Gimai Seikatsu (ชีวิตใหม่กับน้องสาวป้ายแดง) - ตอนที่ 1 บทนำ
บทนำ
สำหรับเด็กหนุ่มวัยรุ่นโรงเรียน ม.ปลายปีสอง นี่คงเป็นความโชคร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่เลยก็ว่าได้ สำหรับครอบครัวเดี่ยว มันเป็นดั่งพรที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้อย่าง พี่น้อง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดที่มีในมังงะ หรือ ไลท์โนเวลเป็นต้น ด้วยข้ออ้างพรรณนั้นทำให้ลงเอยกับความสัมพันธ์ที่ตัวละครน้องสาวกลายเป็นนางเอกที่เป็นเป้าหมายของตัวเอก
แต่ความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันเสมอ ถ้าคุณจะถามว่าอะไรที่มันแตกต่างออกไปจากน้องสาวต่างพ่อต่างแม่ ระหว่างในจินตนาการกับของจริงแล้วล่ะก็ งั้นผมจะขอยกตัวอย่างให้คุณก็แล้วกัน
ลองนึกภาพผมกลับมาจากทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แล้วปรี่เข้าไปหาน้องสาวที่นั่งจิบช็อคโกแลตร้อนบนโซฟาห้องนั่งเล่น บทสนทนาของพวกเราก็จะประมาณว่า
“ยินดีต้อนรับกลับนะ อาซามุระคุง”
“อื้อ กลับมาแล้วอายาเสะซัง”
นั่นแหละ ทีนี้เข้าใจยัง? ว่ามันไม่มีหรอกนะ ไอ้คำหวานๆ ละมุนอย่าง “โอนี่จาง” อะไรนั่นให้ได้ยินเลยน่ะ มันก็แค่เป็นการแลกเปลี่ยนบทสนทนาแบบราบเรียบทั่วๆไป ราวกับโลกใบนี้ช่างเคว้งคว้าง เพราะมันมีแค่คำทักทายไม่มีอะไรเพิ่มเติม พวกเราก็อยู่กับความเป็นจริง
ไม่มีจังหวะใจเต้นตึกตัก, เคารพกันอย่างเกร็งๆ ไม่มีอะไรเลยระหว่างผมกับน้องสาว
หลังจากใช้ชีวิตอย่างมั่นคงมา 17 ปี จู่ๆก็โดนบอกว่าตั้งแต่พรุ่งนี้จะมีครอบครัวใหม่แล้วนะ
ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกพิเศษใดๆเลย ถ้าหากมีล่ะก็ ก็คงจะเป็นระดับความคุ้นเคยของคนสองคนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาร่วมสองปีซะมากกว่า
ตัวผม อาซามูระ ยูตะ อายุโดยเฉลี่ยแล้ว 17 ปี อยู่ ม.ปลายปีสอง โรงเรียนมัธยมปลาย
ถ้าหากถามผมว่าทำไมถึงมีน้องสาวต่างวัยตั้งแต่อายุเท่านี้ นั่นก็เพราะว่าตาแก่ ของผมนั้นดัน “มีชีวิตชีวา” มากเกินไปน่ะสิ ผมทำได้แค่เคารพการตัดสินใจของเขาที่จะแต่งงานใหม่อีกครั้งในวัยที่มั่นคงนี้เท่านั้นแหละ
ณ ช่วงเวลาตอนยังเด็กที่ผมเริ่มมีสติคิดได้คิดเป็นแล้ว ผมก็รับรู้ได้ว่า พ่อกับแม่ ของผมกัดกัน สู้กันแทบทั้งวัน ดังนั้น เมื่อผมได้ยินตาแก่นั่นพูดว่าเขาจะ “หย่าร้าง” ผมก็ทำแต่เพียงพยักหน้าเท่านั้น
ตาแก่โง่นั่นถึงกับขอโทษผมแล้วบอกว่ามันเป็นเพราะว่า ตัวเขามันไร้น้ำยาเองถึงแม้ว่าผมจะรู้ดีว่าแม่ของผมกำลังนอกใจเขาอยู่ก็ตามที
จากวันนั้นผมก็ใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่คาดหวังจากพวกผู้หญิงที่ผมคบค้าสมาคมด้วย
ข่าวที่แสนสะเทือนใจเมื่อผมคว้ากุญแจ และ ถอดรองเท้าผ้าใบตรงทางเข้าเสร็จ
“พ่อของแกตัดสินใจที่จะแต่งงานใหม่ล่ะ”
“ฮะ?”
