Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 887
GGS:บทที่ 887 โลกแห่งความเร่ง
ซูจิ้งได้นำกล่องไททาเนียมอัลลอยขนาดใหญ่ออกมา ข้างในนั้นเป็นกล่องไททาเนียมอัลลอยซ้อนกันอยู่สิบชั้น
โดยข้างในสุดนั้นเป็นกระโหลกนี้เขาได้มาเป็นชิ้นแรกๆของสมบัติทั้งหมดที่เขาได้มา เขาได้สิ่งนี้จากขยะห้วงเวลาฯศึกท้ารบสวรรค์
ทันทีที่เขานำมันออกมา เขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบกระดูกและกลิ่นอายแห่งลางร้าย
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกไปเองรึเปล่าแต่เทียบกับครั้งแรกที่เจอเขาว่ากลิ่นอายไม่ได้แรงขนาดนี้ แถมความรู้สึกเย็นยะเยียบนี้ก็ได้มากจนทำให้เขารู้สึกเย็นวาบถึงไขสันหลัง
ซูจิ้งเองเอาจริงๆเขาก็หวั่นๆกับกระโหลกชิ้นนี้ไม่น้อยเหมือนกันแต่ความสามารถของมันนั้นก็ทรงพลังเกินกว่าที่เขาจะเมินมันไปได้
ครั้งแรกที่เขาเคยใช้นั้นเป็นตอนที่เขาต้องการทำเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ถังเพื่อหาเงินให้ได้เยอะ ในครั้งนี้เขาเองก็อยากจะใช้กระโหลกนี้เพื่อล่นระยะเวลาการบ่มไวน์มอลต์เท่านั้นเอง
“ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าแตะกระโหลกนี้ไปหนึ่งนาทีจะเท่ากับหนึ่งปีที่เร่งได้สินะ ถ้าอย่างนั้นการจะทำไวน์มอลต์นี้ในสามเดือนก็สมควรจะใช้เวลาไม่ถึงนาที
อืมมมม ถ้ารวมเวลาที่ต้องเปลี่ยนถ่ายกระบวนการด้วยไวน์นี้ก็สมควรจะเสร็จโดยเวลาครึ่งชั่วโมง” ซูจิ้งพยายามคำนวนเวลาที่ต้องใช้ทั้งหมดอย่างแม่นยำที่สุดเท่าที่จะแม่นได้และจึงได้เริ่มในทันที
ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตนำกระโหลกนี้ไปวางในมอลต์ที่บ่มไว้เพียงครึ่งนาทีแล้วรีบดึงออกมาอย่างไว เขาทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆประมาณยี่สิบกว่าครั้ง
ซึ่งตามกระบวนการปกติต้องใช้เวลากว่าสามเดือน แต่นี่สามารถเสร็จสิ้นได้เพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น
หลังจากนั้นซูจิ้งได้เปิดฝาไหที่เขาใช้บ่มไวน์มอลต์นี้ออกมา ทันทีที่เขาได้สัมผัสกลิ่น ซูจิ้งแทบจะอ้วกออกมาเพราะว่ากลิ่นถือได้ว่าบรรลัยจักมาก เขารู้สึกเซ็งในทันทีก่อนจะบ่นออกมาว่า “กลิ่นผีบ้าอะไรกันเนี่ย นี่ใช้ไวน์มอลต์จริงๆอย่างนั้นเหรอ
นี่ชนเผ่าในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงไม่น่าจะชอบดื่มเบียร์ที่กลิ่นเหม็นบรรลัยแบบนี้นะ หรือว่ากระบวนการบ่มของฉันทำอะไรพลาดไปกัน”
ซูจิ้งได้ดูวิธีการทำอีกครั้งและเขาแน่ใจว่ากระบวนการของเขาไม่ได้มีอะไรผิดพลาดแม้แต่น้อย เขาจึงได้ลองกลั้นใจและชะโงกหน้าไปดูในไห
สิ่งที่เขาเห็นก็คือสีสันอันหลากหลายปรากฏบนมอลต์ที่อยู่ในไห ดูเหมือนว่ามอลต์บางส่วนจะเริ่มเน่า แต่ส่วนอื่นกับยังดูสดใหม่อยู่และดูเหมือนว่ากระบวนการบ่มนั้นยังไม่สมบูรณ์
“เข้าใจล่ะ ดูเหมือนว่ากระบวนบ่มที่ได้รับการเร่งเวลานั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะส่วนที่โดนเจ้ากะโหลกนี่เท่านั้น ส่วนอื่นไม่ได้ถูกเร่งเวลาไปด้วยทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของเวลา มันเลยเละเทะได้ขนาดนี้
ดูเหมือนว่าการทำไวน์ในครั้งนี้คงจะหวังผลได้ไม่เท่ากับตอนทำเครื่องลายครามในครั้งนั้นเลยแหะ
