Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 969
GGS:บทที่ 969 ตัดสินใจในสองเรื่อง
“อย่าเพิ่งโกรธไปสิครับคุณซู สิ่งที่คุณพูดถูกต้องแล้ว การที่พวกเขาออกมาเรียกร้องค่าเสียหายแสดงว่าผมยังดูแลเขาไม่พอจริงๆ ผมควรจะใส่ใจเรื่องของพวกเขามากขึ้นกว่านี้ดั่งที่พวกคุณว่าจริงๆ” ผอ.จ้าวในตอนนี้ทำได้เพียงสงบอาการโกรธและได้แต่ตามน้ำไป
ถึงแม้ราคาที่ซูจิ้งเสนอมันจะน้อยจริงๆแต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาพอเอาตัวรอดได้ และตัวเขาก็รู้ดีว่าหากเขายังฝืนดื้อดึงต่อไปยังไงเรื่องนี้ก็จบไม่สวยอย่างแน่นอน
อีกอย่างซูจิ้งคือคนที่แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ยังไม่อยากขัดแย้ง แล้วคนที่มาจากตระกูลบ้านนอกอย่างเขาสมควรจะไปหาเรื่องด้วยรึไง แถมครั้งนี้เป็นความผิดของเขาจริง ต่อให้ซูจิ้งไม่ยื่นมือเข้ามา ยังไงเขาก็คงไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว
ในที่สุด ผอ.จ้าวก็ทำใจได้และยอมเซ็นสัญญาเปลี่ยนมือโรงพยาบาลแห่งนี้ให้กับซูจิ้งด้วยราคาที่แสนต่ำ หลังจากนั้นเขาได้จัดงานประชุมเพื่อแจ้งข่าวและแนะนำซูจิ้งให้ผู้บริหารและหมอทุกคนได้รับรู้เรื่องนี้
หลังจากที่เสร็จเรื่องทั้งหมดผอ.จ้าวก็ได้รีบจากไปในทันที และในการประชุมแห่งนี้ เรียกแรกที่ซูจิ้งได้ติดสินใจออกมาเกี่ยวกับการบริหารโรงพยาบาลนี้ก็คือการมอบให้ลูฉินหมิงให้เป็นรองประธาน
วันถัดมา ซูจิ้งได้เข้ามาโรงพยาบาลเพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับทางการแพทย์กับลูฉินหมิงอย่างตั้งอกตั้งใจ ลูฉินหมิงเองในตอนนี้เองก็ยังไม่มีอะไรทำจึงได้สอนซูจิ้งทั้งวัน
ขนาดลูฉินหมิงได้เห็นความสามารถในการเรียนของซูจิ้งมาแล้วก่อนหน้านี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมหัศจรรย์ในการเรียนรู้ของซูจิ้งอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าสอนอะไรไปซูจิ้งก็เข้าใจได้โดยไม่นานเขาจึงได้ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้กับซูจิ้งโดยไม่กั๊กแม้แต่น้อย พร้อมทั้งรู้สึกหวั่นเกรงในความสามารถในการเรียนรู้ของซูจิ้งที่ราวกับสัตว์ประหลาดนี้ด้วยเช่นกัน
ซูจิ้งนั้นไม่เพียงจะทำได้ดีเยี่ยมในภาคทฤษฎีเท่านั้นแต่เขายังเป็นสุดยอดในภาคปฏิบัตินี้อีกด้วย เขานั้นมีทักษะชั้นสูงในการสังเกตุทั้งดู ได้ยิน และถามในสิ่งที่สำคัญของการแพทย์แผนจีนและเรียนรู้ได้โดยไม่ติดขัดแม้แต่น้อย
เขานั้นเพียงเรียนไปได้วันเดียวก็เทียบเท่ากับความรู้ของแพทย์ป.เอกเรียบร้อยแล้ว ในด้านการผ่าตัด ฝีมือของเขานั้นนอกจากมีมือที่นิ่งอย่างมากแล้วเขายังมีความแม่นยำอย่างสูง การเรียนรู้ในวันเดียวของซูจิ้ง
ลูฉินหมิงสามารถบอกได้เลยว่าเขาได้บรรลุจนเป็นหมอที่ได้รับการรับรองได้แล้ว ความสามารถของเขานี้ท้าทายสวรรค์ชัดๆ