“แหม่ อีกฝ่ายเป็นโอเน่ซัง นิสัยอดทน แถมมากเสน่ห์อีกด้วยล่ะนะ ดังนั้นแล้วแกโอเคใช่ไหม?”
“อีแบบนั้นมันก็บอกไม่ได้นี่ว่าจริงๆแล้วเธอเป็นคนแบบไหน นี่อยากจะบอกอะไรผมกัน?”
“อืม ไล่จากบนลงมาก็ 92,61,90”
“ไม่ได้ให้บอกตัวเลขสักหน่อย แล้วลองคิดดูดิว่าผมจะรู้สึกไง เมื่อได้ยินทรีไซส์ของแม่คนใหม่ก่อนได้เจอหน้ากันอีกเนี่ย”
“ลูกก็น่าจะมีความสุขที่ได้คุณแม่สไตล์นี้แหละหน่า หรือไม่จริงล่ะ?”
“ไม่มีทาง ! นี่เล่นเป็นเด็กๆเลยนะ หรือว่ามีในหัวมันมีบางอย่างเจ๊งไปแล้วรึไง?”
ดูเหมือนว่าคนเรามันก็มักจะได้รับความคิดอะไรแปลกๆ เมื่อผมบอกว่าไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษจากตัวผู้หญิง แต่ผมก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเวลาที่ได้เห็นพวกเขา
ตอนผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำผมก็ดันรู้สึกเครื่องติดขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกหลงไหลอะไรกับคนที่อาจจะกลายเป็นเป็นแม่คนใหม่ของผม คนรักคนใหม่ของตาแก่นี่ เคมะ?
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วไปเจอเธอได้ไงล่ะ ตอนนี้อายุก็ปาไปสี่สิบแล้ว ที่ทำงานหรอ หรือ ยังไง?”
“เธอทำงานอยู่ที่ร้านที่หัวหน้าของพ่อลากไปน่ะ เธอเห็นพ่อเละตุ้มเป๊ะ และ ทรุดลงไปอย่างนั้นแต่เธอก็ยังดูแลพ่อเป็นอย่างดีเลยนะเห็นมะ”
“ไม่หรอกแค่ถูกหลอกแล้วกระมัง……..”
ก็ไม่อยากว่า “ทุกคนที่เป็นพวกสายกลางคืนเป็นพวกคนนิสัยไม่ดี” อะไรหรอกนะ แต่ในเมื่อตาแก่ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายเกี่ยวกับผู้หญิงมา แล้วมาเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้ว ผมก็คงหวังอะไรไม่ได้หรอก….
“ไม่เป็นไรๆหน่า อากิโกะซังน่ะไม่เป็นแบบนั้นหรอก ฮ่าๆๆ”
เขาเล่นพูดประโยคที่จะมีเพียงที่คนถูกหลอกเท่านั้นที่จะพ่นอะไรแบบนี้ได้ออกมา
อืม ผมมั่นใจเลย ส่วนผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจ
“ถ้าพ่อมีความสุขก็ตามนั้นแหละ ผมก็จะอยู่ของผมอย่างงี้ต่อไป”
นั่นก็คือ หมายความว่า ผมไม่ได้มีความคาดหวังใดๆ เนื่องจากผมไม่ได้ความคาดหวังสูงกับชีวิตใหม่พร้อมกับแม่คนใหม่แม้ว่าอาจจะถูกหลอกก็ตามที
“ไม่ล่ะนะ หลังจากนี้ลูกจะมีน้องสาวแล้วนะ”
“ฮะ น้องสาว?”
“แม่นแล้ว หล่อนเป็นลูกสาวของ อากิโกะซังน่ะเธอเอารูปให้พ่อดูแล้ว หล่อนเป็นคนน่ารักจริงๆนะ”
ดูเหมือนการที่ตาแก่กับผู้หญิงคนนั้นที่จะแต่งงานใหม่นี่ เดาว่าสาเหตุหนึ่งคงเพราะพวกเขาคงดึงดูดกันแล้วกันล่ะมั้ง
“นี่ๆดูสิ น่ารักใช่ม้า?”