อืมมมมม ถ้าหากไปไว้นานกว่านี้ดูเหมือนว่าความสามารถของกะโหลกนี่จะค่อยๆเสื่อมไปตามกาลเวลา
หากไม่รีบทำไวน์ด้วยวิธีนี้ให้ได้ในเร็ววันนี้ล่ะก็ อีกไม่กี่ปี ไม่สิอาจจะสักสิบปีกะโหลกนี่สมควรจะกลายเป็นกะโหลกธรรมดา นี่เป็นเรื่องแย่เลยแหะ” ซูจิ้งตอนนี้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา
“…ดูเหมือนว่าความสามารถของกะโหลกนี่จะด้อยลงไปแหะ ดูเหมือนต้องทดสอบดูก่อน” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้ลองมองหาอะไรมาลองใช้ความสามารถกะโหลกนี้ดูก่อนและก็พบว่าจริงดังคาด
ตอนนี้ความสามารถในการเร่งเวลาของกะโหลกลดลง แต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้าจะแตะต้องกะโหลกนี่ตรงๆอยู่ดี
ซูจิ้งต้องการทราบอัตราการเร่งเวลาที่แน่นอนของกะโหลกจึงได้ลองดูอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ทำเพียงแค่นำหัวกะโหลกไปแตะๆที่ด้านบนของกองมอลต์ในไหอีกแต่ไป
เขาได้ใช้กระแสจิตของเขาแหวกกองมอลต์ให้กลายเป็นช่องตรงกลางและวางหัวกะโหลกนี้ไว้ในช่องนั้น
หลังจากนั้นก็ใช้กระแสจิตบังคับให้ข้าวมอลต์พัดไปรอบๆโดยใช้อัตราเร่งที่คงที่เท่าที่จะเป็นไปได้และพยายามให้ระยะห่างจากหัวกะโหลกพอๆกัน
ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เขาเหนื่อยล้ามากกว่าปกติแต่เขาก็ยังยอมทำอยู่ดี บอกได้เลยว่าคนทั่วไปไม่สามารถใช้กะโหลกนี้ได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ซูจิ้งได้ลองบ่มไวน์ข้าวมอลต์รอบที่สองเสร็จสิ้น เขาได้ลองเปิดไหออกดู คราวนี้ไม่ได้กลิ่นบรรลัยแบบรอบแรกแต่ประการใด แต่ว่ารสชาติของไวน์ที่หมักได้ยังคงรู้สึกแปลกๆอยู่
เขาคิดว่าน่าจะเป็นที่อัตราการเร่งของเวลาของข้าวมอลต์นั้นยังไม่เสมอกัน ด้วยการที่ช่วงเวลาที่ส่งผลต่อข้าวมอลต์แต่ละเม็ดนั้นต่างกันมากเพราะดูๆไปแล้วถึงจะต่างกันเพียงเสี้ยววิแต่อัตราเร่งน่าจะเริ่มกันหลายวันอยู่
ซูจิ้งไม่ได้รีบร้อนแต่ประการใด เพราะเขานั้นไม่ได้เพียงแค่ต้องการใช้กะโหลกนี้ทำไวน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาเองก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกะโหลกนี้จนพลาดโอกาสทำเงินไปตั้งมากมาย
เขาได้ลองทำไวน์ต่อไปครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งที่ห้า
หลังจากเขาได้บ่มไวน์ครั้งที่ห้าเสร็จสิ้น คราวนี้นอกจากกลิ่นของมอลต์ที่บ่มไวน์จะไม่ได้แปลกแล้ว กลิ่นของมันยังหอมหวลจนซูจิ้งต้องสูดลมหายใจเข้าไปยังเต็มปอดด้วยซ้ำ
“รสชาติโคตรดี” ซูจิ้งรู้สึกมีความสุขแบบสุดๆ หลังจากที่เขาหยิบช้อนมาลองชิมรสชาติของไวน์ไปหนหนึ่งจนรู้รสแล้ว
เขายังใช้ช้อนจ้วงลิ้มรสชาติอย่างไม่วางมือจนรสชาติของไวน์มอลต์ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมปากของเขา ด้วยกลิ่นมอลต์ที่หอมฟุ้งและรสชาติที่นุ่มละมุนในตอนนี้เขาอดใจไม่ไหวที่จะดื่มมันแล้ว
“อา…สดชื่น….” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมไวน์มอลต์นี้ออกมา ถึงแม้ว่าไวน์มอลต์นี้จะเทียบไม่ได้กับไวน์แห่งเซียนที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียนก็ตาม
