Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 701
ทรายดำ
ซูจิ้งได้นำธงหลอนจิตเข้าไปเก็บไว้ในกระเป๋ามิติแล้วทำการจัดการขยะต่อจนถึงตอนเย็น ในที่สุดขยะทั้งหมดก็ได้ถูกจัดการจนหมดและเขาก็ไม่ได้เจออะไรน่าสนใจเพิ่มเติมเลยสักชิ้น
หลังจากเขาตรวจตราดูซ้ำๆอีกสองรอบ แล้วเขาก็ขนขยะทั้งหมดออกไปจนเหมือนกับว่าเพิ่งมีรถเก็บขยะผ่านมากวาดขยะไปจนเรียบ
ในส่วนขี้ค้างคาวทั้งห้าถุงนั้นตอนแรกเขาก็ว่าจะทิ้งไปกับของพวกนั้น แต่เขาเปลี่ยนใจแล้วนำไปฝังที่รากต้นไม้ในสวนให้กลายเป็นปุ๋ยแทน และเพื่อจะไม่ให้เกิดกลิ่นรบกวนออกมาเขาวานให้เต็งเต็งขุดหลุมไปฝังไว้ใต้ดินชนิดที่อยู่ตรงปลายรากฝอยเลยทีเดียว
แต่ซูจิ้งต้องประหลาดใจขึ้นมาเมื่อเจ้าเต็งเต็งเองก็บอกเขาว่าเขาอยากได้มันเหมือนกัน มันบอกให้เขาใส่มันไว้ที่รังของเต็งเต็งด้วย จากน้ำเสียงที่เต็งเต็งบอกเขาแล้วดูเหมือนมันค่อนข้างดีต่อพืชเลย
ยังมีเรื่องที่ทำให้ซูจิ้งแปลกใจอีกอย่างหนึ่งคือเขานึกได้ว่าเจ้านี่เป็นต้นไม้กินคนนี่ก็เป็นพืชอยู่ครึ่งหนึ่ง ก็ไม่ค่อยแปลกที่ต้องการปุ๋ยแต่เจ้านี้ยังไงซะก็เป็นสัตว์อยู่ครึ่งนึง
แถมมันยังได้ของเลี้ยงดูปูเสื่อไปไม่ใช่น้อยอย่างเศษแร่หินวิญญาณ ปลาเขี้ยวหยก ดินจอมเขมือบ และอื่นๆอีกเยอะแยะ ซึ่งเขาก็คิดว่านั่นน่าจะเพียงพอแล้วแต่จะเอาขี้ค้างคาวไปทำไมอีก
“หรือว่าเป็นเพราะสารอาหารในขี้ค้างคาวกันนะ” ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้ทำหน้าพะอืดพะอมขึ้นมาทันที เขาหยิบเอาก้อนขี้ค้างคาวขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วจัดการบี้มันออกด้วยกิ่งไม้
แล้วเขาก็เห็นชิ้นส่วนแมลงบางอย่างข้างในนั่น มันเป็นส่วนของแมลงปีกแข็งที่ไม่สามารถย่อยได้ สมมติให้ขี้ค้างคาวพวกนี้มาจากถ้ำหมื่นค้างคาวจริงๆ
ค้างคาวในถ้ำควรจะจัดอยู่ในระดับสัตว์ประหลาดเช่นเดียวกันและอาหารของพวกมันควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนแน่นอน
ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแมลงพวกนี้ก็ควรจะคงอยู่ที่นั่นไม่มีในโลกนี้ มิน่าเต็งเต็งถึงดูสนใจมันมากนัก
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือได้ว่าได้กำไรอยู่แหะ” ซูจิ้งคิดในใจ ถึงแม้มันจะดูน่าขยะแขยงแต่มันก็ยังมีค่า
สำหรับการที่เป็นเด็กที่เติบโตในชนบทคนหนึ่ง เขาคุ้นชินกับการที่เห็นแมลงอาศัยอยู่ในมูลสัตว์และกินพวกมันเป็นอาหาร
เหล่าคนเลี้ยงสัตว์จะเก็บรวบรวมมูลพวกนี้ไปทำเป็นปุ๋ยอีกทีหนึ่งด้วยการนำไปผสมกับแกลบ หญ้า ใบไม้ ฯลฯ จนกระทั่งการเป็นปุ๋ยอินทรีย์(ปุ๋ยคอก)ที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย
“ในเมื่อเจ้าขี้ค้างคาวนี่มีความพิเศษอยู่ในตัวหล่ะก็ พอจะเอาไปทำอย่างอื่นได้รึเปล่านะ” ซูจิ้งได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเข้าไปหาข้อมูลในโลกอินเตอร์เนตเกี่ยวกับการใช้ขี้ค้างคาวอีกครั้ง