นี่บอกได้เลยว่าทักษะของร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งราวกับพวกยอดมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ประสาทสัมผัสที่แหลมคม มือและเท้าที่ว่องไว ดีเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเทียบได้
ด้วยการที่ว่าเขานั้นได้เข้าไปฝึกฝนจิตในในคริสตัลฝึกจิตและเรียนรู้เคล็ดลับการสะกดจิตจากขยะห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์ดวงดาราทำให้เขานั้นบังเกิดพลังวิญญาณที่สามารถใช้ในการเข้าใจในร่างกายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เมื่อนำมาผนวกกับทักษะมอง ฟัง การพูด และการสัมผัส จึงไม่แปลกที่เขาจะอยู่เหนือคนทั่วไป
นอกจากนั้นด้วยการที่เขาได้เรียนรู้ทักษะกระบี่ที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีนจึงทำให้เขาสามารถขยับมือได้อย่างแม่นยำและไม่สั่นเลยไม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้คนทั่วไปไม่สามารถเทียบกับเขาได้เข้าไปอีก
ในตอนนี้จึงบอกได้ว่าทักษะในการรักษาของเขานั้นสิ่งที่ขาดไปจริงๆมีเพียงความรู้ทางการแพทย์เท่านั้น หลังจากได้เรียนรู้ทักษะการแพทย์เรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจะกลายเป็นคนที่คนทั่วไปได้แค่แหงนหน้ามองเขาเพียงเท่านั้น
สามวันหลังจากที่ได้ร่ำเรียน ซูจิ้งในตอนนี้ได้ใบรับรองให้เป็นแพทย์ได้และถูกต้องเรียบร้อยแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างคือเขานั้นสามารถผ่านการทดสอบทางการแพทย์ได้อย่างง่ายดายและใช้เวลาสั้นอย่างคาดไม่ถึง
หลังจากเขาได้ใบรับรองมาแล้วเขาจึงได้เริ่มการปฏิรูปโรงพยาบาลแห่งนี้ในทันที เขาได้ตัดสินใจเรื่องที่สำคัญไปสองเรื่อง
เรื่องแรก คือการชดเชยให้กับคนที่ได้รับยาด้อยคุณภาพไปโดยเขาได้แจ้งกับคนเหล่านั้นรับทราบว่าพวกเขานั้นสามารถเข้ามาเปลี่ยนยารักษาที่ได้ไปแล้วได้ฟรีและได้รับสิทธิ์ในการรักษาชนิดที่ถูกสุดๆแต่เต็มประสิทธิภาพ
อย่างที่สอง ซูจิ้งได้สั่งให้เปิดเขตรักษาโซนวีไอพีและราคาขั้นต่ำที่ใช้ในการรักษาเริ่มต้นที่หนึ่งล้านหยวน
ลูฉินหมิงและผู้บริหารคนอื่นเองต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินการตัดสินใจทั้งสองอย่างนี้ การตัดสินใจนี้จะให้พวกเขาปฏิบัติตามได้ยังไง ถึงแม้ว่าข้อแรกนั้นจะช่วยกู้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลได้อย่างดีก็จริง แต่นอกจากจะชดเฉยแล้วยังลดค่ารักษานี่ให้โรงพยาบาลไปหากำไรมาจากไหนกัน
ส่วนข้อที่สองนี่ยิ่งทำให้เขามึนงงไปกันใหญ่ ซูจิ้งต้องการให้สร้างโซนวีไอพีขึ้นมานี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดารึยังไง ไหนจะค่ารักษาเริ่มต้นที่หนึ่งล้านนั่นอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครหน้าไหนจะกล้าเข้ามาให้รักษาได้กัน หากใครมาก็คงจะเป็นคนโง่ชัดๆ
หลังจากเขาได้บอกสิ่งที่เขาตัดสินใจไปให้ทุกคนได้ฟัง แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นด้วยหรือแม้แต่กล่าวชมเชยการตัดสินใจในครั้งนี้