เต็มที่ก็น่าจะอยู่ในระดับไวน์จิ้งจอกแดงที่ทำจากสตอเบอรี่ที่เขาได้สูตรมาจากห้วงเวลาฯคัมภีร์วิถีเซียน
แต่ไวน์นี้เองก็มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และละมุนลิ้นแบบสุดๆ ดีไม่ดีนี่จะดีกว่าไวน์จิ้งจอกแดง และการดื่มเบียร์ธรรมดาซะอีก
“อา…..ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดนี่ต้องเป็นเบียร์แห่งไชร์อย่างแน่นอน” ซูจิ้งหัวเราะออกมา
ดั่งที่กล่าวไปแล้วว่าเหล่าฮอบบิทนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายแต่เต็มที่กับชีวิต พวกเขานั้นชอบการสูบยา ดื่มเบียร์ และพืชสีเขียว
ใบยาสูบแห่งไชร์ที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเป็นของที่มีชื่อเสียง เช่นเดียวกับเบียร์แห่งไชร์นี้ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน
“อืมมมม แต่ว่าแค่นี้ก็ยังไม่พิสูจน์ไม่ได้แหะว่าเบียร์นี้ดีจริงๆเพราะฉันเองก็ไม่เคยกินเบียร์มาก่อนซะด้วยสิ คงต้องให้เหล่าคอเบียร์ลองกินดูซะก่อนสินะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้ทำการบ่มเบียร์นี้ต่อแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่าเขาใจตอนนี้โคตรจะเหนื่อย สิ่งที่ซูจิ้งต้องการทำในตอนนี้ก็คือการประเมินตลาดและโอกาสทำกำไรของเบียร์ที่เขาเพิ่งจะบ่มมาได้
หากว่ามีโอกาสสร้างผลกำไรงามจริงๆล่ะก็ เขายอมรอไปสามเดือนดีกว่าใช้หัวกะโหลกแบบนี้แน่นอน
เมื่อเทียบกันระหว่างไวน์จิ้งจอกแดง ไวน์แห่งเซียน และไวน์จากหนอนไวน์แล้วนั้น เบียร์แห่งไชร์นี้ถือได้ว่าดีกว่าไวน์ชนิดอื่นๆที่เขามี
ไวน์จิ้งจอกแดงนั้นถูกจำกัดจำนวนด้วยสตอว์เบอรี่ที่ต้องเก็บเกี่ยวเป็นฤดูกาล และปริมาณที่จำกัด
ไวน์แห่งเซียนนั้นต่อให้เป็นไวน์ที่เป็นการเจือจางแต่ก็ถือได้ว่ามีจำกัดอยู่ดี
ไวน์จากแมลงไวน์ยิ่งแล้วใหญ่เลย ไวน์ที่ได้ออกมานั้นแม้ว่าจะสุดยอดก็จริงแต่ไวน์นั่นไม่ได้มีผลดีต่อสุขภาพและรสชาติไม่มีความเสถียรแม้แต่น้อย แถมเจ้าหนอนไวน์นั่นเขาก็มีเพียงตัวเดียวอีกด้วย
เมื่อเทียบกันแล้วนั้นเบียร์แห่งไชร์นี้ถือได้ว่านำขาดในเรื่องกำลังการผลิตเพราะบนโลกนี้มีข้าวมอลต์ชั้นเลิศอยู่มากมายที่แต่ละปีใช้ไม่หมด
ตราบใดที่เขาขายเบียร์นี้ได้ราคาพร้อมผลกำไรที่ดีเขาก็ยินดีที่จะใช้ข้าวมอลต์เหล่านั้นโดยเสนอราคาที่แพงกว่าท้องตลาดเลยยังได้
ซูจิ้งได้วางเบียร์แห่งไชร์เอาไว้ข้างๆก่อนที่จะศึกษาหัวกะโหลกนี้ต่อ เขาคิดไปซักพักก่อนจะบ่นกับตัวเองออกมาว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้กะโหลกไม่ได้มีผลต่อการเร่งอายุไข แต่เป็นการเร่งเวลามากกว่า …. นั่นหมายความว่าถ้าควบคุมดีๆล่ะก็น่าจะเร่งการเจริญเติบโตได้สินะ”
นึกได้ดังนั้น ซูจิ้งก็ได้ใช้กระแสจิตบังคับหัวกะโหลกให้ลอยไปใกล้ๆต้นหญ้า แล้วรีบบังคับให้ลอยออกห่างในทันทีโดยใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งวินาทีเท่านั้น
ในช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนั้น ซูจิ้งได้จับตามองจนได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เขาเห็นว่าต้นหญ้าต้นน้อย เติบโตอย่างรวดเร็ว และแก่ตัวลงแทบจะในพริบตาเมื่อนำกะโหลกออกห่างจากต้นหญ้ามันก็ได้เหี่ยวตายลงเรียบร้อยแล้ว