เมื่อพบข้อมูลเขาถึงกับตกใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าปุ๋ยค้างคาวนั้นเป็นที่นิยมมากและมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าทรายสีดำ
ในวงการยาจีนนั้นทรายดำเป็นตัวยาสำคัญในการรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตาอย่างโรคตกเลือดในดวงตา รักษากระ เป็นต้น
ซึ่งวิธีการเหล่านี้มีอยู่ในบันทึกตำราแพทย์โบราณ อย่าง “ตำราสมุนไพรจีนของหลี่ซือเซินและตำราสมุนไพรของเชิงหนง” ก็มีการกล่าวถึงและใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่มันก็แค่ใช้กันในวงการยาจีนเท่านั้น
เพราะบางคนก็เชื่อว่ามันได้ผล แต่บางคนก็คิดว่ามันใช้รักษาโรคไม่ได้และไม่เชื่อว่ามันรักษาโรคได้
“เอาไงดีจะลองดูดีรึเปล่านะ” ซูจิ้งพูดลอยๆพลางนึกบางอย่าง การกินทรายดำมันก็เหมือนกับว่าเขากิน…
แต่ถ้ามันเป็นยาจริงๆที่รักษาได้แม้กระทั่งโรคทางดวงตา
เขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องที่กินมันต่อให้ต้องกินซักกี่ครั้งก็ตาม ปัญหาอย่างเดียวของมันคือกินแล้วจะเป็นยังไงนี่แหล่ะ
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกินมันเขาควรจะมั่นใจก่อนว่าเขากินแล้วจะไม่ตาย
เพราะว่าเจ้าทรายดำนี่มาจากห้วงเวลาฯ จูเซียนไม่ใช่ของบนโลก
เพราะฉะนั้นไม่ทางที่เขาจะคาดการณ์ผลลัพท์ของมันได้เลยซักทางเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้สั่งให้นกแก้วของเขาไปจับหนูมาทดลองก่อน กลังจากเขาบังคับมันให้กินดูเขารอดูอาการอยู่สองวันเมื่อเห็นว่าหนูไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาเขาจึงเริ่มขั้นตอนต่อไป
“ขั้นต่อไปก็ต้องหาคนมาลองรักษาโรคทางดวงตาซะก่อน ว่าแต่จะไปหามาจากไหนหล่ะเนี่ย” ครั้งสุดท้ายที่เขาไปทดสอบของใหม่(ซูหยู)กับฉินซูหลาน
ฉินซูหลานถึงกับต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย ถึงแม้มันจะไม่เป็นอันตรายแต่มันก็มีความเสี่ยงในการทดลองกับคนอยู่ดี
แค่หนูกินแล้วไม่เป็นอะไรก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหากับมนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาต้องระมัดระวังให้มากกว่าเดิม ต้องหาคนที่ต่อให้เป็นอะไรไปแล้วก็ไม่มีสิทธิ์โวยวายอะไรได้
ซูจิ้งได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องหาคนเลวๆมาลองทรายดำนี้ให้ได้ เขารีบติดต่อไปหาซูฉือที่อยู่อเมริกา
และถามเธอว่าพอจะมีที่คุมขังนักโทษอาชญกรรมร้ายแรง หรือฆาตกรแถวไหนบ้าง
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับทางราชการจึงไม่มีปัญหาที่จะถามเธอ
คืนนั้น
ซูจิ้งได้นำตัวเองพร้อมทรายดำขี่ขึ้นไปบนหลังอินทรีทองเพื่อที่จะไปคุกที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วเขาก็ได้ร่อนลงห่างจากที่คุกประมาณพันเมตร หลังจากปลอมตัวเรียบร้อยแล้วก็ได้แอบเข้าไปยังคุกอย่างเงียบๆ