“อืม คิดว่ามั้งนะ”
พ่อของผมหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าอย่างกระตือรือร้นและเปิดรูปให้ดู ซึ่งมีรูปของเด็กผู้หญิงที่น่าจะอยู่ชั้นประถมศึกษาและมีหนังสือภาษาต่างประเทศวางอยู่บนตักของเธอ
พอลองมุ่งเป้าไปที่เด็กอายุราวๆเธอแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเธอดูไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อยกับการถ่ายรูปเลยแฮะ เพราะเธอดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
“ยินดีด้วย เท่านี้ลูกก็เป็นโอนี่จังแล้วนะ!”
“ก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไรหรอกนะถึงได้มายกนิ้วโป้งให้ผมแบบนั้นน่ะ …. อืม เธอก็น่ารักแหละ ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรขนาดนั้น”
การที่มีน้องสาวอายุไล่เลี่ยกับผมมันคงเป็นเรื่องยากที่จะรับมือ แต่ถ้าเธออายุแค่นี้ ผมว่าอะไรๆมันก็น่าจะดี และก็ผมไม่ใช่โลลิค่อนนะ ผมแค่รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเกรงใจเธอมากเกินไปเพราะตัวเธอนั้นอายุห่างกันมาก ผมก็คิดว่าเธอน่ารักดี อืม ย้ำอีกครั้ง ผมไม่ใช่โลลิค่อนนะครับ…..
“และเรามีนัดกันตอนสามทุ่มวันนี้น่ะ ลูกมาเจอกันหน่อยหลังเลิกงานได้ไหมล่ะ?”
“ปุบปับงี้เลย?”
“เอ่อ ก็อยากจะบอกลูกอยู่ล่ะนะ แต่ก็ไม่มีโอกาสเลย มันก็นานนับเดือนได้แล้วล่ะ”
“ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ แล้วนี่กะจะผลัดวันไปเรื่อยๆงี้รึไงกัน!”
“แหม่ๆ ไอ้พ่อก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆหรอกนะ ฮ่าๆๆ”
ก็เป็นซะแบบนี้ไงตาแก่! ไม่น่าเชื่อถือแถมยังใจง่ายพอที่จะเชื่อคนแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้ห่วงได้ไงกันเล่า!
“อ่าๆ ผมเข้าใจล่ะเดี๋ยวผมจะไปที่นั่นด้วยละกัน ต้องขอขอบคุณที่ผมมันไม่ใช่สายเกเร เตร็ดเตร่ทั้งคืนล่ะนะ”
“พ่อไม่เคยกังวลเรื่องนั้นเลย พ่อเชื่อใจลูกเต็มที่อยู่แล้ว”
เอาจริงดิครับ? นี่เชื่อคนง่ายขนาดนี้ได้ไงเนี่ย?
แม่ใหม่ น้องสาวใหม่ ครอบครัวใหม่ คำเหล่านี้วกไปวนมาอยู่ในหัวของผมในขณะที่ผมใช้เวลาทำงานพาร์ทไทม์อยู่
พอตกกลางคืนมาถึงชิบูย่า ซึ่งใช้เวลาในการขี่จักรยานจากที่ทำงานพาร์ทไทม์ของผมไปถึง โดเกนซากะ จนในที่สุดผมก็ไปถึงร้านอาหารครอบครัวที่ตาแก่ของผมพูดถึง
ช่วงเวลาดังกล่าว ณ บริเวณดังกล่าว มักจะมีผู้คนหนาแน่น และมีกลุ่มผู้หญิงยืนอยู่หน้าตึกอาคาร
เมื่อลองพิจารณาจากคำพูดของพวกเธอ ดูเหมือนพวกเธอกำลังบ่นจุกจิกเกี่ยวกับแฟนหนุ่มที่พวกเธอกำลังคบหาอยู่ด้วย
ทั้งเสื้อผ้าของเขาดูง่อยๆเชยๆ แถมไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับผู้หญิงยังไงบ้างล่ะ
ผมจึงเดินไหลแทรกตัวผ่านๆพวกเธอมา และเช็คดูข้อความ LINE ของตาแก่เพื่อหาที่นั่ง
