหมือนแทบจะวิ่งหนีไปยังห้องครัวแต่ว่าผมก็ห้ามตัวเองเอาไว้ นับตั้งแต่ที่เรากลายเป็นพี่น้องกันเวลามันยังผ่านไปไม่นานนักถึงแม้ว่าผมจะไม่มีประสบการณ์ใดๆเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงเลยก็ตามทีแต่ผมก็บอกได้เลยว่าเธอคงไม่อยากให้ผมพูดคุยถึงหัวข้อนั้นอีกต่อไป
“สงสัยจังว่าคืนนี้จะข่มตาหลับลงไหมนะ……”
เอาแบบรวบรัดสรุปเลยละกัน ผมน่ะสามารถนอนหลับได้ปกติไม่มีปัญหาแต่เหตุผลก็คืออายาเสะซังเธอมาที่ห้องของผมในตอนที่ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว
“เทียนหอมและที่มาส์กหน้าก่อนนอนของชั้นน่ะ พอดีชั้นกังวลว่านายอาจจะนอนไม่หลับเพราะสิ่งที่ชั้นพูดก่อนหน้านี้”
ช่างเป็นคนที่มีน้ำใจจริงๆเลยนะครับ
ถึงแม้ว่าเธออาจจะพูดออกมาไม่ชัดเจนและไม่แสดงสีหน้าใดๆเลย แต่ผมก็มองเห็นถึงความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาของเธอแฝงอยู่ภายใต้ตัวมาส์กหน้านั้น