เขาได้ปล่อยหนูออกมาจากถึงกักอสูร พร้อมนำหลอดทดลองและเข็มทดลองออกมา
ในหลอดทดลองมีน้ำยาที่ทำจากทรายดำนำโดยไม่ทำให้สูตรโครงสร้างของมันเปลี่ยนไป ส่วนเข็มนั้นเป็นยาอีกตัวหนึ่งที่ใช้วิธีการทำคล้ายกับทรายดำในหลอดทดลอง
ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปควบคุมหนู ซึ่งด้วยพลังของเขาในตอนนี้ต่อให้ไม่เลี้ยงพวกมันเขาก็สามารถควบคุมมันได้ราวกลับเขาเป็นหนูซะเอง
ซูจิ้งได้ควบคุมให้หนูแบกหลอดทดลองและเข็มเข้าไปในคุกจากทางท่อน้ำ
เขาตรวจสอบทุกตารางนิ้วเพื่อหาคนที่เหมาะกับการจะเป็นหนูทดลองของเขา
หลังจากหาไปได้ครึ่งชั่วโมงเขาได้พบนักโทษคนหนึ่งชื่อ คุนจินหมิง
จากประวัติอาชญกรรมที่ซูจิ้งพบก็คือเขาเป็นนักโทษตดีฆ่าข่มขืน และหนึ่งในนั้นคือเด็กผู้หญิง
โชคดีที่เข้าถูกจับได้ในระหว่างปล้นธนาคารไม่เช่นคงมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่ออีกมากมายนัก
คุนจินหมิงยังเป็นผู้ป่วยโรคตาบอดกลางคืนขั้นรุนแรง และที่สำคัญที่สุดคือไม่เคยมีประวัติได้รับการรักษา
ทำให้ซูจิ้งตัดสินใจเลือกหมอนี่เป็นหนูทดลองอย่างไม่แยแสต่อให้ตายก็ไม่เป็นไร คนแบบนี้ตายซะได้ก็ดี
ในตอนนี้คุนจินหมิงกำลังหลับอยู่ ซูจิ้งได้บังคับหนูที่พันเข็มเอาไว้ไปยังคุนจินหมิงและรีบฉีดยาในเข็มลงไป
ยาตัวนี้คือพิษของตะขาบที่เขาได้สู้ด้วยในลานขยะห้วงเวลาฯ มันมีผลคล้ายยาชาแต่มันทำให้เกิดความรู้สึกช้า
เขาฉีดมันเข้าไปเพื่อป้องกันไม่ให้คันจุนหมิงตื่นแล้วก่อเรื่องโวยวายออกมา
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ควบคุมหนูให้เปิดปากคันจุนหมิงแล้วสั่งให้มันหมุนเปิดฝาหลอดทดลองแล้วกรอกน้ำยาที่ทำจากทรายดำลงปากไป
ถึงแม้คันจุนหมิงจะสำลักและไอแต่ก็ได้กลืนมันไปจนหมดโดยที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลยซักนิด
ซูจิ้งยังไม่รอดูผลงาน เขาบังคับเจ้าหนูให้นำหลอดทดลองและเข็มกลับมาหาเขาทางท่อระบายน้ำอีกครั้ง
ซูจิ้งเปิดตาขึ้นมาทันทีที่หนูมาถึงพร้อมลูบหัวหนูนั่นพร้อมพูดว่า “เหนื่อยหน่อยนะ”
หลังจากนั้นเขาก็นำหนูกลับเข้าถุงกักอสูรพร้อมทั้งเก็บเข็มและหลอดทดลองกลับมา
ตอนนี้ซูจิ้งได้ปล่อยเจ้ากิ้งก่าล่องหนออกมาและสั่งให้มันไปที่คุกเพื่อจะติดตามดูผล
ถ้าคุนจุนหมิงมีการเคลื่อนไหวแล้วพบว่าโรคตาบอกกลางคืนของเขาดีขึ้น เขาจะดำเนินการขั้นต่อไป
ตอนนี้ซูจิ้งรีบหายตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ เขากลับไปยังจุดที่อินทรีทองอยู่แล้วขี่มันกลับบ้านไป
ตั้งแต่ต้นถึงตอนนี้พวก รปภ ไม่ได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิด แม้แต่ตัวคันจุนหมิงเองก็ยังตื่นเช้ามาใช้ชีวิตปกติโดยไม่รู้ตัวว่ามีอะไรเกิดขึ้นเลยซักนิด