ผมไม่อยากเข้าไปใกล้ชิดกับคนประเภทฉูดฉาดแบบนั้นมากเกินไป นี่ยังไม่พูดถึงความคาดหวังสูงที่มีต่อคนอื่นอีก ช่างเถอะ…
ต่อจากนี้ผมจะได้เจอกับน้องสาวคนเล็กวัยประถม ย้ำอีกครั้ง ผมไม่ใช่โลลิค่อนนะครับ
ผมแค่อยากจะทำให้แน่ใจว่าเธอจะไม่โตมาเป็นผู้หญิงแบบนั้น
“โฮ่ย ยูตะทางนี้ๆ”
ตาแก่ที่ดูเหมือนจะเห็นผมหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ด้านในร้านอาหารก็กวักมือเรียก
ลูกค้าอีกครึ่งหนึ่งมองมาที่ผม จนผมรู้สึกอึดอัดใจจึงรีบเดินปรี่เข้าไปที่โต๊ะ
ต้นตอของความรู้สึกที่ไม่สบายใจของผมนั้น ได้ถูกปลูกไว้ที่นั่นแล้ว
ยิ่งผมเดินไปด้านหน้ามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีขนาดที่ใหญ่มากยิ่งขึ้นไปอีก และเมื่อผมเดินไปจนถึงเก้าอี้เดินหน้ายืนข้างๆตาแก่ เพื่อดูใบหน้าครอบครัวใหม่ของผม รากไม้นี้ก็ทวีคูณการเติบโตไวขึ้นไปอีก และหลังจากนั้นไม่นานมันก็เบ่งบานเป็นดอกไม้ที่สวยงาม
โทษทีนะ แต่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่กันเนี่ย?
“ยินดีที่ได้รู้จักนะจ้ะ เธอคือยูตะคุงสินะ ชั้นต้องขอโทษด้วยนะจ้ะ ที่เรียกเธอมาที่นี่หลังจากเธอพึ่งเลิกงานพาร์ทไทม์น่ะ”
“มะ-ไม่เป็นไรครับผม ผมชื่อ อาซามูระ ยูตะ เอ่อ….คุณกับ….พ่อของผม….”
“ใช่จ้ะ ชั้นชื่อ อายาเสะ อากิโกะนะ ฟุๆ ชั้นได้ยินเรื่องเธอจากไทชิซังมาเยอะเลยล่ะ แต่เธอก็ดูเป็นคนที่พึ่งพาได้จริงๆนะ”
จากการแสดงออกเท่าที่ได้ดูเธอแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของผู้ใหญ่ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเหมือนกับที่ตาแก่ สาธยายมาเป๊ะๆเลย ทีแรกคิดว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแนวเตร็ดเตร่ตอนกลางคืนเสียอีก แต่อากิโกะซังดูไม่เหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นเลยแฮะ
ยังไงซะตอนนี้มันไม่สำคัญ เหตุผลที่ผมพูดติดอ่างไปกับคำพูดของตัวผมเอง คนที่ขโมยสายตาการจ้องมอง และ ความสนใจของผมไปนั้นนั่งข้างๆอากิโกะซัง เธอคงจะเป็นคนที่จะมาเป็นน้องสาวคนใหม่ของผม แต่ในกรณีนี้ เธอดูแตกต่างจากที่ผมจินตนาการไว้อย่างน่าอัศจรรย์
“เอาล่ะ มาแนะนำตัวกันเถอะ”
“อื้อ”
แม่ของเธอพูดกระตุ้นขึ้นมา
หญิงสาวที่ตัวค่อนข้างสูง พร้อมกับผมสีบลอนด์ยาวเกือบเป็นประกาย พร้อมกับเจาะต่างหูสีเงิน ทำให้ตัวผมยิ้มแปลกๆออกมา
“ชั้นชื่อ อายาเสะ ซากิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อะ-เอ๊ะ! ครับ อาซามูระ ยูตะครับ…”
เธอทักทายอย่างสุภาพแล้วก้มหัวมาทางผมเล็กน้อย
ไอ้ผมก็เห็นความละม้ายคล้ายคลึงอยู่หรอก ถ้าหากมันมีคนมาบอกว่านี่คือเด็กประถมที่ผมเห็นในรูปแล้วล่ะก็ผมก็เห็นด้วยเลยล่ะ แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือดูเหมือนตัวเธอจะผ่านมาสิบปีได้แล้วจากในรูปน่ะ
แล้วผมก็มองไปที่ อายาเสะ ซากิ ที่อยู่เบื้องหน้าของผม
เด็กประถมก็ เหี้*แล้ว นี่มันผู้หญิงชัดๆ !
เธอจัดแต่งทรงผมแบบแฟชั่น มีเครื่องประดับที่ข้อมือพร้อมกับเจาะหู
เสื้อผ้าที่ไม่ได้ดูหรูหราอะไร แต่มันก็เพียงพอที่จะโชว์หัวไหล่ของเธออย่างเปิดเผย
ดูเป็นหญิงสาวที่มีสไตล์ แนวเปิดเผยๆที่ผมไม่อยากจะเข้าไปยุ่มย่ามด้วยเลย….
แต่วิธีการที่เธอทักทายผม ทำให้ตัวเธอดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีสามัญสำนึก ที่วางตัวอย่างเหมาะสม
ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมากยิ่งขึ้นไปอีก
สำหรับตอนนี้เอง ผมจึงตัดสินใจนั่งลงข้างๆตาแก่และซักถามถึงเรื่องนี้ทันที
“เฮ้ยๆ นี่มันไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา”
“พ่อก็พึ่งเจอเธอครั้งแรกเหมือนกันนั่นแหละ ทางนี้เองก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกัน เพราะได้เห็นแต่รูปอย่างเดียว”
“ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็น่าจะอายุเท่าๆกับผมเลยนะ”
“ปีนี้เธออายุ 17 ปี เรียน ม.ปลายปี 2 น่ะ”
“แล้วพ่อก็เรียกเธอว่าเป็นน้องผมเนี่ยนะ?”
“อื้ม ก็ตามวันเกิดแล้ว ลูกเกิดก่อนเธอสัปดาห์นึงนี่นา”
“สัปดาห์นึง……….”
แค่สัปดาห์เดียวมันจะไปสำคัญอะไรกันเล่า ยังไงก็อายุเท่ากันอยู่ดีนี่หว่า!
ภาพของน้องสาวตัวน้อยๆ ภายในหัวของผม ได้แตกเป็นเสี่ยงๆไม่มีชิ้นดี
“คือต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้สับสน พอดีว่าซากิไม่ยอมให้ชั้นถ่ายรูปเธอตอนที่เธอโตแล้วเลยค่ะ ชั้นก็เลยมีแต่รูปเก่าๆของเธอ”
เมื่อเดาได้ถึงบทสนทนาของผมกับตาแก่ อากิโกะซัง ก็เอามือข้างหนึ่งมาจับแก้มของเธอ
พร้อมกับมองไปที่ลูกสาวของเธอ
ยังไงซะสิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมอากิโกะซังจะต้องให้ตาแก่ดูรูปลูกสาวเธอตอนอยู่ชั้นประถมด้วยล่ะ?
“หนูก็บอกอยู่ตลอดไม่ใช่หรอ ว่าตอนถ่ายรูปแล้วต้องเพ่งสายตามันรู้สึกอึดอัด”
“อ้อ งั้นหรอกหรอ”
ซากิ อายาเสะซัง แสดงรอยยิ้มที่มีปัญหาออกมา ถึงผมจะไม่เข้าใจถึงเหตุผลจริงๆที่เธอไม่ยอมถ่ายรูป แต่มันก็เป็นแค่ความคิดส่วนตัวของผมเท่านั้น ผมจึงเลือกเก็บความคิดนี้ไว้เงียบๆ
“แต่ว่าชั้นก็โล่งใจนะ”
อายาเสะซังวางมือข้างหนึ่งไว้ที่หน้าอกของเธอ
“เรื่องอะไรหรอ?”
ผมถามเธอกลับ
“ชั้นค่อนข้างกังวลเลยล่ะ ว่านายจะเป็นคนน่ากลัวๆรึเปล่า”
“หืม ใครจะรู้ล่ะ ผมอาจจะเป็นคนน่ากลัวๆอย่างว่าก็ได้ แค่ตีหน้าซื่อเท่านั้นแหละ”
“ชั้นได้ยินมาหลายเรื่องจากไทชิซังแล้วล่ะ ตอนนี้นายเองก็กำลังทำงานพาร์ทไทม์อยู่ด้วย เพื่อส่งเสียตัวเองเรื่องค่าใช้จ่ายการเรียนใช่ไหมล่ะ? ชั้นก็เลยคิดว่านายเป็นคนที่ขยันดีนะ”
“สิบนาทีก่อนผมพึ่งโดนรุ่นพี่ที่ทำงานตำหนิมาหยกๆ เพราะไปทำเรื่องยุ่งๆในที่ทำงาน”
“แล้วที่ว่าผลการเรียนดีเยี่ยมเลยล่ะ?”