“อืมมมมม…. ดูเหมือนว่าหนึ่งวินาทีจะเท่ากับหกวันสินะ แต่นี่เหมือนฉันจะเดาผิดไปเหมือนกัน ดูเหมือนว่ากะโหลกนี่จะเร่งได้แต่อายุหรือนี่” ซูจิ้งขมวดคิ้วทันทีก่อนที่จะเริ่มใช้ความคิดบางอย่าง
ซูจิ้งยังคนทำการใช้กระแสจิตควบคุมกะโหลกต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่ากับต้นหญ้า แต่ผลที่ได้ก็ยังคงออกมาเหมือนเดิม
ซูจิ้งได้ลองเปลี่ยนไปลองกับต้นกล้วยไม้ที่ปลูกกับดินจอมเขมือบดูกลับพบว่าผลที่ได้ต่างกันโดยสิ้นเชิง กล้วยไม้กลายเป็นเงางามขึ้นอย่างผิดหูปิดตา
ซูจิ้งที่ได้เห็นก็มีสายตาเปล่งประกายในทันที เขาได้ลองดูอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ว่าจริงๆแล้วที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ใช่กล้วยไม้แต่เป็นดินจอมเขมือบ ต้นไม้ที่ปลูกบนดินจอมเขมือบนั้นก็ยังคงอยู่สภาพเดิมเพียงแค่เงางามขึ้นเท่านั้นเอง
“เข้าใจล่ะ เป็นดั่งที่ฉันคาดไว้เลย หัวกะโหลกมีความสามารถในการเร่งเวลา แต่เหล่าสิ่งมีชีวิตเองก็ต้องการพลังงานในการลองรับการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นเดียวกัน
กับต้นหญ้านั้นตอนที่เวลาถูกเร่งไปแน่นอนว่าเมื่อดินไม่สามารถป้อนสารอาหารได้ทันมันย่อมแก่ตัวลงจนตายไป แต่กับดินจอมเขมือบที่เต็มไปด้วยสารอาหารและคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน
ต่อให้เร่งเวลาไปมากมายขนาดไหนมันก็พร้อมจะป้อนสารอาหารให้โดยที่ตัวมันเองไม่เสื่อมธาตุอาหารลงเลยแม้แต่น้อย
ต้นไม้ที่ปลูกบนมันนั้นถือได้ว่ามีสารอาหารคอยหล่อเลี้ยงตลอดเวลาทำให้ไม่ต้องกลืนกินพลังงานชีวิตของตัวเองจนแก่ตายไป” ตอนนี้ซูจิ้งเข้าใจได้อย่างท่องแท้แต่เขายังไม่แน่ใจเลยจัดการลองไปอีกเก้ารอบ
หลังจากที่เขานั้นค่อนข้างจะมั่นใจแล้วเขาได้ทดลองอย่างอื่นต่อในทันที คราวนี้เขาลองใส่เศษซากสิ่งมีชีวิตทุกอย่างเท่าที่เขามีลงบนดินจอมเขมือบ
เขาได้ใช้กระแสจิตของบังคบหัวกะโหลกไปแตะที่ดินจอมเขมือบอีกครั้งก็พบว่าดินจอมเขมือบดูดกลืนทุกอย่างลงไปในชั่วพริบตา
และต้นไม้ที่ปลูกในดินเองก็ได้รับผลด้วยเช่นกัน พวกมันโตขึ้นอย่างรวดเร็วแบบน่าตื่นตะลึงสุดๆ
ในตอนนี้เขามั่นใจในวิธีการทำงานของหัวกะโหลกแล้วเขาจึงได้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป
คราวนี้เขานำต้นอ่อนใบยาสูบแห่งไชร์และต้นอ่อนของข้าวที่มีแถบเส้นสีเงินที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกปลูกลงไปในดินจอมเขมือบ และต้นพันธุ์ทั้งสองก็ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขายังได้ใช้วิธีนี้กับพืชพันธุ์อย่างอื่นที่เขามีทั้งหมด หลังจากที่ต้นไม้พวกนั้นออกดอกออกผลจนได้เมล็ดพันธุ์ชุดถัดไปออกมา เขาก็ได้นำเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นฝังไว้ในดินจอมเขมือบและดำเนินการวนซ้ำต่อไป
ในตอนนี้ซูจิ้งได้เมล็ดพันธุ์มาจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ต้นยาสูบแห่งไชร์และเมล็ดข้าวเส้นสีเงิน
เขาได้ทำการส่งเมล็ดพันธุ์ไปยังสถาบันเพราะพันธุ์ใบยาสูบของรัฐเพื่อที่จะแพร่กระจายพันธุ์ใบยาสูบแห่งไซร์นี้ให้เร็วที่สุด