ทั้งลูฉินหมิงและผู้บริหารคนอื่นทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วยทั้งสิ้น แต่พวกเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เพราะนี่ไม่ใช่แผนการที่ซูจิ้งต้องการให้ทุกคนมามีส่วนร่วม แต่นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ แม้แต่ลูฉินหมิงเองก็ยังทำอะไรไม่ได้
ในตอนแรกนั้นลูฉินหมิงและผู้บริหารคนอื่นต่างก็รู้สึกดีใจแบบสุดๆที่ซูจิ้งเข้ามาเป็นประธานของพวกเขา แต่พอถึงตอนนี้ทุกคนกับเริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตอขงโรงพยาบาลนี้เสียแล้ว
ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะมีเงินและทักษะการแพทย์ที่ดีเยี่ยม แต่ลูฉินหมิงก็ยังกังวลอยู่ดีเพราะต่อให้ซูจิ้งมีทักษะการเรียนรู้ที่ท้าทายสวรรค์ขนาดไหนก็ตาม
แต่ซูจิ้งก็พึ่งจะได้เป็นหมอเต็มตัวเพียงไม่กี่วันก่อน นี่จะไม่ด่วนตัดสินใจเร็วไปรึเปล่า
แม้แต่เฉิงหนานเองก็ยังไม่เข้าใจในการตัดสินใจของซูจิ้ง พูดตามตรงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากจากซื้อโรงพยาบาลนี้มา ต่อให้เขาได้มันมาอย่างถูกกว่าค่าการตลาดทั่วไปมากก็ตาม
แต่เมื่อเทียบกับธุรกิจต่างๆของซูจิ้งแล้วถือได้ว่าธุรกิจทางการแพทย์นี้เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่จำกัด แถมโรงพยาบาลนี้ก็ยังประสบปัญหาเรื่องชื่อเสียงอยู่ถึงจะยังไม่ได้ถือว่าแย่ก็ตามแต่ก็ยังทำให้เธอต้องสับสนอยู่ดี
แต่ที่แน่ๆมีอย่างหนึ่งที่เธอรู้จักซูจิ้งมากกว่าใครนั่นก็คือเมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน
การตัดสินใจทั้งสองเรื่องของซูจิ้งนี้เพียงเมื่อแพร่กระจายไปทั่วโรงพยาบาล เหล่าหมอและนางพยาบาลต่างก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงจากคุยกันในกลุ่มเล็กๆจนกลายเป็นที่วิพากษ์เรื่องนี้กันทั่วทุกคนแม้แต่คนภายนอกก็ยังรู้เรื่องนี้ โดยทุกคนค่อนข้างเห็นด้วยกับการตัดสินใจในข้อแรก แต่กับข้อสองนี่ต้องก็นำพาไปสู่การนินทากันยกใหญ่
“ซูจิ้งต้องการจะทำอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆเขาถึงได้มาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแบบนี้ได้กัน”
“การลดค่ารักษาทั่วไปทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกนี้เป็นอะไรที่น่าสรรเสริญก็จริง แต่ไอ้การเป็นพื้นที่รักษาระดับวีไอพีนั่นมันอะไรกัน นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดารึไงกัน”
“เขาอาจจะไม่มีหัวทางด้านนี้ก็ได้นะ”
“ฉันว่าเขาก็แค่พวกเอาแต่ใจตัวเองมากกว่า นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ”
“ไม่ว่าคราวนี้จะแก้ตัวยังไง ไม่ต้องรอให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆแล้ว หมอนี่ตัดสินใจพลาดอย่างแน่นอน เรื่องนี้ช่างดีจริงๆ”
“นี่ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่ว่ามีตำราการแพทย์จีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์เมื่อวานเลยนะ”