“อืม พวกอาชญากรที่หัวดี มันก็มีนะครับคุณ”
“ฮ่าๆ”
อายาเสะซัง เอามือปิดปากของเธอแล้วหัวเราะคิกคัก
พ่อและแม่ของเราเฝ้ามองบทสนทนาสั้นๆนี้ของเรา พร้อมกับยิ้มอย่างโล่งใจ
ดูเหมือนการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกกับน้องสาวในอนาคตของผมจะเป็นไปได้ด้วยดีล่ะนะ
เราใช้เวลาด้วยกันจนถึงประมาณ 22.00 น. เพื่อพูดคุยถึงแผนการในอนาคตต่างๆ
แล้วค่อยตัดสินใจแยกย้ายกัน ส่วนพ่อและอากิโกะซังก็ไปห้องน้ำ
ดังนั้นจึงมีผมกับอายาเสะซัง ออกมารอพวกเขาหน้าร้านอาหาร
ดึกดื่นขนาดนี้ โดเกนซากะ ก็ไม่เคยหลับไหล เมื่อมองไปยัง คู่ชายหญิงที่ เมาแอ๋ แถมส่งเสียงดังไปรอบๆ ตัวผมก็เหลือบไปเห็น ‘น้องสาว’ ยืนอยู่ข้างหน้าของผม
เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูฉูดฉาดของเธอ เธอจึงดูกลมกลืนไปกับผู้คนที่สัญจรไปมาผ่านชิบูย่า ในขณะนี้
เธอเป็น ‘ผู้หญิง’ ที่ปกติแล้วผมจะไม่เข้าไปข้องแวะด้วย แต่เมื่อได้พิจารณาจากบทสนทนาของเราในร้านอาหารดูเหมือนว่าเธอจะดูฉลาดกว่าที่เห็น
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอกก็ยังคงเป็นสิ่งที่ปรากฏเพียงภายนอกเท่านั้น
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคลิก หรือ มารยาทเลย มันคงจะดีมากหากผมสามารถรวบมันเป็นคำง่ายๆแบบนั้นได้ แต่อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมรู้สึกสบายใจเมื่อผมได้อยู่ใกล้ๆเธอ มันเป็นอะไรที่…….อธิบายยากแฮะ….
“นี่ อาซามูระคุง พอดีชั้นมีบางอย่างอยากพูดก่อนที่พ่อแม่ของพวกเราจะกลับมาน่ะ”
“มีอะไรที่พูดไม่ได้งั้นหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นสิ่งที่ชั้นจะบอกกับนายได้คนเดียวเท่านั้น”
“โฮ่ นี่ผมสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ จากการคุยกันเล็กๆน้อยๆได้นี่ ผมนี่มันช่างน่าทึ่งจริงๆเลย ไม่ใช่รึยังไงกัน?”
“จากการแสดงออกอารมณ์ขันของนายแล้ว ชั้นคิดว่านายจะเข้าใจในสิ่งที่ชั้นพยายามจะพูดนะ”
“อ๊ะ…”
“ชั้นไม่มีความคาดหวังอะไรที่ดี จากตัวนายหรอกนะ ดังนั้นชั้นเลยอยากให้นายทำแบบเดียวกันกับชั้นด้วย”
นายก็น่าจะเข้าใจความหมายของมันใช่ไหม?
เธอพูดเสริมด้วยดวงตาของเธอที่จับจ้องมาที่ผม ในขณะที่เธอรอการตอบสนองจากผม แน่นอนว่าผมได้ตัดสินใจถึงคำตอบของมันไปแล้ว
“นี่มันอาจจะเป็นครั้งแรกสำหรับผมล่ะนะ”
ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“อื้ม ชั้นก็เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนั้นก็แล้วกัน อายาเสะซัง”
“อื้อ ขอบใจนะอาซามูระคุง”
ดังนั้นความสัมพันธ์ของผมกับน้องสาวคนใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น