“เหอะ แต่ให้เขาเรียนรู้ตำรานั่นจริงก็ไม่มีทางทำให้เขาเป็นหมอเทวดาได้หรอกน่า”
“ฮ่าฮ่า ฉันว่าจะไปเดินซื้อตำราฝ่ามือพระยูไลจากข้างถนนแล้วน่ะเนี่ยเพื่อฝึกแล้วจะกลายเป็นปรมาจารย์กับเขาบ้าง”
เรื่องนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์บนโลกอินเตอร์เน็ตไปทั่วจนตอนนี้ชาวเน็ตตั้งฉายาเชิงล้อเลียนให้กับซูจิ้งว่า “หมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก”
เหตุก็เพราะว่าต่อให้ตำราแพทย์โบราณเล่มนั้นจะดีจริงแต่การที่จะนำความรู้ในตำรานั้นมาเทียบกับการรักษาในโลกยุคปัจจุบันที่การแพทย์นั้นดีกว่ามากๆช่างเป็นเรื่องที่โง่งม
คนที่ไม่รู้ว่าการแพทย์ในยุคสมัยใดที่ดีกว่ากันก็สมควรที่เขาขะได้รับฉายาโง่ๆแบบนี้แล้ว ถึงแม้ว่าในตำรานั้นจะบ่งบอกว่ายุคนั้นมีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนได้ดีและเทียบเท่ากับในการแพทย์ยุคปัจจุบันแล้วยังไง ใช่ว่าความรู้อย่างอื่นในตำราจะดีเท่าสักหน่อย
“อาจิ้งทำบ้าอะไรอีกเนี่ย” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาในขณะจ้องมาไปยังหัวข่าวหนึ่ง
“เรื่องนี้ฉันไม่ทราบจริงๆค่ะ” เฉิงหนานเองที่ไม่รู้จะตอบยังไงก็ทำได้เพียงตอบออกมาตรงๆด้วยรอยยิ้ม
“แล้วทำไมเธอไม่หยุดเขาล่ะ” หวังจ้าวหันไปถามเฉิงหนานแบบหน้านิ่งๆ
“ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ลองหยุดเขานะ แต่ลูกพี่ก็รู้จักเขาดีนี่ ถ้าเป็นพี่พี่คิดว่าจะหยุดเขาได้เหรอ” เฉิงหนานพูดออกมา
“ฉันเองก็คงจะหยุดเขาไม่ได้เหมือนกันจริงๆ ฉันคงได้แค่หวังอย่างหมดใจอีกครั้งล่ะนะว่าเขาคงจะรู้ตัวดีว่าตัวเขากำลังทำอะไรอยู่” หวังจ้าวที่ได้ยินแบบนั้นทำได้เพียงตอบออกมาอย่างเซ็งๆ
ต่อให้ทำธุรกิจโรงพยาบาลแล้วเจ๊งไปอย่างมากก็แค่เสียเงินไปแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการประกอบธุรกิจพยาบาลแบบนี้นั่นก็คือชื่อเสียง ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพแบบนี้ง่ายต่อการเสียชื่อเสียงและชื่อเสียงของซูจิ้งไม่ใช่ถูกๆ
“หมอนี่คิดอะไรกันเนี่ย” มู่ติงที่กำลังกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆอยู่ในตอนนี้ถึงกับหยุดมือหยุดปากจนบ่นออกมาในทันทีที่ได้เห็นข่าวนี้
ตอนงานเลี้ยงวันเกิดของลูลู่ ซูจิ้งได้นำตำราแพทย์โบราณและชนะการพนันกับลูฉินหมิงเรื่องนั้นเธอรู้ดี แต่เธอไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดจนลามไปถึงการซื้อโรงพยาบาลและทำเรื่องโง่ๆแบบนี้ หมอนี่ต้องการจะทำอะไรกันแน่
“เริ่มการรักษาที่หนึ่งล้านเหรอ นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกันเนี่ย เขาคิดว่าจะกลายเป็นหมอเทวดาเพียงเพราะตำราแพทย์แผนจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกปลอมๆนั่นเนี่ยนะ
เพื่อเก่าเรานี้นับวันยิ่งทำอะไรเหิมเกริมจริงๆแหะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหลี่ยมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา